13673 ข้อความ
- 1 คนสงสัยhttps://www.facebook.com/share/1FMPgcyXgB/?mibextid=wwXIfrไม่ระบุชื่อ• 1 วันที่แล้ว
- 1 คนสงสัยไม่ระบุชื่อ• 1 วันที่แล้ว
- 1 คนสงสัยงานวิจัย "เพลงซิมโฟนีหมายเลข 5 ของเบโธเฟน ฆ่าเซลล์มะเร็งได้ 20% " จริงหรือ ? มีการเผยแพร่ข่าวงานวิจัย จากประเทศบราซิล ที่อ้างทำนองว่า เมื่อทดลองเปิดเพลง 3 เพลงให้กับเซลล์มะเร็งเต้านม ในห้องปฏิบัติการ คือเพลง ซิมโฟนีหมายเลข 5 (Fifth Symphony) ของ เบโธเฟน (Beethoven) , เพลงโซนาต้า สำหรับเปียโนสองตัว ใน D (Sonata for Two Pianos in D) ของโมสาร์ท (Mozart) และเพลง "Atmosphères" ของ ลีเก็ตตี้ (Ligeti) ... พบว่าเพลง ซิมโฟนีหมายเลข 5 และเพลง "Atmosphères" ช่วยให้เซลล์มะเร็งตายลง เมื่อเทียบกับเพลงของโมสาร์ท หรือเมื่อเงียบสนิท !? แต่ทีมวิจัยชาวบราซิลดังกล่าว ไม่สามารถระบุได้ว่าทำไมเพลงที่ส่งผลให้เซลล์มะเร็งตายได้ และไม่รู้ว่าในเนื้อเยื่อปรกติจริงๆ จะให้ตอบสนองแบบนี้หรือไม่อย่างไร (งานนี้ เป็นการทดลองกับเซลล์มะเร็ง ที่เลี้ยงในจานเพาะเลี้ยง ไม่ใช้กับมะเร็งที่อยู่ในตัวของสัตว์ทดลอง) และนักวิจัยยังยอมรับด้วยว่า วิธีการที่ใช้ทดลองนั้น ไม่สามารถหาปริมาณการตายของเซลล์ได้ ตัวเลข 20% ที่มีข่าวกันนั้นเป็นตัวเลขที่ไปเขียนกันเอาเอง ! ซึ่งตอนนี้ นักวิจัยก็บอกว่าไม่ได้ทำการทดลองเรื่องผลของดนตรีต่อเซลล์มะเร็ง อีกต่อไปแล้ว โดยอ้างว่าไม่มีทุนวิจัย ดูรายละเอียดด้านล่างนี้ครับ - เมื่อไม่นานมานี้ มีการเผยแพร่ข่าวสารการวิจัยที่อ้างว่า "ซิมโฟนีหมายเลข 5 ของ ลุดวิก ฟาน เบโธเฟน ทำให้เซลล์มะเร็งตาย 20% ในห้องปฏิบัติการได้ โดยไม่เป็นอันตรายต่อเซลล์ปกติ" . .. โดยระบุว่า นักวิทยาศาสตร์ที่ Instituto de Biofísica Carlos Chagas Filho มหาวิทยาลัยแห่งชาติ ริโอเดจาเนโร (Federal University of Rio de Janeiro) ประเทศบราซิล ได้ศึกษาว่า ดนตรีอาจมีบทบาทในการรักษาโรคมะเร็งได้ ทีมวิจัยที่นำโดย ดร. มาร์เซีย อัลเวส มาร์เกว คาเปลลา (Dr. Márcia Alves Marques Capella) ได้ทดลองให้เซลล์เพาะเลี้ยง ทั้งเซลล์ปกติและเซลล์มะเร็ง ได้ฟังดนตรีหลายประเภท และผลลัพธ์ที่น่าทึ่งคือ ซิมโฟนีหมายเลข 5 ของเบโธเฟน ทำลายเซลล์มะเร็งประมาณ 20% ในเวลาเพียงไม่กี่วัน ในขณะที่เซลล์ปกติไม่เกิดผลกระทบ ซึ่งยังไม่ทราบว่ากลไกที่อยู่เบื้องหลังผลลัพธ์นี้คืออะไร แต่อาจเป็นไปได้ว่า จังหวะ ความถี่ หรือความข้นของเสียง อาจเป็นปัจจัยหลัก ซึ่งจะมีการทดลองเพิ่มเติมที่รวมถึงเพลงจังหวะแซมบา (Samba) และฟังค์ (Funk) ด้วย - จริงๆ แล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่ข่าวใหม่ เพราะข้อกล่าวอ้างดังกล่าวนี้ ได้เริ่มถูกเผยแพร่มาตั้งแต่ปี 2011 แล้ว โดยเป็นบทความข่าวที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวัน O Globo ในบราซิล ที่ระบุว่าเซลล์มะเร็ง MCF-7 (เป็นเซลล์มะเร็งเต้านมของมนุษย์ ที่ตอบสนองต่อเอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน และกลูโคคอร์ติคอยด์ และเป็นหนึ่งในเซลล์มะเร็งที่ได้รับการศึกษามากที่สุดในโลก) เมื่อถูกเปิดเพลงซิมโฟนีหมายเลข 5 ใส่เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ทำให้ 1 ใน 5 ของเซลล์มะเร็ง MCF-7 ที่เพาะเลี้ยงนี้ได้ตายลง ขณะที่บรรดาเซลล์ที่รอดชีวิตหลายเซลล์มีขนาดเล็กลง ส่วนเพลง "Atmosphères" ของลิเก็ตติ ให้ผลลัพธ์คล้ายกัน แต่ท่อนแรกของเพลงโซนาต้าสำหรับเปียโนสองตัว ของโมสาร์ทแทบไม่ส่งผลกระทบเลย ... ในบทความอ้างว่า การทดลองนี้ สามารถเปิดทางใหม่สำหรับการรักษาโรคมะเร็ง และอ้างคำพูดของนักวิจัยนำ คือ ดร. คาเปลลา ว่า "เราเชื่อว่าเพลงซิมโฟนีทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเมตาบอลิซึม ไม่ใช่ไปทำเซลล์มะเร็งตายโดยตรง" - หลังจากนั้น ดร. คาเปลลา ได้ตีพิมพ์บทความวิจัย ในปี 2013 ในวารสาร Noise and Health และอีกบทความหนึ่ง ในวารสาร Evidence-Based Complementary and Alternative Medicine ในปี 2016 หลังจากการทดลองอีกครั้งกับเซลล์มะเร็งเต้านม อีกชนิดหนึ่ง คือ เซลล์ MDA-MB-231 .. (แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า วารสาร Evidence-Based Complementary and Alternative Medicine นี้ ได้หยุดเผยแพร่ไปแล้ว ในปี 2024 หลังจากถูกถอดออกจากฐานข้อมูลวารสารวิชาการของ Clarivate's Web of Science เนื่องจากปัญหาด้านคุณภาพ) ซึ่งในบทความได้อ้างว่า มีการทดลองกับเซลล์มะเร็ง ที่เพาะเลี้ยงในจานเพาะเลี้ยง ด้วยการเปิดเพลงทั้งสามเพลง ผ่านลำโพง (มีอีกชุดการทดลองที่ไม่เปิดเพลงใดๆ เป็นชุดทดลองควบคุม) ทำซ้ำการทดลองอย่างน้อย 4 ครั้ง เพื่อยืนยันผลลัพธ์ - แต่บทความวิจัยเหล่านั้น ไม่ได้รายงานเกี่ยวกับ จำนวนของเซลล์ที่ตายแล้ว หรืออ้างว่า เพลงเหล่านี้มีพลังในการรักษาโรคมะเร็ง นอกจากนี้ ยังไม่ได้มีการเอาเพลงไปทดลองกับเซลล์ปกติ แต่บอกเพียงแค่ว่าเซลล์มะเร็งที่ใช้ในการทดลองนั้นมีลักษณะคล้ายเซลล์เยื่อบุผิวตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เลยเป็นแบบจำลองที่ดีในการศึกษาวิจัย ... ทีมวิจัยระบุว่า การทดลองนี้มีเป้าหมายเพียงเพื่อ "ทำความเข้าใจผลกระทบโดยตรง ของการสั่นสะเทือนทางเสียง ในรูปแบบของดนตรี ต่อเซลล์มนุษย์ที่เพาะเลี้ยงไว้ ให้ดีขึ้น" - ทาง ดร. Capella เน้นว่า การทดลองเหล่านี้กับเซลล์ในจานเพาะเลี้ยง และผลลัพธ์ "ไม่สามารถขยายไปยังมนุษย์ได้" พูดง่ายๆ ว่า แม้ว่าเพลงจะฆ่าเซลล์มะเร็งในสภาพห้องปฏิบัติการที่ควบคุมได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า จะเอาเพลงนี้ไปใช้ในการรักษาโรคมะเร็งได้ .. แถมเธอยังบอกว่า ไม่ถูกต้องที่จะไปพูดกันว่า "หนึ่งในห้า (หรือ 20%) ของเซลล์มะเร็งตายลง หลังจากถูกเปิดเพลงซิมโฟนีหมายเลข 5 ของเบโธเฟน" เพราะวิธีการที่ใช้ทดลองไปนั้น ไม่สามารถนำมาหาปริมาณการตายของเซลล์ได้ .. แถมด้วยว่า เธอก็ไม่เคยวางแผนการทดลองเพิ่มเติม กับเพลงฟังค์ หรือเพลงซัมบ้า ของบราซิลอย่างที่แชร์กันด้วย - ดร. Capella เพิ่มเติมด้วยว่า หลังจากที่ข้ออ้างเหล่านี้ได้แพร่ระบาดไวรัลไปทั่ว เธอก็พยายามให้สัมภาษณ์กับสื่อ CNN Radio เพื่อขจัดความสับสน และหลังจากนั้น เธอก็ได้หยุดงานวิจัยเรื่องผลของดนตรีต่อเซลล์มะเร็งไปแล้ว เพราะหาทุนสนับสนุนงานวิจัยได้ยาก ข้อมูลจาก https://www.snopes.com/news/2025/02/15/study-beethovens-5th-cancer-cells/?cb_rec=djRfMl8xXzBfMTgwXzBfMF8wXwไม่ระบุชื่อ• 2 วันที่แล้ว
- 1 คนสงสัยแพทย์ยืนยันว่า การนอน มิใช่ เป็นแค่ช่วงเวลาที่ร่างกายได้หยุดพัก เหมือนการปิดสวิตช์เครื่องจักร เพื่อให้เครื่องยนต์ได้เย็นลงเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว การนอน คือกระบวนการอันน่าทึ่ง ที่ธรรมชาติออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูร่างกาย และ สมองของเราในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับเซลล์ โรงงานซ่อมบำรุงร่างกาย และ สมอง นั้นทำงานเฉพาะตอนคุณหลับในทุกคืน 💤 🌜ขอย้ำว่า ทีมซ่อมบำรุงร่างกาย และ สมอง จะเริ่มซ่อมแซมเซลล์ ที่สึกหรอจากการใช้งานตลอดทั้งวัน ในตอนคุณหลับสนิทเท่านั้น 🌜โรงงานผลิตฮอร์โมน จะเริ่มผลิตสารสำคัญ ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต และซ่อมแซมร่างกาย ในตอนคุณหลับ 🌜แผนกจัดการข้อมูลในสมองจะจัดระเบียบความทรงจำ และ ประสบการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในตอนคุณหลับ 🧠 สมองไม่ได้หยุดทำงานตอนหลับ แต่กำลังทำงานสำคัญ 🧠 หลายคนอาจคิดว่าสมองพัก ตอนเรานอน แต่ความจริง คือ สมองกำลังทำงานสำคัญหลายอย่าง: 1. "ทีมกวาดถนน" ในสมองที่เรียกว่าระบบ glymphatic จะทำงานได้ดีที่สุด ในช่วงที่เราหลับลึก โดยจะกวาดล้างโปรตีนที่เป็นพิษ และ ของเสียต่างๆ ออกจากสมอง ถ้าเราเปรียบสมองเป็นเมืองๆ หนึ่ง การนอนก็เหมือนช่วงเวลาที่รถกวาดถนนออกมาทำความสะอาดเมือง เพื่อให้การจราจรในวันรุ่งขึ้นคล่องตัว 2. "ห้องสมุดความทรงจำ" ในสมองจะทำการคัดแยก จัดเก็บ และ เชื่อมโยงข้อมูลที่เราได้รับมาตลอดทั้งวัน เปรียบเหมือนบรรณารักษ์ที่จัดหนังสือเข้าชั้นในห้องสมุด ทำให้เราสามารถเรียกใช้ความทรงจำเหล่านั้น ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. ในช่วงที่เราหลับ ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนสำคัญหลายชนิด: - โกรท ฮอร์โมน ที่ช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อและ เนื้อเยื่อ จะถูกผลิตมากที่สุดในช่วงหลับลึก - เมลาโทนิน ฮอร์โมนที่ช่วยต้านความชรา จะถูกผลิตเมื่อเราอยู่ในที่มืด - สารสื่อประสาทที่ช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลาย และ มีความสุข จะทำงานอย่างสมดุล ในคืนที่เรานอนหลับเพียงพอ ผลกระทบของการอดนอน: มากกว่าแค่ความเหนื่อยล้า 🥱 เมื่อเราอดนอน หรือนอนไม่เพียงพอ ไม่ใช่แค่ร่างกายจะเหนื่อยล้าเท่านั้น แต่จะเกิดผลกระทบที่มากกว่านั้น: 🤒 ระบบภูมิคุ้มกัน จะอ่อนแอลง เพราะเซลล์เม็ดเลือดขาวไม่ได้รับการฟื้นฟู 😵💫 ความจำ และการเรียนรู้จะแย่ลง เพราะสมองไม่ได้จัดระเบียบข้อมูลอย่างเต็มที่ 🤬 อารมณ์จะแปรปรวนง่าย เพราะสมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์ทำงานผิดปกติ 🤢 ระบบเผาผลาญอาหารจะแปรปรวน ทำให้น้ำหนักขึ้นง่าย และเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับสุขภาพ 💪🏻 คือ การนอนหลับอย่างเพียงพอ และมีคุณภาพ จึงไม่ใช่การ "เสียเวลา" แต่เป็นการลงทุน ที่คุ้มค่าที่สุด สำหรับสุขภาพ เพราะในขณะที่เราหลับ ร่างกายและ สมองกำลังทำงานสำคัญ ที่ไม่สามารถทำได้ในเวลาตื่น ทุกคน จึงควรให้ความสำคัญกับการนอนให้มากขึ้น ไม่ควรนอนเกิน 22.00 น. เพื่อจะได้นอนอย่างเพียงพอ โดยให้ห้องนอนมืดที่สุด เพื่อให้ร่างกายและสมองได้ทำงานสำคัญเหล่านี้อย่างเต็มที่ไม่ระบุชื่อ• 2 วันที่แล้ว
- 1 คนสงสัยสนามบินแม่สอดเปิดทาง แก๊งคอลเซ็นเตอร์จีน ตั้งสำนักงานกลางไทย!?ไม่ระบุชื่อ• 3 วันที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยสงกรานต์นี้ วิ่งฟรี”มอเตอร์เวย์-ทางด่วน” รวม7 วันไม่ระบุชื่อ• 3 วันที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยเกิดแผ่นดินไหว ขนาด 3.6 บริเวณทะเลอ่าวไทยไม่ระบุชื่อ• 3 วันที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยปรับฐานเงินเดือนครู รอบ 2ไม่ระบุชื่อ• 3 วันที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยรีบยืนยันตัวตนรับเงินดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 ก่อนโดนตัดสิทธิ์ไม่ระบุชื่อ• 3 วันที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยเนื่องจากคลังเลือดของรพ.รามาไฟไหม้ ทำให้เลือดที่เก็บไว้เสียหายเกือบทั้งหมด ถ้าพอจะช่วยได้ รบกวนช่วยติดต่อบริจาค เลือดที่ blood bank ตึกพระเทพครับ ช่วย กัน แชร์ คะ 12/3/68ไม่ระบุชื่อ• 3 วันที่แล้ว
- 1 คนสงสัยผู้สูงอายุต้องมีน้ำ เตรียมไว้ข้างเตียง ให้พอดื่มทั้งคืน ต้องลุกขึ้นมา เข้าห้องน้ำบ่อย ยังดีกว่าตาย จากอาการที่เกิด เพราะเลือดข้น จากร่างกายที่ขาดน้ำ เช่น หัวใจวาย หรือเส้นเลือด ในสมองตีบ เป็นต้น ทำไมผู้สูงอายุต้องการน้ำ มากกว่าคนหนุ่มสาว เพราะคุณภาพ และประสิทธิภาพ การทำงาน ของไตลดลง การดึงน้ำกลับไปหมุนเวียน ในร่างกายน้อยลง ทำให้ต้องเข้าห้องน้ำบ่อย ร่างกาย จึงขาดน้ำง่ายกว่า จึงต้องคอยเติมน้ำ ให้พอกับน้ำ ที่ขับถ่ายออกไป ********* ทำไมผู้สูงอายุ จึงนอนหลับแล้วไม่ตื่น ในช่วงเวลาใกล้รุ่ง สิ้นใจตาย แบบไม่ต้องทรมาร เหมือนกับสมบัติ เมทะนี และพี่เขยของผม รองผู้การศรศักดิ์ แก้วรักษา ที่ทุกคนยังจำกันได้ ที่ถูกหวยรางวัลที่ 1 ได้เงิน 180 ล้านบาท แล้วได้เสียชีวิตลง เมื่อ 9 ก.ย. 2564 และผู้สูงอายุคนอื่นๆ อีกมากมาย ตัวผมเองก็เกือบเสียชีวิต ในลักษณะนี้ เหมือนกันหลายครั้ง ตอนใกล้ๆรุ่งเช้าตรู่ สาเหตุมาจาก ร่างกายขาดน้ำ คือแต่ละวันๆ เราควรดื่มน้ำเปล่า ให้ได้ปริมาณ ที่เพียงพอ ต่อร่างกาย คือประมาณ 2 ลิตร หรือ 8 - 9 แก้วต่อวัน และก่อนนอน ก็ควรจะดื่มสัก 1 แก้ว เมื่อตกกลางดึก ผู้สูงอายุมักจะลุก ขึ้นมาปัสสาวะ หลายครั้ง ก็ถ่ายออกไปเรื่อยๆ จนน้ำในร่างกาย ขาดน้ำลง ทำให้เลือดเหนียว หนืดข้น ทำให้ไหลเวียนยาก ในการที่เลือด จะเข้าไปเลี้ยงหัวใจ ทำให้หัวใจ ขาดเลือด จึงบีบตัวแรงๆ ไม่สามารถนำเลือด ส่งต่อไปเลี้ยงร่างกาย เช่นสมอง และอวัยวะ ส่วนอื่นๆ ของร่างกาย หัวใจจึงต้องบีบตัวหนัก จนเกิดหัวใจวาย และมักจะเป็น ในช่วงเช้าตรู่ แล้วก็ตายไป ปลุกไม่ตื่นนั่นเอง ตัวผมเองก็เกือบๆ ไปหลายครั้ง ในช่วงเช้ามืด หลังจากเมื่อกลางดึก ที่ได้ลุกขึ้นมาฉี่ แล้วก็หลับต่อ พอรู้สึกตัวใกล้สว่าง เช้าตรู่ ผมรู้สึกมีอาการไม่ดี เวียนหัว เหมือนกับถูกจับโยน กลางอากาศ ใจสั่นหวิวๆ รู้สึกแน่นที่หน้าอก จึงได้รีบลุกขึ้น ไปดื่มน้ำแก้วหนึ่ง แล้วล้มตัว ลงนอนต่อ เวลาผ่านไป รู้สึกดีขึ้น หายเหมือนปลิดทิ้ง ผมจึงแน่ใจเลยว่า ต้องเป็นที่ระบบของ ร่างกายขาดน้ำแน่ๆ หลังจากตื่นนอนแล้ว ร่างกายก็ปกติดี ตลอดทั้งวัน นี่คือประสบการณ์จริง ของผมที่เกือยตาย ที่หลายๆคน ไม่เคยรู้มาก่อน ผมว่า สมบัติ เมทานี ก็อาจจะเป็น อย่างผมก็ได้ การศึกษาหาความรู้ จากหมอในยูทูป ก็มีประโยชน์นะครับ อย่าลืมนะครับ เพื่อนๆของผมทุกคน ถ้าตื่นนอนกลางดึก ลุกขึ้นฉี่แล้ว อย่าลืมดื่ม น้ำเปล่าอุณหภูมิห้อง นี่แหละ จะทำให้เลือด ไม่ข้นเหนียวหนืด ก็จะทำให้เลือดไหลเข้าสู่ หัวใจได้สะดวก แล้วตื่นขึ้นมาตอนเช้า ก็ดื่มน้ำอีกสักแก้ว เพื่อจะทำให้ การเริ่มต้น ของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ทำงานได้ อย่างมีประสิทธิภาพ และจะได้มีชีวิต ยืนยาวต่อไป ในงานเลี้ยงรุ่น แล้วผมจะได้ร้องเพลง เล่นดนตรีให้ฟัง ขอขอบคุณนายแพทย์ หมอทั้งหลาย ที่ได้แนะนำ อธิบายเรื่องนี้ จนทำให้ผมรอดตาย มาได้หลายครั้ง ขอบคุณอีกครั้งนะครับ (..) คัดลอกมา เพื่อบอกต่อครับ. (..) ขอบคุณผู้เขียนข้อความ อันเป็นประโยชน์ไม่ระบุชื่อ• 3 วันที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยถ้ามีแจ้งบอกเรื่องทำรากฟันเทียมฟรีแล้วบอกให้กดดูรายชื่อคลีนิก อย่ากดเข้าไปดูเด็ดขาดเพราะเป็นมิจฉาชีพ อันตรายมากผู้บริโภคเฝ้าระวังแอคปลอมไม่ระบุชื่อ• 3 วันที่แล้ว
- 1 คนสงสัยนั่งนานจนสะโพกร้อน เสี่ยงลำไส้อักเสบ-ริดสีดวง แม้ไม่ท้องผูกไม่ระบุชื่อ• 5 วันที่แล้วmeter: true2 ความเห็น
- 1 คนสงสัยแจกเงินดิจิทัล เฟส 3 กลุ่มวัยรุ่น 16-20 ปีข่าวการเมืองการเงินไม่ระบุชื่อ• 5 วันที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยไข้อีดำอีแดงระบาดหนัก! สั่งเฝ้าระวังโรงเรียนทั่วประเทศ ป้องกันการแพร่ระบาดไม่ระบุชื่อ• 5 วันที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยธ.ก.ส. จัดโครงการชะลอเก็บเกี่ยวมันสำปะหลัง ช่วยครัวเรือนสูงสุด 50,000 บาทการเงินไม่ระบุชื่อ• 5 วันที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยกฟผ. แจกส่วนลดล้างแอร์ 200 บาท จำนวน 15,000 สิทธิ์ เริ่ม 15 มีนาคมนี้ไม่ระบุชื่อ• 5 วันที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัย🚨 เด็ก 3 ขวบ ติดเชื้อ "เอนเทอโรไวรัส" ในอากาศ เชื้อลงสู่หัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเฉียบพลัน จนเสียชีวิต 🚑ไม่ระบุชื่อ• 5 วันที่แล้ว
- 1 คนสงสัย"ยาโซดามินต์ ไม่ได้ปลอดภัย 100% ... ควรให้แพทย์สั่งให้ตามความจำเป็น และไม่ควรซื้อมากินเล่นเองครับ" กระแสแนะนำให้คนไปหาซื้อยา "โซดามินท์ (soda mint)" มากินกัน กลับมาเผยแพร่อีกแล้วครับ (หลังจากช่วงโรคโควิด-19 ระบาด ก็เคยมีกระแสโปรโมตไปรอบนึงแล้วว่า กินต้านโควิดได้) .. โดยอ้างว่าช่วยให้ร่างกายเป็นด่าง (อีกและ) ดีต่อสุขภาพ ใช้รักษาป้องกันโรคได้มากมาย เช่น ชะลอไตเสื่อม ขับกรดยูริก ละลายนิ่ว ฯลฯ !? ซึ่งก็พูดหลายๆ ครั้งแล้ว ว่าแนวคิดเรื่อง กินน้ำด่าง-กินอาหารด่าง ไปปรับให้เลือดมีความเป็นด่างนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ต้องทำอะไร เพราะร่างกายมีการปรับสมดุลย์พีเอชความเป็นกรดด่าง ให้เป็นด่างอ่อนๆ โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว (ซึ่งอาศัยกลไกการหายใจ เป็นตัวควบคุมหลัก) ดังนั้น การพยายามกินด่างเข้าไปในร่างกายมากๆ จนร่างกายปรับสมดุลย์ ลดความเป็นด่างลงไม่ไหว กลับจะกลายเป็นอันตรายจากการที่ค่าเป็นด่างสูงเกินไป .. และโซดามินต์ ก็ควรเป็น "ยา" ที่กินเมื่อป่วย ตามแพทย์สั่งเท่านั้น ยา "โซดามินท์" จริงๆ ก็คือ โซเดียมไบคาร์บอเนต (sodium bicarbonate ก็ผงฟูที่เอาไว้ทำเบเกอรี่ ไว้ล้างผัก นั่นแหละ) ผสมกับ น้ำมันหอมระเหย เปปเปอร์มิ้นต์ (peppermint oil) มักจะผสมในอัตราส่วนโซเดียมไบคาร์บอเนต 300 มิลลิกรัม กับน้ำมันหอมระเหยเปปเปอร์มิ้นต์ 0.003 มิลลิลิตร กินหลังอาหารวันละ 3 ครั้งหรือเมื่อมีอาการ ใช้เพื่อบรรเทาอาการจุกเสียด ลดอาการระคายเคือง เนื่องจากมีกรดมากในกระเพาะอาหาร อาจจะมีบางคนที่มีอาการข้างเคียงจากการกินยาโซดามินต์นี้ได้ เช่น ปวดหน่วง ๆ ที่ท้อง (ซึ่งไม่จำเป็นต้องรีบไปพบแพทย์) หรืออาจจะรุนแรง ได้แก่ บวมที่ใบหน้า เปลือกตา ริมฝีปาก ลมพิษ หน้ามืด เป็นลม แน่นหน้าอก หายใจลำบาก ผื่นแดง ตุ่มพอง ผิวหนังหลุดลอก บวมน้ำ หายใจลำบาก ซึ่งถ้ามีอาการเหล่านี้ ก็ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที ส่วนคนที่ห้ามใช้ยาโซดามินต์นี้ ได้แก่ คนที่เคยแพ้ยานี้ หรือแพ้ส่วนประกอบของยานี้ , เป็นโรคหัวใจ , เป็นโรคไต หรือ โรคตับ , เป็นโรคความดันเลือดสูง , มีภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ , มีภาวะเลือดเป็นด่างสูง , กำลังใช้ยาสเตอรอยด์ รวมถึงหญิงมีครรภ์หรืออยู่ระหว่างให้นมลูก สำหรับประเด็นที่สังคมออนไลน์แชร์แนะนำให้กิน “โซดามินต์” เป็นประจำเพื่อปรับสมดุลให้ร่างกายมีสุขภาพดีนั้น ทาง คุณพีรพล อนุตรโสตถิ์ จากศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ ช่อง 9 อสมท สำนักข่าวไทย ได้เคยไปตรวจสอบกับ รศ.ดร.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ นายกสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย และประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม สสส. ดังนี้ครับ ถาม : กินโซดามินต์ทุกวัน ทำให้สุขภาพดี อย่างที่แชร์กันนี้ จริงหรือไม่ ตอบ : การซื้อโซดามินต์กินเองนั้นไม่สมควร อาจจะกินมากเกินไป ทำให้ร่างกายเป็นด่างมากเกินไป อาจจะมีผลเสียในระยะยาว ควรจะปรึกษาแพทย์ก่อน ถาม : เขาบอกว่าโซดามินต์ช่วยปรับสมดุลย์ของเลือด ทำให้เลือดมีค่า pH 7.4 ตอบ : บางครั้ง การให้โซดามินต์จะทำให้เป็นด่างมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ คือโซดามินต์เป็นยาที่ปรับให้ร่างกายเป็นด่างในคนไข้ที่ร่างกายเป็นกรด การให้โซดามินต์ก็อาจจะทำให้ pH หรือระดับกรดด่างในร่างกายสมดุลย์ แต่ต้องให้หมอเป็นคนวินิจฉัยว่าคนไข้จำเป็นจะต้องกินโซดามินต์ไหม ซึ่งเช็กเลือดครั้งเดียว ก็รู้แล้วว่าปริมาณไบคาร์บอเนตหรือ pH ในเลือดนั้นเหมาะสมไหม ถ้าไม่เหมาะสม ก็จะให้โซดามินต์ในการปรับสมดุลย์ให้เหมาะสมกับสุขภาพ ต้องให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัย แล้วก็ปรับยาให้เหมาะสม เพราะว่าโซดามินต์ในคนไข้แต่ละคน ให้ขนาดยาไม่เท่ากัน ถ้าให้มากไปก็มีผลเสีย ให้น้อยไปก็ไม่เพียงพอ ถาม : เขาบอกว่าโซดามินต์ช่วยลดกรดยูริกจากอาหารและน้ำตาลฟรุกโตส ลดความเสี่ยงเป็นเกาต์ ตอบ : คือคนที่กินฟรุกโตสเยอะ เช่น กินน้ำอัดลม น้ำหวาน โอกาสเป็นเกาต์ก็สูงขึ้น โอกาสที่กรดยูริกสูงก็จะมี แล้วก็อาจจะตกตะกอนในที่ต่างๆ รวมทั้งที่ไตด้วย ในกรณีแบบนี้ถ้าเกิดคนไข้ที่มีความเสี่ยง แพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัย แล้วก็เป็นคนจ่ายยาโซดามินต์ให้ในกรณีที่มีความจำเป็น แต่ถ้าเกิดคนปรกติไปซื้อโซดามินต์มาทาน อาจจะไม่ได้เป็นการป้องกัน แต่อาจจะมีผลเสียในระยะยาวด้วย ถาม : เขาบอกว่าโซดามินต์ช่วยชะลอไตเสื่อม ตอบ : ในกรณีที่มีความผิดปรกติของไต โดยเฉพาะโรคไตระยะต้น การรักษาด้วยยาโซดามินต์ มีผลวิจัยทางการแพทย์บอกว่าอาจจะช่วยชะลอความเสื่อมของไตได้บ้าง แต่เป็นผลวิจัยระยะสั้น ยังไม่มีการติดตามในระยะยาวในผู้ป่วยที่เป็นโรคไต อย่างไรก็ดี แพทย์โรคไตมักจะให้โซดามินต์ในกรณีที่เลือดเป็นกรด และก็เป็นโรคไตระยะต้น หรือโรคไตระยะสุดท้าย ที่จำเป็นจะต้องปรับสมดุลย์ของกรดด่างในร่างกายให้เหมาะสม เน้นว่า โซดามินต์ไม่ได้รักษาโรคไต และก็คนปรกติ ถ้ากินโซดามินต์ ก็ไม่ได้ป้องกันโรคไต ถาม : เขายังบอกว่าลดความเป็นกรดของเลือดหลังออกกำลังกาย ตอบ : ออกกำลังกาย บางครั้งทำให้มีกรดบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วร่างกายก็จะสามารถกำจัดกรดนี้ออกได้ ทางไตหรือทางลมหายใจ ร่างกายมีกลไกในการควบคุมกรดด่างในร่างกายอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่มีโรคไต ไม่มีโรคทางปอด โรคหัวใจอยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องทานโซดามินต์ ไม่มีประโยชน์อะไรมากขึ้น ถาม : จริงๆ แล้ว โซดามินต์นี่คืออะไร ตอบ : โซดามินต์ ชื่อทางเคมีคือ โซเดียมไบคาร์บอเนต ไบคาร์บอเนตเป็นด่าง ซึ่งจะไปปรับกรดด่างหรือว่า pH ให้อยู่ในเกณฑ์พอเหมาะในสมดุลย์ของร่างกาย แต่ตัวโซเดียม เป็นตัวที่นำไบคาร์บอเนตนี้เข้าไปในร่างกาย ก็มีประโยชน์ในการทำอาหาร แต่ว่าต้องใส่ให้พอเหมาะ ใส่มากไปก็มีโทษ ถ้าเราทานโซเดียมมากเกินไป ก็จะไปทำให้เกิดอาการบวม ไปคั่งอยู่ที่ไต หรือที่หัวใจ ทำให้ความดันสูง เพราะฉะนั้น การทานโซดามินต์ ก็อาจจะต้องระมัดระวังด้วย โดยเฉพาะคนที่มีโรคหัวใจ โรคไต อยู่เดิม ก็จะทำให้เกิดการบวมมากขึ้น ไตทำงานหนักมากขึ้น ควรจะทานเท่าที่จำเป็นและก็ภายใต้การดูแลของแพทย์ 1 เม็ด มีตัวยาประมาณ 300 มิลลิกรัม ถ้าทาน 10 เม็ดต่อวัน (อย่างที่แชร์บอกกัน) ก็จะประมาณ 3000 มิลลิกรัม ทำให้ได้โซเดียมในปริมาณสูงพอควร ถาม : แล้วถ้าคนที่อยากปรับสมดุลร่างกายล่ะ ตอบ : การที่บอกว่าร่างกายเป็นกรดด่างเนี่ย จริงๆ แล้ว ธรรมชาติสร้างมาอยู่แล้วว่าเป็นหน้าที่ของปอด กับหน้าที่ของไต ในการที่จะปรับสมดุลของกรดด่างในร่างกายอยู่แล้ว แล้วร่างกายก็มีตัวบัฟเฟอร์ หรือตัวที่จะไปทำให้กรดด่างนั้นปรกติอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการที่ทานโซดามินต์ หรือว่าการทานด่าง ก็ไม่น่าจะมีประโยชน์ ยกเว้นกรณีที่ระบบของร่างกายสูญเสีย ไม่ว่าจะมีโรคประจำตัว โรคหัวใจ โรคไต โรคปอดต่างๆ บางครั้งทำให้เลือดเป็นกรด ก็อาจจำเป็นต้องทานโซดามินต์เสริมเข้าไปเพื่อทดแทน แพทย์จะเป็นผู้ดูแล ถาม : ถ้ามีคนอยากจะกิน กินแล้วจะอันตรายไหม ตอบ : ถ้าเกิดทานโซดามินต์ ปริมาณมาก ก็จะมีโซเดียมโหลด ดังนั้น ในกรณีที่มีปัญหาเกลือเกิน มีอาการบวม มีโรคหัวใจ หรือโรคไต ไม่ควรซื้อยาทานเอง 📌 สรุป : ที่แชร์แนะนำให้กินโซดามินต์เป็นประจำเพื่อสุขภาพนั้น ❌ ไม่ควรแชร์ต่อ ❌ เพราะโซดามินต์ มันไม่ใช่ยาที่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ ควรจะให้แพทย์เป็นผู้ดูแล และเป็นคนจ่ายยาเท่าที่จำเป็น ข้อมูลจาก https://www.sanook.com/women/249893/ และ https://www.youtube.com/watch?v=pxaV0qhYg2sสุขภาพผู้บริโภคเฝ้าระวังไม่ระบุชื่อ• 6 วันที่แล้ว
- 1 คนสงสัยhttps://vt.tiktok.com/ZSMVDSFLS/ไม่ระบุชื่อ• 6 วันที่แล้ว
- 1 คนสงสัยมีม เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 6 วันที่แล้ว2 คนว่า มีความเห็นส่วนตัว
- 1 คนสงสัยข่าวการเมืองการเงินไม่ระบุชื่อ• 7 วันที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยการบินไทยกำหนดมาตรการการพกพา Power Bank เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร เนื่องจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นกับสายการบินต่างประเทศ ซึ่งมีข้อสันนิษฐานว่าอาจเกี่ยวข้องกับการใช้งาน Power Bank ระหว่างเที่ยวบิน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จึงกำหนดมาตรการด้านความปลอดภัย โดยไม่อนุญาตให้ใช้ Power Bank ระหว่างอยู่บนเครื่องบิน มีผลตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวมีขึ้นเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยสูงสุดของผู้โดยสารและลูกเรือ ขอความร่วมมือทุกท่านปฏิบัติตามข้อกำหนดดังกล่าวและขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้ … 📢 Important Announcement | Thai Airways Following incidents of in-flight fires on international airlines, suspected to be linked to power bank usage, Thai Airways International Public Company Limited has introduced new safety measures. Starting March 15, 2025, the use of power banks will be prohibited onboard the aircraft. These measures are implemented to ensure the highest level of safety for passengers and crew. We kindly ask for your cooperation in adhering to these regulations and apologize for any inconvenience caused. #ThaiAirways #FlyThai #SafetyFirst #TravelNotice #การบินไทย #รักคุณเท่าฟ้า #แบตเตอรี่สำรอง #เพาเวอร์แบงค์ #ประกาศผู้บริโภคเฝ้าระวังไม่ระบุชื่อ• 7 วันที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยไม่จริงไม่ระบุชื่อ• 7 วันที่แล้ว
- 1 คนสงสัยเพิ่มเงิน สงเคราะห์บุตรจาก800เป็น1000ไม่ระบุชื่อ• 7 วันที่แล้ว