1 คนสงสัย
จริงหรือไม่ ดื่มเบียร์ช่วยลดความเสี่ยงหัวใจวายได้
Mp Feb
 •  8 วันที่แล้ว
1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
meter: false
1 ความเห็น

สุขภาพ

Mp Feb เลือกให้ข้อความนี้❌ มีเนื้อหาที่หลอกลวง

เหตุผล

ปัจจุบันยังไม่พบหลักฐานชัดเจนว่าเบียร์สามารถช่วยลดความเสี่ยงหัวใจวายได้ การดื่มเบียร์หรือแอลกอฮอล์ทุกชนิดในปริมาณมากเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ย

ที่มา

https://shorturl.asia/IO8Pg
  • มี 1 ความเห็น เจ้าของลบไปแล้ว.
  • เพิ่มความเห็นใหม่

    กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

    คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 1 คนสงสัย
    ทานไฟเบอร์ก่อนไข่และชีส ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
    ตามที่มีการแชร์ข้อมูลเรื่องทานไฟเบอร์ก่อนไข่และชีส ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ กรณีมีคลิปวิดีโอถูกเผยแพร่ในสื่อออนไลน์เกี่ยวกับทานไฟเบอร์ก่อนทานไข่และชีส ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ ทางสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและชี้แจงว่า ไฟเบอร์ หรือเส้นใยอาหาร (dietary fiber) คือ คาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายไม่สามารถย่อยสลาย หรือดูดซึมได้ แบ่งได้ 2 ประเภทคือ ชนิดที่ละลายน้ำได้และชนิดที่ไม่ละลายน้ำ มีประโยชน์ต่อร่างกายช่วยลดการดูดซึมน้ำตาล และคอเลสเตอรอลที่ลำไส้ พบมากในผัก ผลไม้ ถั่ว ซีเรียล ธัญพืชเช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด
    chutikarn222549
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ยาต้านไข้หวัดใหญ่เกือบทั้งหมดมีผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย JAMA Internal Medicine 13 มกราคม 2025 • ยาต้านไข้หวัดใหญ่มีผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยต่ออัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ทั้งที่มีความเสี่ยงต่ำและมีความเสี่ยงสูง • ยกเว้นบาโลซาเวียร์ตัวเดียวที่อาจเป็นประโยชน์ต่อ“ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง”และ“อาการไม่มาก”แม้ว่ายาตัวนี้อาจส่งผลต่อการดื้อยาได้ 10 % การทบทวนอย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์ข้อมูลรวมของการ ศึกษา 73 รายงาน ที่ประเมินผลของ ยาต้านไวรัสใน“ผู้ป่วยนอก”ที่เป็นไข้หวัดใหญ่ พบว่าบาโลซาเวียร์เป็นยาตัวเดียวที่อาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงแม้ว่ายาตัวนี้อาจส่งผลต่อการดื้อยาก็ตาม บาโลซาเวียร์อาจดีกว่าการรักษาแบบมาตรฐานหรือยาหลอกในการลดความเสี่ยงในการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล สำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงที่เป็นไข้หวัดใหญ่ที่ไม่รุนแรง และมีแนวโน้มที่จะลดระยะเวลาในการบรรเทาอาการลงโดยมีผลข้างเคียงเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย ตามผลของการทบทวนอย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์ข้อมูลรวม เพื่อเปรียบเทียบผลของยาต้านไวรัสในการรักษาไข้หวัดใหญ่แบบไม่รุนแรง นักวิจัยได้ค้นหาฐานข้อมูลออนไลน์ที่เปรียบเทียบ ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ออกฤทธิ์โดยตรง (บาโลซาวิร์ฟาวิพิราเวียร์ ลานินามิเวียร์ โอเซลทามิเวียร์ เปรามิเวียร์ อูมิเฟโนเวียร์ ซานามิเวียร์ และอะแมนทาดีน) กับยาหลอก การดูแลมาตรฐาน หรือยาต้านไวรัสชนิดอื่น ผลลัพธ์ได้แก่ อัตราการเสียชีวิต การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล การเข้ารับการรักษาใน ICU ระยะเวลาในการรักษาในโรงพยาบาล เวลาในการบรรเทาอาการ การเกิดการดื้อยา และเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ • มีการทดลองทั้งหมด 73 รายงาน ซึ่งมีผู้เข้าร่วม 34,332 คนรวมอยู่ในผลการศึกษา ผลการวิจัยได้รับการตีพิมพ์โดย JAMA Internal Medicine เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2025 การวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่า • ยาต้านไวรัสทุกชนิดมีผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยต่ออัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ทั้งที่มีความเสี่ยงต่ำและมีความเสี่ยงสูงเมื่อเปรียบเทียบกับการดูแลมาตรฐานหรือยาหลอก (มีความแน่นอนสูงสำหรับยาทุกชนิด) • ยาทั้งหมดมีผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยต่อการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่ำ (ความแน่นอนสูง) ยกเว้นเพอรามิเวียร์และอะมันทาดีน ซึ่งไม่มีข้อมูลให้ สำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง • บาโลซาวิร์“อาจ”ช่วยลดความเสี่ยงในการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้ (ความแตกต่างของความเสี่ยง [RD] -1.6%; ช่วง CI 95% -2.0% ถึง 0.4%; ความแน่นอนต่ำ) • โอเซลทามิเวียร์มีผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยต่อการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล (RD] -0.4%; ช่วง CI 95% -1.0% ถึง 0.4%; ความแน่นอนสูง) • และยาอื่นๆ ทั้งหมดอาจมีผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่แน่นอน นอกจากนี้ บาโลซาวิร์อาจลดระยะเวลาของอาการได้ (ค่าความแตกต่างเฉลี่ย [MD] −1.02 วัน; ช่วง CI 95% −1.41 ถึง −0.63 วัน; ความแน่นอนปานกลาง) และอูมิเฟโนเวียร์อาจลดระยะเวลาของอาการได้ (MD −1.10 วัน; ช่วง CI 95% −1.57 ถึง −0.63 วัน; ความแน่นอนต่ำ) โอเซลทามิเวียร์อาจไม่มีผลสำคัญต่อระยะเวลาในการบรรเทาอาการ (MD −0.75 วัน; ช่วง CI 95% −0.93 ถึง −0.57 วัน; ความแน่นอนปานกลาง) นอกจากนี้ บาโลซาวิร์ยังมีเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย (RD, -3.2%; 95% CI, -5.2% ถึง -0.6%; ความแน่นอนสูง) และโอเซลทามิเวียร์อาจทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอาการคลื่นไส้และอาเจียน (RD, 2.8%; 95% CI, 1.2% ถึง 4.8%; ความแน่นอนปานกลาง) ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และ ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    ไม่ระบุชื่อ
     •  2 เดือนที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    กัญชารักษา39โรคนี้ได้จริงไหมครับ
    💝39โรค หายได้ด้วยกัญชา ประโยชน์ของกัญชาทางการแพทย์💝 🍀💐เอาสิ พี่กัญออกฤทธิ์. ปราบเรียบ 39 โรค มีอะไรบ้างไปดูกันเล้ย😊🤟 1 กัญชาสามารถหยุดการแพร่กระจายของมะเร็งไม่ให้ลุกลามและกำจัดเซลมะเร็งได้ โดยไม่ทำร้ายหรือสร้างความเสียหายให้กับเซลปกติ 2 กัญชาสามารถรักษาต้อหิน 3 กัญชาสามารถป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้(thcสามารถยับยั้งเซลล์เอเบตาโปรตีนไม่ให้ผลิตสารพิษที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคอัลไซเมอร์) 4 กัญชาสามารถช่วยลดอาการอักเสบ 5 กัญชาสามารถควบคุมและรักษาโรคลมชัก 6 กัญชาสามารถลดความเจ็บปวดจากโรคระบบประสาทส่วนกลางเสื่อม 7 กัญชาสามารถรักษโรคโครห์น (Crohn’s Disease) ความผิดปกติเรื้อรังของลำไส้ใหญ่ได้ 8 กัญชาสามารถช่วยควบคุมและรักษาโรคพากินสัน 9 กัญชาสามารถลดความวิตกกังวล 10 กัญชาสามารถช่วยในการยับยั้งการสร้างสารก่อมะเร็งและปรับปรุงสุขภาพปอดได้ 11 กัญชาสามารถลดความเจ็บปวดจากเคมีบำบัด 12 กัญชาสามารถปรับปรุงอาการของโรคลูปัสหรือโรคเอสแอลอี (โรคพุ่มพวง) 13 กัญชาสามารถช่วยปกป้องสมองจากความเสียหายของโรคหลอดเลือดสมอง 14 กัญชาสามารถควบคุมกล้ามเนื้อกระตุก 15 กัญชาสามารถรักษาโรคลำไส้อักเสบ 16 กัญชาสามารถช่วยขจัดฝันร้าย 17 กัญชาสามารถปกป้องสมองจากการถูกกระทบกระแทกและการบาดเจ็บ 18 กัญชาสามารถช่วยให้เจริญอาหาร 19 กัญชาสามารถช่วยขยายหลอดลมและลดการหดตัวของหลอดลม 20 กัญชาสามารถแก้โรคบิด แก้ปวดท้อง และโรคท้องร่วง 21 กัญชาสามารถช่วยแก้อาการประจำเดือนไม่ปกติของสตรี 22 กัญชาสามารแก้โรคผิวหนังกลากเกลื้อน 23 กัญชาสามารถแก้ปวดหัวไมเกรน 24 กัญชาช่วยรักษาการอุดตันของเส้นเลือดในสมอง 25 กัญชาสามารถช่วยบำบัดผู้ติดยาเสพติดชนิดรุนแรงเช่นเฮโรอีน 26 กัญชาสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตสูงได้ (รักษาเบาหวาน) 27 กัญชาสามารถช่วยรักษาแผลสด แผลหายยากจากเบาหวาน ให้แห้งและหายได้ 28 กัญชาช่วยทำให้มีอารมณ์เบิกบานแจ่มใสมีสมาธิและจิตใจสงบ 29 กัญชาสามารถช่วยผู้ป่วยที่ติดเชื้อHIVหรือเอดส์ให้สามารถใช้ชีวิตได้ดีขึ้น 30 กัญชาสามารถช่วยป้องกันโรคตับแข็ง 31 กัญชาสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น 32 กัญชาสามารถช่วยรักษาอาการกระดูกหักให้หายไวขึ้น และยังทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้นด้วย 33 กัญชาสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากความเสียหายของระบบปเส้นประสาททั้งร่างกายและระบบเชื่อมต่อในสมอง 34 กัญชาสามารถรักษาโรคภูมิแพ้ต่างๆได้ 35 กัญชาสามารช่วยรักษาอาการโรคปลอกประสาทอักเสบหรือโรคเอ็มเอส (MS) 36 กัญชาช่วยแก้อาการแข็งเกร็งจากอัมพฤกษ์อัมพาตได้ 37 กัญชาสามารถแก้ไข้ผอมเหลือง ไม่มีกำลัง ตัวสั่นได้ 38 กัญชาสามารถรักษาแผลในเซลล์ลำไส้ที่เกิดจาการอักเสบของโรค crohn's disease ได้ (จาการทดสอบในตาจึงอาจนำไปสู่การใช้ในผู้ป่วยเบาหวานที่กำลังจะสูญเสียตาได้อีกด้วย) 39 กัญชาสามารถช่วยต่อสู้กับโรคลูคีเมียได้ กัญชาสามารถยับยั้งอารมณ์เกรี้ยวกราดได้ นี่เป็นเพียงบางส่วนเล็กๆเท่านั้นที่กัญชาสามารถทำได้ และโปรดจำไว้ว่า กัญชาเป็นมากกว่ายา..แต่ในฐานะยา.. "กัญชาคือยาที่ปลอดภัยที่สุดในโลก" ..เท่าที่มนุษย์จะหาได้..ในเวลานี้ (กัญชาใช้เป็นยาได้ทั้งมนุษย์และสัตว์) และกัญชายังมีความลับซ่อนอยู่อีกมาก.. 🤔
    Klamongkhon Klinhom
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ซื้อเสื้อหนาวมือสอง ควรซักและฆ่าเชื้อก่อนนำมาสวมใส่ จริงหรือ
    สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชัยนาทฝากแจ้งเตือนถึงประชาชนว่า ในการซื้อเสื้อผ้ามือ 2 มาใช้งาน ก่อนนำมาสวมใส่ควรจะต้องซักฆ่าเชื้อให้สะอาดก่อนอย่างน้อย 1-2 ครั้ง โดยการทำความสะอาดมีอยู่ 2 วิธีคือ 1.นำเสื้อผ้า-เครื่องกันหนาวมือสองที่ซื้อมา แช่ลงในน้ำยาฆ่าเชื้ออย่างน้อย 30 นาที ก่อนนำไปซักตามปกติ หรือหากไม่มีน้ำยาฆ่าเชื้อก็สามารถเลือกใช้วิธีที่ 2 คือ นำเสื้อผ้ามือสองลงต้มในน้ำเดือดอย่างน้อย 15 นาที ก่อนนำไปซักตามปกติ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อจากเสื้อผ้ามือสอง ที่อาจจะปนเปื้อนมากับการขนส่ง หรือโรคผิวหนังที่ติดมากับเสื้อผ้า
    anonymous
     •  5 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    Covid-19: Alert Code Red - We are under attack! เรากำลังโดน Wave#2 โจมตีแบบ Full-Scale ครับ เตือนภัยระดับสูงมากนะครับ เวลาได้หมดลงแล้ว มันชัดแล้วว่าเรากำลังโดนโจมตีแบบ Exponential จาก Wave#2 ซึ่งถ้าเราทุกคนยังไม่ทำอะไรที่เข้มงวดขึ้นกว่านี้อย่างมากถึงมากที่สุด อีกไม่เกิน 1 เดือน เราจะเผชิญกับหายนะทางเศรษฐกิจและสุขภาพ ในแบบที่ยากยิ่งแก่การจินตนาการครับ ต้องย้ำนะครับ ตั้งแต่จบ WW2 มา นี่คือสถานการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดบนโลกนี้ และรวมถึงในประเทศนี้ด้วยครับ ก้าวข้ามเส้นอันตราย: เราได้ก้าวข้ามสถานการณ์ในระดับเดียวกับเมื่อวันที่ 22 มี.ค. 2020 ของ Wave#1 มาแล้ว ตอนนั้นผู้ติดเชื้อสะสม 599 โดยมี %Increase ระดับ 20% เราตัดสินใจ Lockdown เข้มงวดทั้นที และจบได้ภายใน 56 วัน ณ วันนี้ Wave#2 เฉพาะแค่ติดเชื้อในประเทศไม่รวมแรงงานต่างด้าว ก้าวข้ามเส้นนั้นมาแล้ว โดยแตะระดับ 603 คน ที่ %Increase สูงถึง 28.57% ซึ่งร้ายแรงมากและแสดงถึงการโจมตีแบบ Exponential ในรูปแบบของ Wave#2 แบบเดียวกับที่ Virus เข้าโจมตียุโรป ความล้มเหลวของ Soft Lockdown ในยุโรป และความพ่ายแพ้ของเยอรมนี: ยุโรปโดยเฉพาะเยอรมนีเคยชนะ Wave#1 มาอย่างมั่นใจ เมื่อ Wave#2 มาถึงจึงใช้การต่อสู้ที่เบาลงโดยใช้แค่ Soft Lockdown สุดท้าย EURO5 เข้าสู่หลักล้านกันทั่วหน้า พร้อมกับผู้เสียชีวิตจำนวนมากภายในเวลาไม่ถึงสองเดือน เยอรมนีถูกโจมตีแบบแทบไม่ทันตั้งตัว ตัวเลขวิ่งจาก 400,000 ไปเป็น 1,000,000 ภายในเวลาแค่ 35 วัน และผู้เสียชีวิตจาก 9,000 ของ Wave#1 กลายมาเป็น 31,000 เยอรมนีสูญเสีย 20,000 ชีวิตในเวลาแค่ 2 เดือน ทั้งๆที่เป็นประเทศที่เตรียมตัวมาพร้อมมากๆ ไทย กับ Soft Lockdown ที่ไม่เป็นผล: นับตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค. ผ่านมาแล้ว 11 วัน เราทยอยทำ Soft Lockdown ทีและพื้นที่ และตัวเลข %Increase ก็ยังไม่ลดลงไปต่ำกว่า 30% อย่างมีนัยยะสำคัญ ผมคิดว่าตัวเลขได้บอกเราชัดเจนว่า "หมดเวลาแล้ว" แต่ต้องกราบเรียนทีมงานสาธารณสุขทุกท่านครับว่าไม่มีเหตุผลใดที่เราจะต้องเสียใจกับ Soft Lockdown ที่ไม่ได้ผล เพราะมันไม่เคยได้ผลเลยเมื่อเผชิญหน้ากับ Wave#2 ไม่ว่าจะในยุโรป ญี่ปุ่น เมียนมาร์ หรือมาเลเซีย ทุกประเทศทำไปได้แค่จุดนึง ระบบสาธารณสุขล่ม ก็ต้องกลืนเลือดแล้ว Full-Scale Lockdown ครับ ผมว่าเราได้พยายามเต็มที่อย่างดีที่สุดแล้วครับ มองตัวเลขไปข้างหน้า ถ้า %Incrase ยังเป็น 30% และข่าวร้าย: ผมทำกราฟของ %Increase และ Total Case มาให้ดูนะครับ ของไทยที่ไม่รวมแรงงานต่างด้าวคือสีม่วง เส้นสีม่วงประคือเส้นพยากรณ์ถ้าเรายังไม่ทำอะไรที่ดีกว่านี้ สีเขียวคือไทยที่รวมแรงงานต่างด้าว และสีแดงคือเมียนมาร์ ส่วนสีเหลืองคือดานัง ซึ่งเราไม่ต้องมองแล้วครับเราไม่มีทางทำได้แล้ว ข่าวร้ายที่ 1: กราฟเราตอนนี้ แย่กว่า Wave#2 ของเมียนมาร์ครับ %Increase พอๆกัน แต่เราเปิดที่ตัวเลขสูงกว่ามาก และเมียนมาร์หลังจากนี้กราฟจะลดลงเพราะเขาทำ Hyper Lockdown ที่ย่างกุ้งครับ ข่าวร้ายที่ 2: เราเข้าสู่ Exponential ที่จุดพุ่งขึ้นชันแล้วครับ Golden Period ได้ผ่านไปแล้ว ข่าวร้ายที่ 3 ตัวเลขที่เราจะเห็น ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป: กรณี Wave#2 ไม่รวมแรงงานต่างด้าว 1 ม.ค. ตัวเลขระดับ 1,400 คน 8 ม.ค. ตัวเลขระดับ 10,000 คน 16 ม.ค. ตัวเลขระดับ 100,000 คน 31 ม.ค. ตัวเลขระดับ 1,000,000 คน ผมคิดว่า ไม่มีทางที่เราจะหยุดไวรัสตัวนี้ได้ด้วย Soft Lockdown ยุโรปลองมาแล้ว สุดท้ายก็ต้องไป Lockdown ที่ตัวเลขหลักล้าน เพราะสู้ไม่ไหวจริงๆ และเสียหายหนักมาก หลายคนอาจจะคิดว่าพอติดไปเยอะๆเดี๋ยวตัวเลขต่อวันมันจะอิ่มตัว ก็ลองกัน แล้วสุดท้ายมันก็ขึ้นไปได้เรื่อยๆเป็นวันละหมื่น หลายหมื่น เป็นแสน จนต้องยอมแพ้ เตรียมพร้อมครับ สำหรับการเจ็บแต่จบ: ผมคิดว่า รัฐบาลกำลังชั่งใจว่าจะ Lockdown ก่อนหรือหลังปีใหม่นะครับ ผมคิดว่าพวกเราทุกคนไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันได้แน่นอน ทุกท่านที่เดินทางไปเที่ยวปีใหม่ ฉลองกันในที่ต่างๆ ผมแนะนำแบบนี้ครับ 1. ดื่มด่ำกับมันให้เต็มที่ อย่างมีสติ เพื่อเตรียมพลังใจสำหรับ Stay Home 2. หลังปีใหม่เดินทางไปที่ที่ท่านคิดว่าจะอยู่ที่นั่นอีก 3 เดือน 3. ทำธุระสำคัญ หาหมอ ตัดผม ซื้อของที่จะทำให้การอยู่บ้านมีความสุข 4. เมื่อจะออกจากโรงแรม จะออกจากร้านอาหาร ช่วยกันทิปให้มากๆ พนักงานเหล่านั้น พวกเขาจะลำบากไปอีกหลายเดือน เราจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มของเขาไปอีกนาน 5. Work From Home ทันทีหลังปีใหม่ มีคนจำนวนมากที่ยังไงก็ต้องเดินทางไปทำงาน การ WFH ของท่านจะช่วยลดความเสี่ยงของคนที่เขาไม่มีทางเลือก 6. ส่งกำลังใจให้ทีมงานสาธารณสุขของเรามากๆ พวกเขาคือด่านหน้า และศึกนี้หนักหนาสาหัสอย่างยิ่ง แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยตั้งแต่เราตั้งโรงเรียนแพทย์มาครับ ผมอยากจะย้ำอีกครั้งครับว่า แม้เราจะไม่มีทาง Save ปีใหม่ วันเด็ก และตรุษจีนได้แล้ว แต่ผมเชื่อว่า เรายัง Save สงกรานต์ปีหน้าได้อยู่ เรายังไม่สายเกินไปที่จะหยุด Virus ตัวนี้ครับ ช่วยกันครับ อยู่บ้าน WFH ดูแลกันและกัน ส่งกำลังใจผู้คนที่ต่อสู้ แล้วอีก 3 เดือนเราจะเตรียมออกมาฉลองปีใหม่ด้วยกันครับ "สงกรานต์" ปีใหม่ไทยของพวกเราครับ #Saveสงกรานต์
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ดื่มเบียร์ ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง จริงหรือ
    มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอในสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับประเด็น ดื่มเบียร์ ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง จริงหรือ
    anonymous
     •  5 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    การนอนดึกเป็นการตั้งใจทำร้ายตนเอง อย่างร้ายแรงที่สุด(ถึงกับทำให้เป็นมะเร็งได้ จริงหรือ
    🙋‍♀️อดีตนอนดึกมาตลอด ปัจจุบันนอนไม่เกิน 4 ทุ่มครึ่ง อย่าให้สายเกินแก้ รีบปฎิบัติด่วน ❤️ด้วยรักและหวังดีอย่างจริงใจครับ ● บ้านไหนมีคน นอนดึก จำเป็นต้องอ่านบทความนี้นะครับ ● เพราะอะไร ? เพราะการนอนดึกๆ ทำให้ "อวัยวะสำคัญๆ" ของร่างกาย เช่น สมอง หัวใจ หลอดเลือด ต่อมไร้ท่อ เช่น ต่อมไธรอยด์ และภูมิคุ้มกันร่างกายเสียหาย จึงเป็นเรื่องที่ต้องไม่ประมาท มาฟังหมอด้านเวชศาสตร์ชลอวัย อธิบายให้เข้าใจกัน 🔷️ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เล่าให้ฟังถึง ● ผลเสียของการนอนดึก ▪️ใครที่นอนเกิน 5 ทุ่มครื่ง จะมีผลทำให้ 5 อวัยวะหลักเสื่อมโทรมเร็วขึ้น ทั้ง 1▪️ สมอง 2▪️ หัวใจ 3▪️ หลอดเลือด 4▪️ ต่อมไร้ท่อ เช่น ต่อมไธรอยด์ และ 5 ▪️ ภูมิคุ้มกันร่างกาย 🔷️ แต่ถ้าปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตมาเป็นคนนอนเร็วขึ้น ตั้งแต่ 4 ทุ่มไม่เกิน 5 ทุ่มครึ่งซึ่งเป็นนาทีทองของการนอน ก็จะช่วยให้มีสุขภาพดีขึ้นถึง 10 ประการ ดังนี้ :- 1. สมองสร้างเคมีสุข อย่างที่รู้ว่า สมองเป็นหัวเรือใหญ่ในการแจกงานให้อวัยวะต่างๆ แม้แต่เวลานอนก็ยังมอบรางวัลให้ร่างกาย ทั้ง ▪️ เคมีนิทรา (เมลาโทนิน) ▪️ เคมีสุข (ซีโรโทนิน) ▪️และฮอร์โมนเพศ ▪️แถมยังมีเคมีบำรุงร่างกายออกมา ช่วยควบคุมระบบในตัวเราให้ทำงานราบรื่น ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น สร้างเกราะป้องกันอาการป่วยเจ็บได้ด้วย 2. สร้างเคมีหนุ่มสาวปกติแล้ว เคมีหนุ่มสาวที่เรียกว่า โกรทฮอร์โมน จะค่อย ๆ ลดลงตามวัย รวมทั้งการนอนดึกก็ทำให้โกรทฮอร์โมนน้อยลงไปด้วย ☆แต่ถ้าเราเข้านอนเร็ว สักราว 4 ทุ่ม ไม่เกิน 5 ทุ่มครึ่ง ☆สมองจะช่วยผลิตโกรทฮอร์โมนธรรมชาติให้ ☆สรุปว่ายิ่งเราหลับไว หลับสนิท ☆ เราก็ยิ่งดูอ่อนเยาว์ ☆เพราะโกรทฮอร์โมน จะหลั่งในช่วงเวลา 00.00-01.30 น. รวมเวลา 1 ชม.ครึ่งเท่านั้น ซึ่งจะช่วยซ่อมเสริมภูมิต้านทานโรค ให้มีพลังร่างกายที่มีความสมบูรณ์มากขึ้น 3. ความจำดีขึ้น การศึกษาจากสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (APA) ระบุว่า ☆คนที่นอนหลับได้ในช่วง 4 ทุ่ม ถึง 5 ทุ่ม ปรากฏผลงานวิจัยติดตาม พบว่า ☆ มีผลต่อความจำ ความมีสมาธิ อย่างมีนัยสำคัญ ☆และ ลดอุบัติเหตุลงได้มากขึ้น ☆นั่นก็เพราะเวลาเรานอน สมองจะมีกลไกช่วยจัดระเบียบ คล้ายกับการแยกอีเมลขยะออกไป ☆แต่ถ้าเราอดนอน เราจะรู้สึกมึน ลืมง่าย หรือ ไม่ก็ลิ้นพันกัน คิดอย่างพูดอย่าง หรือ อาจเผลอเรอได้ง่ายๆ ดังนั้น ต้องนอนให้เต็มอิ่ม จะได้เป็นการชาร์จแบตให้สมอง พร้อมรับความจำใหม่ๆ ได้ดี 4. คุมความดันโลหิตได้ การนอนหลับเร็ว ☆จะช่วยให้ระบบประสาทอัตโนมัติทั้งหลาย และกลไกทางชีวิวิทยา ที่เป็นเหมือนฟันเฟืองขนาดจิ๋ว ที่ทำงานซับซ้อน ☆ช่วยควบคุมหัวใจ และความดันโลหิตให้สงบลง ไม่แกว่งขึ้นลงง่ายเหมือนกับตอนตื่นนอน 5. ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนสึกหรอ คนก็เหมือนเครื่องยนต์ ทำงานมาหนัก ก็ต้องหยุดพักบ้างจริงไหม ☆ซึ่งการนอนก็เหมือนเข้าอู่ซ่อมรถ ช่วยซ่อมแซมร่างกายที่สึกหรอ ☆ช่วยให้สมองได้พักผ่อน ☆กล้ามเนื้อคลายตัว ☆หัวใจสงบขึ้น ☆ความดันลดลง โดยเฉพาะ ☆ถ้าหลับลึกได้ในช่วง 00.00 - 01.30 น. ในแต่ละคืน สุขภาพย่อมแข็งแรง เสมือนย้อนไปในช่วงที่อยู่ในวัยเบญจเพศได้ 6. ลดความเสี่ยงโรคอ้วน ☆ถ้าเรานอนเร็ว จะทำให้เราไม่หิวกลางดึก อันเป็นต้นเหตุที่ทำให้อ้วน ☆นอกจากนั้น ยังมีกลไกดับหิวด้วยการสร้างเคมีดับหิวขึ้นมา ทำให้การนอนเร็วช่วยคุมน้ำหนักตัวได้ดีกว่า ☆อีกทั้งยังกระตุ้นเตาเผาในร่างกาย ให้ทำงานได้ดี ☆ ช่วยให้ไม่อ้วนง่าย ไม่สร้างเคมีเก็บไขมันมากด้วย 7. มีความสุขง่ายขึ้น ☆ยิ่งอดนอนมาก สมองของเราก็ยิ่งอึมครึม ทำให้ขาดสมาธิ ความจำก็ไม่ดี อะไรมากระทบนิดกระทบหน่อย ก็หงุดหงิดอา รมณ์เสียแล้ว แล้วจะมีความสุขได้อย่างไรล่ะ ☆ แต่ถ้าเราลองนอนให้เร็วขึ้น เราจะได้นอนอย่างเต็มอิ่ม ร่างกายและสมองได้พักผ่อน ความจำดี มีสมาธิ มองอะไรก็มีความสุขได้ง่ายขึ้นจริง ๆ นะ 8. ได้ล้างพิษ เวลาที่เรานอน จะเป็นช่วงเวลาที่อวัยวะอย่าง ตับ ไต ลำไส้ ซึ่งเป็นอวัยวะที่ช่วยล้างพิษทำงานได้ดีขึ้น ลองสังเกตดูสิ ถ้าใครชอบอดนอน หรือ นอนดึก นอกจากหน้าตาดูหม่นหมองแล้ว ยังมีปัญหาท้องผูกด้วย นั่นเพราะส่วนหนึ่งของพิษมาจากการนอนดึก เพราะฉะนั้นสาวๆ ที่ชอบปวดรอบเดือนบ่อย ๆ ให้แก้ไขด้วยการนอนให้เร็วขึ้น จะช่วยคุมเคมีปวดได้มากขึ้น 9. ไม่เสี่ยงโรคกำเริบ เครื่องยนต์ที่ทำงานเกินเวลา ก็เสียได้ นับประสาอะไรกับมนุษย์ที่ไม่ยอมพักผ่อน ไม่ยอมหลับยอมนอน ☆ความเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย ก็อาจทำให้โรคที่พกอยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ พากันแผลงฤทธิ์ขึ้นได้ ☆โดยเฉพาะโรคหัวใจ ☆โรคหลอดเลือดสมอง ☆ความดันสูง ☆ เบาหวาน ☆ ภูมิแพ้ ☆โรคเครียด ☆โรคซึมเศร้า ☆ และโรคมะเร็ง เป็นต้น 10. ช่วยป้องกันการแก่ให้ช้าลง ☆ไม่อยากแก่ รีบชวนกันนอนตั้งแต่ 4 ทุ่ม หรือ สูงสุด ไม่เกิน 5 ทุ่มครึ่ง ☆ เพราะ การนอนไม่ดึกมาก จะช่วยเสริมสร้างความเป็นหนุ่มสาว ☆ และช่วยให้หลับสนิทได้ง่ายขึ้น ☆ ไม่ทำร้ายร่างกายให้แก่ก่อนวัยอันควร ☆เพราะ จะช่วยป้องกันความเสื่อมชราให้ช้าลงได้ด้วย . 🔷️อยากมีสุขภาพที่ดีในระยะยาวอย่างยั่งยืน ต้องเปลี่ยนที่พฤติกรรม ฝึกให้เป็น นิสัย 🔷️ทานอาหารที่เป็นประโยชน์ 🔷️ ออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ ▪️ จะทำให้เรามีภูมิต้านทานที่ดี หลายๆ คนบอกรู้แต่บางครั้งก็ยังทำไม่ได้ มาลองจัดระเบียบชีวิตกัน (บอกตัวเองด้วย ^^) เพราะไม่มีใครสามารถให้ สุขภาพ ที่ดีกับเราได้ ยกเว้นเราต้องทำให้ตัวเอง และร่างกายคือบ้านที่เราต้องรักษาเพื่อดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นสุข การป้องกันดีกว่าการซ่อมแซม เราคงไม่อยากเอาเงินที่หามาได้ไปแลกกับความเจ็บป่วยและค่ารักษาพยาบาลที่แพงขึ้นทุกวัน . ด้วยรักและปรารถนาดี ❤️ ❤️
    Mrs.Doubt
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    เคล็ดลับกินกล้วยน้ำว้าห่าม คุณประโยชน์ป้องกันโรค 12 ชนิด จากประสบการณ์จริงของ ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ ประธานคณะกรรมการการสาธารณสุข และอนุกรรมการงบประมาณด้านสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร ผู้เชี่ยวชาญการดูแลสุขภาพด้วยกล้วยน้ำว้ามานานกว่า 20 ปี เพราะการกินกล้วยน้ำว่าห่ามนี้เอง แม้วันนี้จะอายุ 66 แต่ร่างกายแข็งแรงดีเยี่ยม เหมือนคนหนุ่มวัย 30 ดร.นพ.พรเทพ เล่าจากประสบการณ์จริงถึงประโยชน์ของกล้วยน้ำว้าว่า เริ่มกินกล้วยน้ำว้าตั้งแต่ปี 2539 หลังกลับจากอังกฤษ ณ ตอนนั้นมีปัญหาสุขภาพเรื่องโรคกระเพาะอาหาร และโรคกรดไหลย้อน ได้ฟังสรรพคุณของกล้วยน้ำว้าจากคนปลูกกล้วยเวลาไปเล่นเทนนิสทุกวันอาทิตย์ที่กระทรวงสาธารณสุข จึงลองกินกล้วยน้ำว้าห่ามทุกวันๆ ละ 4 ลูก แบ่งกินเช้า 2 ผล เย็น 2 ผล ไม่นานก็หายป่วยปลิดทิ้ง เพราะกล้วยน้ำว้าห่ามมีสารช่วยสมานแผล ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้อย่างดี จากนั้น ดร.นพ.พรเทพ ก็กินกล้วยน้ำว้าเป็นประจำจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 20 ปี ได้รับคุณประโยชน์จากกล้วยน้ำว้าอย่างล้นหลามและน่าอัศจรรย์ เพราะกล้วยน้ำว้าอุดมไปด้วยกรดอมิโน อาร์จีนิน ฮีสตีดินซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่มีในน้ำนมแม่ คนจึงนำมาบดให้กับข้าวให้ลูกกิน 1. กินกล้วยน้ำว้าห่ามแล้วอารมณ์ดี มีความสุข เพราะกล้วยน้ำว้ามีสารทริปโตเฟน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตฮอร์โมนเอ็นโดรฟีน 2. ขจัดความเครียด ช่วยให้หลับสบาย และช่วยต้านภาวะซึมเศร้าได้ด้วย เพราะกล้วยน้ำว้ามีสารทริปโตเฟน ทำให้รู้สึกสงบ ผ่อนคลาย ควรกินก่อนอาหารเย็น 1 ลูก และหลังอาหารเย็น 1 ลูก 3. แก้ท้องผูก เพราะมีกากใย ไฟเบอร์สูง กระตุ้นการขับถ่าย ทำให้อุจจาระนุ่ม ขับถ่ายง่าย ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ โรคกระเพาะ มะเร็งตับ และบรรเทาอาการโรคริดสีดวงทวาร 4. แก้อาการท้องเสีย เพราะกล้วยน้ำว่าห่ามมีสารแทนนินที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ช่วยป้องกันผนังกระเพาะลำไส้ถูกทำลายซึ่งเป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย 5. ลดความดัน เพราะมีสารโพเแทสเซียมจะช่วยขับโซเดียมออกจากร่างกายผ่านเหงื่อ ปัสสาวะ 6. ชะลอชรา ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า เพราะมีสารเบต้าแคโรทีน วิตามินซีสูง และสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอวัย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล 7. ลดความอ้วน ควบคุมน้ำหนัก เพราะกล้วยน้ำว้าห่าม 1 ผล มีน้ำตาลน้ำตาลเชิงเดียว คือกรูโคสและ ฟรุกโตส ประมาณ 1 ช้อนชา เมื่อกินเข้าไปแล้วร่างกายนำไปใช้ได้ทันที ทำให้รู้สึกมีแรง ควรกินก่อนออกกำลัง หรือกินก่อนมื้ออาหาร 1 ผล ทำให้ กินข้าวต่อมื้อลดลง และลดความอยากอาหาร 8. ลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุนในผู้หญิงเร่ิมเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนและผู้หญิงสูงอายุ เพราะกล้วยน้ำว้าห่าม มีแคลเซียมสูง หากนำไปปิ้งหรือต้มปริมาณแคลเซียมจะเพิ่มขึ้น 5-6 เท่า แนะกินกล้วยป้ิงหรือต้มวันละ 1 ลูก จะได้แคลเซียมในปริมาณที่เพียงพอ 9. ดีท็อกซ์ลำไส้ ช่วยให้ถ่ายง่ายแล้ว ลำไส้สะอาด เพราะช่วยกำจัดแบคทีเรียที่เกิดจากการกินเนื้อสัตว์มากจนอุจาระมีกลิ่นเหม็น แนะนำให้กินกล้วยน้ำว้าห่ามวันละ 4 ลูกเป็นเวลา 1 อาทิตย์ อุจจาระไม่เหม็น 10. แก้ปัญหาปากเป็นแผล ร้อนใน ช่วยให้ปากไม่เหม็น 11. ป้องกันโรคโลหิตจาง เพราะกล้วยน้ำว้าห่ามมีธาตุเหล็ก 12. บำรุงเหงือกและช่วยป้องกันฟันผุ จากแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินซี :วิธีกินกล้วยน้ำว้าห่ามให้ได้ประโยชน์ : ลักษณะกล้วยน้ำว่าห่ามที่เหมาะกับการกินเพื่อสุขภาพที่ดี ดร.นพ.พรเทพ บอกว่า ปอกเปลือกแล้วเนื้อไม่เละ เปลือกมีปุยติด และรสชาติไม่หวาน วิธีการกินกล้วยน้ำว้าห่ามที่ถูกต้อง ปอกเปลือกจากบนลงล่าง เริ่มกินจากข้างบนลงไป คำแรกๆ จะรู้สึกฝาดจากยางกล้วย แต่ยางนี้คือ ยาวิเศษ มีส่วนผสมของเพคติน ช่วยรักษาแผลในปาก ช่วยเคลือบกระเพาะป้องกันการเกิดโรคกระเพาะและกรดไหลย้อน โรคทางเดินอาหาร ค่อยๆ กินและเคี้ยวให้ละเอียดจนกินถึงปลายลูก ยางกล้วยจะค่อยๆ หมด จนกินคำสุดท้ายจะได้รสชาติหวานพอดี เห็นหรือยัง! ประโยชน์ของกล้วยน้ำว้าห่ามเยอะขนาดนี้ ใครที่เคยเมิน คงต้องกลับมาคิดใหม่ ทำใหม่ หากอยากสวย สุขภาพดี เวลาไปจ่ายตลาดหรือเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ต อย่าลืมซื้อกล้วยน้ำว้ามาติดบ้านไว้นะ...
    ไม่ระบุชื่อ
     •  5 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ผลิตภัณฑ์ โคโคการ์ลิก ช่วยลดความเสี่ยงโรคเส้นโลหิตในสมองแตกได้
    โคโคการ์ลิก (น้ำมันมะพร้าวผสมน้ำมันกระเทียม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดแคปซูล) / Cocogarlic (coconut oil mixed with garlic oil capsule dietary supplement product) อย. 19-1-15653-5-0072 ระบุสรรพคุณในการจำหน่ายว่า ช่วยลดความเสี่ยงโรคเส้นโลหิตในสมองแตก
    naydoitall
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    กินฟักทองป้องกันสารพัดโรค
    กินฟักทองป้องกันสารพัดโรค . ลดน้ำตาลป้องกันเบาหวาน เปลือกฟักทองที่มีฤทธิ์ทางยา ซึ่งจะไปกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย ก็จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวานได้ งานวิจัยในญี่ปุ่นที่ทำการทดลองกับผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 133 คน พบว่า ผู้ที่กินฟักทองเป็นประจำจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้กินฟักทอง . ลดเสี่ยงมะเร็ง 4 ชนิด งานวิจัยอีกเรื่องหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นเช่นกันพบว่า ผู้ที่กินฟักทองเป็นประจำจะลดโอกาสเสี่ยงการเกิดโรค มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก . ป้องกันสิวและจอประสาทตาเสื่อม เพราะฟักทองมีเบต้าแคโรทีนสูง จึงช่วยป้องกันการเกิดสิว และอาการจอประสาทตาเสื่อม . ลดอาการภูมิแพ้ หอบหืด โรคหัวใจ และภาวะซึมเศร้า ฟักทองยังมีแมกนีเซียมสูง จึงช่วยลดอาการภูมิแพ้ หอบหืดและยังมีวิตามินบี 6 ซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและอาจช่วยแก้ภาวะซึมเศร้าได้ . ลดไขมัน เพื่อหุ่นเพรียว สำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องการลดความอ้วน ฟักทองมีใยอาหารที่ละลายน้ำในปริมาณสูง ใยอาหารจะช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอลที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย นอกจากนี้ยังมีแคลอรีต่ำไขมันน้อย เมื่อกินแล้วจึงไม่ทำให้อ้วน และมีวิตามินซีสูง จึงช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณดี มีน้ำมีนวล . กินฟักทองอย่างไรให้คงคุณค่าสารอาหาร การต้ม นึ่ง อบ หรือผัด ไม่สามารถทำลายเบต้าแคโรทีนในฟักทองได้ แต่หากต้มฟักทองในน้ำ จะสูญเสียวิตามินบี
    Mrs.Doubt
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false