1 คนสงสัย
จริงไหมที่ว่า ปอดของคนไข้ที่อักเสบจากเชื้อโคโรน่าไวรัสจะฟื้นสภาพดีขึ้นไม่ได้
มีกระแสข่าวจากเว็บที่มาจากจีนว่า หากเนื้อปอดถูกทำลายไปแล้วไม่สามารถซ่อมแซมขึ้นมาใหม่ได้ และหมอหลายคนบ้านเราก็บอกว่าถ้าเชื้อไวรัสลงไปที่ปอดแล้วปอดจะฟื้นตัวไม่ได้ ก่อนได้ชื่อโควิด-19 ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ตัวนี้เคยถูกเรียกว่า “โรคปอดติดเชื้อไวรัสลึกลับ” เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าติดเชื้อจากไวรัสชนิดใด ที่สำคัญแพร่เชื้อได้รวดเร็วกว่าซาร์ส และเมอร์ส คนที่มีภาวะปอดอักเสบติดเชื้อ เนื้อปอดถูกจะทำลายมากกว่าร้อยละ 50 แม้หายจากโรค แต่ร่างกายอาจฟื้นตัวไม่ไหว บางรายถึงขั้นเสียชีวิต
naruemonjoy
 •  6 ปีที่แล้ว
meter: mostly-false--middle
3 ความเห็น

โควิด 2019

naruemonjoy เลือกให้ข้อความนี้◑ มีเนื้อหาที่เป็นจริงบางส่วน

เหตุผล

ไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้สร้างความเสียหายต่อร่างกายเราได้อย่างไร บทความจาก bbc.com

ที่มา

https://www.bbc.com/thai/51898463
naruemonjoy เลือกให้ข้อความนี้◑ มีเนื้อหาที่เป็นจริงบางส่วน

เหตุผล

ลักษณะของปอดที่ถูกทำลายมากน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะถูกทำลายอย่างหนัก เฉพาะในผู้ป่วยที่ปอดถูกทำลายมากๆ หรือรุนแรงมากๆ เป

ที่มา

  • มี 1 ความเห็น เจ้าของลบไปแล้ว.
  • เพิ่มความเห็นใหม่

    กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

    คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 1 คนสงสัย
    โควิด ติดแล้ว ปอดจะทำงานไม่เหมือนเดิมตลอดไป จริงหรือไม่
    Don't mean to scare you, folks, but be very cautious, be protective & be safe to you all. ********************************************************** บอย วรพล สิงห์เขียวพงษ์ December 29, 2020 at 4:55 PM โควิด-19 เป็นแล้วโอกาสตายน้อยกว่าห้าเปอร์เซ็นต์ จริงครับ > แต่หายแล้ว ปอดอาจพังตลอดชีวิต > ลิเดีย-แข็งแรง เหลือปอดทำงาน หกสิบเปอร์เซ็นต์ > ล่าสุด...31 ธันวาคม 2563 ผู้ว่าจังหวัดสมุทรสาครน่าจะเป็นเคสนี้ครับ บทความนี้ถูกส่งต่อกันมา ผมพอทราบว่ามีส่วนจริง แต่ให้แน่ใจ จึงส่งไปถามเพื่อนที่เป็น...’หมอ’ ! เขาตอบว่า...จริง !!! > โควิด-19 เป็นแล้วตายก็จบไป แต่ถ้าไม่ตายก็ต้องลุ้น ! > คุยกันครั้งใด เขาบอกผม...พี่อย่าให้เป็นนะ อายุเยอะแล้ว ตายก็ลำบากก่อนตาย ไม่ตายก็แย่ไปตลอดชีวิต ยกมา > "ผมกลัว" ที่จะติดเชื้อ Covid-l9 ผมจึงทำตามที่รัฐบาลบอก คือ "อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ" และจะออกจากบ้าน เมื่อจำเป็นจริง ๆ ผมบอกว่า ผมเชื่อว่าใครที่ติดเชื้อ Covid-l9 จะไม่มีวันกลับไป "ปกติ" เพราะปอดจะไม่ทำงานเต็มร้อยอีกแล้ว > แต่...แต่ก่อนที่จะเสียชีวิต หากคุณติดเชื้อ รู้ไหมว่ามันทรมานแค่ไหน > คุณรู้ไหมว่า การรักษาโรคปอดติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2ol9 หรือ Covid-19 มันไม่ใช่แค่ใส่หน้ากากออกซิเจน แล้วนอนอ่านหนังสือ หรือเล่นโทรศัพท์ อยู่บนเตียงสบาย ๆ ในโรงพยาบาล > เพราะเครื่องช่วยหายใจสำหรับผู้ป่วย Covid-19 (บางคน-ไม่ทุกคน) มันสร้างความเจ็บปวด ต้องสอดท่อลงไปในลำคอและคาไว้ จนกว่าจะหาย หรือตายภายใน 2-3 สัปดาห์ โดยแทบไม่สามารถขยับตัว > การรักษานี้ คนไข้จะถูกจับให้นอนคว่ำกลับหัว มีท่อหายใจต่อจากปากขึ้นไปที่เครื่องช่วยหายใจ ไม่สามารถพูด กิน หรือขับถ่ายได้ตามปกติ แถมเจ็บปวดตลอดเวลา > สิ่งที่แพทย์ช่วยได้ก็คือ ให้ยานอนหลับและยาแก้ปวด เพื่อให้แน่ใจว่าคนไข้สามารถทนต่อความเจ็บจากการใส่ท่อช่วยหายใจ เหมือนอยู่ในอาการโคม่าเทียม > ผ่านไป 20 วัน ผู้ป่วยจะสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ สี่สิบเปอร์เซนต์ และมีแผลในปากหรือหลอดลม เช่นเดียวกับปอด เกิดภาวะแทรกซ้อนของหัวใจ > นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้คนแก่ หรือผู้ป่วยโรคอื่น เช่น ความดัน หัวใจ ไม่สามารถทนการรักษาได้ และอาจตายในที่สุด >>> ย้ำ..นี่ไม่ใช่ไข้หวัดใหญ่ ! การให้อาหารเหลวใส่หลอดเข้าไปในท้องของคุณ ไม่ว่าจะผ่านจมูกหรือเส้นเลือด การที่ต้องมีพยาบาลมาช่วยขยับแขนขาทุกสoงชั่วโมง เพื่อป้องกันแผลกดทับ และต้องนอนบนเตียงน้ำที่เย็น เพื่อช่วยลดอุณหภูมิ 40 องศาของคุณ "มันไม่ใช่เรื่องสนุก" และคนที่บ้านเป็นทุกข์แน่ ๆ นี่คือหนึ่งในเหตุผล ที่ชาติตะวันตก ปล่อยให้ตาย ไม่รับรักษา เพราะสิ้นเปลือง > ผมกลัว...ผมจึงอยู่บ้าน ถ้าคุณไม่กลัว ก็ตามสบายนะครับ ไม่สวมหน้ากากตอนออกจากบ้าน ไม่รักษาระยะห่าง ไปในที่สุ่มเสี่ยง เป็นเรื่องความรับผิดชอบที่คุณมีต่อครอบครัวของคุณเอง > ที่เล่ามาทั้งหมด ก็เพื่อคนที่คุณรัก เพื่อคนที่รักคุณ และ เพื่อตัวคุณเอง #เรียบเรียงบางส่วนจาก LIND ใครจะหาว่าผมตื่นตูม ก็ตามสะดวก แต่ผมว่าเราต้อง ‘ตื่นตัว’ แม้คนที่เป็น ไม่ทุกคนที่จะมีสภาพนี้ แต่ก็มีไม่น้อยที่หายแล้วปอดไม่เต็มร้อย > ผมว่าปอดพังเร็วมาก ยิ่งกว่าสูบบุหรี่ซะอีก > แชร์ได้ ไม่ต้องขอครับ > รักใคร ห่วงใคร ก็แชร์กันไป ถ้าคุณได้รับแชร์นี้มาแสดงว่ามีคนรักคุณ
    Mrs.Doubt
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    เมื่อติดเชื้อโคโรนาไวรัสแล้ว ไม่ได้ทำให้เสียชีวิตทุกราย
    จากข่าวลือในโลกออนไลน์ที่ว่า หากติดเชื้อไวรัสโคโรนาแล้วจะทำให้เสียชีวิตทุกรายในเวลาอันสั้นนั้น ในเอกสารเผยแพร่ หมอชวนรู้ ของแพทย์สภา บอกว่า ข้อมูลของผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ ส่วนมากเป็นผู้ป่วยสูงอายุ เลยสร้างภูมิต้านทานช้าจนมาสู้เชื้อไม่ทัน และเป็นผู้ที่มีโรคปอดเรื้อรังอยู่แล้ว ทำให้ปอดอักเสบที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อรุนแรงและรวดเร็ว ทำห้เกิดภาวะการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน ส่วนผู้ที่มีปอดแข็งแรง ก็สามารถทนต่อการก่อโรคของเชื้อที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนถึงเวลาที่ภูมิต้านทานของผู้ป่วยเกิดมามากพอ จนต่อสู้ทำลายเชื้อก่อโรคได้ทันก่อนที่เนื้อปอดจะเสียหายจนแก้ไขไม่ทัน ผู้ป่วยที่แข็งแรงกว่าจึงป่วยและฟื้นตัวได้ทันจากภูมิต้านทานของตนเอง
    naruemonjoy
     •  6 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ในที่สุด ความจริงก็ถูกเปิดเผย โดย ผู้ตัดต่อพันธุกรรมเชื้อโควิด 19 เอง โควิด19 มาจากฝีมือมนุษย์ จริงหรือไม่
    ในที่สุด ความจริงก็ถูกเปิดเผย โดย ผู้ตัดต่อพันธุกรรมเชื้อโควิด 19 เอง... ************** โควิด19 มาจากฝีมือมนุษย์ มีแหล่งที่มาจากห้องแลป ไวรัส P3รัฐคาโรไลน่าเหนือของอเมริกา!!! นาย Greg Roubini ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองชื่อดังของอเมริกาให้สัมภาษณ์ของผู้สื่อข่าวช่องข่าวทีวีที่1 ของอเมริกาได้เป็นผู้เผยความลับนี้ นาย Greg เผยว่า ไวรัสโควิด19 ได้รับการออกแบบทางพันธุกรรมเพื่อใช้เป็นอาวุธชีวภาพ - มีแหล่งที่มาจากห้องแลป BSL-3 รัฐ คาโรไลน่าเหนือ พัฒนาโดย ศาสตราจารย์ราล์ฟ บาร์ริก - พร้อมกันนั้น เขาระบุว่า ไวรัสถูก “รัฐบาลมืด” จากรัฐคาโรไลน่าเหนือส่งไปแพร่ระบาดในประเทศจีน อิตาลี และอเมริกาทั้งประเทศ ##..ก่อนหน้านี้ในวันที่ 15 มีนาคม นายเกรก ก็ได้ทวิตข้อความถามนายทรัมป์ว่า - เหตุใดจึงไม่บอกประชาชนอเมริกาว่า ไวรัสผลิตจากอเมริกา? ทำไมไม่อธิบายให้ชัดเจนว่าตัวไวรัสเองแท้จริงแล้วคืออาวุธชีวภาพ? **บังเอิญ ศาสตราจารย์ Luc Montanier ผู้ได้รับรางวัลโนเบลเนื่องจากเป็นผู้ค้นพบไวรัสเอชไอวีได้เปิดเผยกับนักข่าวชาวฝรั่งเศสเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาว่า - โควิด19 ไม่ใช่มาจากธรรมชาติ หากแต่ได้รับการพัฒนาอย่างประณีตโดยนักวิทยาศาสตร์ชีวโมเลกุล ***ศาสตราจารย์ Luc Montanier ยืนยันว่า เป็นเรื่องเด่นชัดที่เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญได้นำเชื้อไวรัสที่มาจากค้างคาวเข้าไปเพิ่มความเข้มข้นของเชื้อเอชไอวีเข้าไปด้วย - นี่คือ การวางยาพิษที่ชั่วร้ายที่สุดที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของโลก ***นั่นคือการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19 สุดโหด ข่าวเกี่ยวกับ “เชื้อโควิด19 เป็นอาวุธชีวภาพที่มาจากการตัดต่อพันธุกรรมโดยฝีมือมนุษย์” มาโดยตลอด ***นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกพยายามทำงานหาแหล่งที่มาของเชื้อไวรัสโดยนักวิทยาศาสตร์อินเดียค้นพบว่า เชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ุใหม่มีเชื้อเอชไอวีแทรกอยู่ด้วย นี่แสดงให้เห็นว่าไวรัสตัวนี้มาจากการตัดต่อทางพันธุกรรม ***กลางเดือนมีนาคม นักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์พบว่าเชื้อไวรัสโควิด19จากผู้ป่วยรายหนึ่งในรัฐวอชิงตันพบว่าวัฏจักรวิวัฒนาการของมันมียาวนานกว่าครึ่งปีมาแล้ว พร้อมๆกับการศึกษาลึกซึ้งลงไปว่า ประเทศต่างๆในโลกไม่น้อยได้เบนสายตาแห่งความสงสัยไปที่อเมริกา ประเทศต่างๆ ทั้งญี่ปุ่น อิตาลี ออสเตรเลีย ล้วนมีผู้ป่วยทียืนยันว่ามีแหล่งที่มาจากอเมริกาทั้งสิ้น *** ในเวลาต่อมา ROBERT REDFIELD ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกายอมรับว่า ผู้ป่วยตายจากไข้หวัดใหญ่ในเดือนกันยายน 2019 มีอยู่ไม่น้อยที่ตายจากเชื้อไวรัสโควิด19 นี้ - ต่อปัญหานี้โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีน นายจ้าวลี่เจียงได้ทวิตข้อความในทวิตเตอร์ถามผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา ว่า ผู้ป่วยรายแรกของอเมริกาเกิดขึ้นตอนไหน? ชื่ออะไร? อยู่โรงพยาบาลอะไร? และเป็นไปได้อย่างมากที่ทหารอเมริกานำเชื้อมาแพร่ที่อู่ฮั่น. >>>>อเมริกาต้องโปร่งใส ต้องเปิดเผยข้อมูลนี้ให้โลกได้รู้ความจริง **ด้วยความพยายามอย่างสุดความสามารถของคณะผู้สื่อข่าวคณะหนึ่งแห่งรัฐเวอร์จิเนีย ในที่สุดก็ได้ตามหาผู้ป่วยรายแรกจนพบ นั่นก็คือ ทหารอเมริกาที่เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาทหารที่อู่ฮั่นของจีนในเดือนตุลาคม 2019 นางมีชื่อว่า "Maatje Benassi" >>>นายทหารหญิงของอเมริกาคนนี้มีภูมิหลังพิเศษตรงที่นางมีความเกี่ยวข้องกับห้องปฏิบัติการชีวเคมี P4 ของนาย FORT DETRICK *** คนในครอบครัวก็มีหลายคนที่ยืนยันว่าผู้ติดเชื้อในจำนวนนี้มีอยู่คนหนึ่งเป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อรายแรกในฮอลแลนด์ ก่อนติดเชื้อเขาเคยไปในเขตพื้นที่ลอมบาร์เดียของอิตาลี ทำให้เขตพื้นที่นั้นเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด19 ***มาถึงตรงนี้ หลักฐานเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโควิด19 มีต้นกำเนิดจากอเมริกาอย่างแน่นอน มีห่วงโซ่เชื่อมร้อยอย่างครบถ้วน ทหารพิเศษ 5 คนที่อเมริกาส่งเครื่องบินมารับกลับไปภายหลังการแพร่ระบาดของไวรัสและห้องแลปที่ถูกปิดตาย ก็สามารถนำมาปะติดปะต่อกันได้แล้ว หากว่ากันตามตรรกะของนายทรัมป์ เราก็สามารถเรียกเชื้อโควิด19 เป็น "ไวรัสนอร์ธคาโรไลนา" (Virus North Carolina) หรือ "ไวรัสอเมริกา" ***ในขณะที่หลักฐานทั้งหมดต่างชี้ไปที่อเมริกา เจ้าหน้าที่ชั้นสูงของอเมริกายอมรับอย่างเปิดเผยว่า เชื้อโควิด19 ไม่จัดอยู่ในชั้นของโรคระบาด แต่จัดอยู่ในชั้นของอาวุธชีวภาพ >>>#”ความไร้ยางอายทำให้โลกตะลึงและได้เพิ่มข้อน่าสงสัยว่าอเมริกาเป็นผู้วางยาพิษคนทั้งโลก. เพื่อขายวัคซีนป้องกันมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ขาดดุลการค้า” >>>เรื่องทั้งหมดได้ปรากฏชัดเจนแล้ว แต่ทว่าทรัมป์ยังพยายามโยนบาปอย่างไม่คิดชีวิตให้จีนรับเคราะห์แทนอย่าง น่ารังเกลียดที่สุด ***เชื้อโควิด19 ได้ก่อให้เกิดภัยพิบัติและความสูญเสียที่ยากจะประเมินได้ บาปนี้มันใหญ่หลวงเกินกว่าจะโยนออกไปแล้วโทษคนอื่น ***ยังมีข้อน่าสงสัยที่นายเกรกได้ตีแผ่ออกมา นายราล์ฟ บาร์ริค ผู้รับผิดชอบพัฒนาไวรัส รัฐคาโรไลนาเหนือคนนี้เป็นใคร *** นาย บาร์ริคมาจากมหาวิทยาลัยคาโรไลนาเหนือ เขาเป็นหัวหน้านักไวรัสวิทยาที่เปลี่ยนโฉมใหม่ของโรคซาร์สโคโรนาไวรัสโดยการตัดต่อยีนในปี 2015 - และเขายังเป็นผู้นำในการวิจัยและพัฒนาไวรัสดังกล่าวอีกด้วย ที่น่าตกใจก็คือ เขาเป็นบุคคลที่รับผิดชอบด้านการพัฒนาทางคลินิกของยาวิเศษ "RADEXIVIR" เป็นไป อย่างที่โบราณว่าไว้ คนที่วางยาพิษก่อนอื่นต้องเตรียม# ยาแก้พิษไว้ก่อนเสมอ!!!! - ยา RIDESIVIR ภายหลังจากปฏิบัติการทางคลินิกและถูกตั้งข้อสงสัยโดยผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยของมันจึงทำให้ตกกระป๋องไปพร้อมๆกับการแพร่ระบาดที่ลุกลามออกไปทั่วโลก ***อเมริกากลายเป็น “ศูนย์กลางการล้างโลก” ไปแล้ว - การแพร่ระบาดในช่วงแรกของอเมริกา ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้ให้ความสาคัญกับมันเลยโดยมองว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ที่หนักกว่าปกติเท่านั้นเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าคนของตนเองผลิตมันขึ้นมาจนกระทั่งเพื่อนรักของเขาคือ "นายสแตนลี่ย์ เชล่า" เจ้าพ่อวงการอสังหาริมทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่แห่งนิวยอร์กเสียชีวิตจากเชื้อไวรัสโควิด19 >>>>ถึงเวลานี้จีนได้ฟ้องร้องต่อศาลโลกว่า อเมริกาเป็นต้นเหตุในการแพร่เชื้อไวรัสโควิด 19 อย่างตั้งใจเพื่อทำลายล้างจีนและ ปชช ทั่วโลก*** >>>ตอนนี้คงต้องรอดูการสืบสวนของศาลโลกว่าจะตัดสินออกมาเช่นไร? ซึ่งถึง ณ เวลานี้ ทรัมป์เริ่มรู้สึกตัวและให้ความสาคัญในระดับสูง #แต่ว่าสายไปเสียแล้ว!!! **Ny Ny*
    Mrs.Doubt
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    เมื่อติดแล้ว ประเด็นไม่ได้อยู่ที่หายหรือไม่หายน่ะครับ มันจะอยู่ที่ ตายหรืออยู่อย่างลำบากไปตลอดชีวิต ดังนั้นพยายามห้ามติดครับ โควิด-l9 เป็นแล้วโอกาสตายน้อยกว่าห้าเปอร์เซ็นต์ จริงครับ แต่หายแล้ว ปอดอาจพังตลอดชีวิต ลิเดีย-แข็งแรง เหลือปอดทำงาน หกสิบเปอร์เซ็นต์ ล่าสุด...31 ธันวาคม 2563 ผู้ว่าจังหวัดสมุทรสาคร น่าจะเป็นเคสนี้ครับ บทความนี้ถูกส่งต่อกันมา ผมพอทราบว่ามีส่วนจริง แต่ให้แน่ใจ จึงส่งไปถามเพื่อนที่เป็น...’หมอ’ ! เขาตอบว่า...จริง !!! โควิด-I9 เป็นแล้วตายก็จบไป แต่ถ้าไม่ตาย ก็ต้องลุ้น ! คุยกันครั้งใด เขาบอกผม... พี่อย่าให้เป็นนะ อายุเยอะแล้ว ตายก็ลำบากก่อนตาย ไม่ตายก็แย่ไปตลอดชีวิต "ผมกลัว" ที่จะติดเชื้อ Covid-l9 ผมจึงทำตามที่รัฐบาลบอก คือ "อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ" และจะออกจากบ้าน เมื่อจำเป็นจริงๆ ผมบอกว่า ผมเชื่อว่าใครที่ติดเชื้อ Covid-l9 จะไม่มีวันกลับไป "ปกติ" เพราะปอดจะไม่ทำงานเต็มร้อยอีกแล้ว แต่...แต่ก่อนที่จะเสียชีวิต หากคุณติดเชื้อ รู้ไหมว่า มันทรมานแค่ไหน คุณรู้ไหมว่า การรักษาโรคปอดติดเชื้อไวรัส โคโรนา 20l9 หรือ Covid-19 มันไม่ใช่แค่ ใส่หน้ากากออกซิเจน แล้วนอนอ่านหนังสือ หรือเล่นโทรศัพท์ อยู่บนเตียงสบายๆในโรงพยาบาล เพราะเครื่องช่วยหายใจสำหรับผู้ป่วย Covid-l9 (บางคน-ไม่ทุกคน) มันสร้างความเจ็บปวด ต้องสอดท่อลงไปในลำคอและคาไว้ จนกว่าจะหาย หรือตายภายใน 2-3 สัปดาห์ โดยแทบไม่สามารถขยับตัว การรักษานี้ คนไข้จะถูกจับให้นอนคว่ำกลับหัว มีท่อหายใจต่อจากปากขึ้นไปที่เครื่องช่วยหายใจ ไม่สามารถพูด กิน หรือขับถ่ายได้ตามปกติ แถมเจ็บปวดตลอดเวลา สิ่งที่แพทย์ช่วยได้ก็คือ ให้ยานอนหลับและยาแก้ปวด เพื่อให้แน่ใจว่าคนไข้สามารถทนต่อความเจ็บจากการใส่ท่อช่วยหายใจ เหมือนอยู่ในอาการโคม่าเทียม ผ่านไป 20 วัน ผู้ป่วยจะสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ สี่สิบเปอร์เซนต์ และมีแผลในปากหรือหลอดลม เช่นเดียวกับปอด เกิดภาวะแทรกซ้อนของหัวใจ นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้คนแก่ หรือผู้ป่วยโรคอื่น เช่น ความดัน หัวใจ ไม่สามารถทนการรักษาได้ และอาจตายในที่สุด ย้ำ..นี่ไม่ใช่ไข้หวัดใหญ่ ! การให้อาหารเหลวใส่หลอดเข้าไปในท้องของคุณ ไม่ว่าจะผ่านจมูกหรือเส้นเลือด การที่ต้องมีพยาบาลมาช่วยขยับแขนขาทุกสองชั่วโมง เพื่อป้องกันแผลกดทับ และต้องนอนบนเตียงน้ำที่เย็น เพื่อช่วยลดอุณหภูมิ 40 องศาของคุณ "มันไม่ใช่เรื่องสนุก" และคนที่บ้านเป็นทุกข์แน่ๆ นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ชาติตะวันตก ปล่อยให้ตาย ไม่รับรักษา เพราะสิ้นเปลือง ผมกลัว...ผมจึงอยู่บ้าน ถ้าคุณไม่กลัว ก็ตามสบายนะครับ ไม่สวมหน้ากากตอนออกจากบ้าน ไม่รักษาระยะห่าง ไปในที่สุ่มเสี่ยง เป็นเรื่องความรับผิดชอบที่คุณมีต่อครอบครัวของคุณเอง ที่เล่ามาทั้งหมด ก็เพื่อคนที่คุณรัก เพื่อคนที่รักคุณ และ เพื่อตัวคุณเอง ใครจะหาว่าผมตื่นตูม ก็ตามสะดวก แต่ผมว่าเราต้อง ‘ตื่นตัว’ แม้คนที่เป็น ไม่ทุกคนที่จะมีสภาพนี้ แต่ก็มีไม่น้อยที่หายแล้วปอดไม่เต็มร้อย ผมว่าปอดพังเร็วมาก ยิ่งกว่าสูบบุหรี่ซะอีก รักใคร ห่วงใคร ก็แชร์กันไป ถ้าคุณได้รับแชร์นี้มาแสดงว่ามีคนรักคุณ
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    คำแนะนำจาก แพทย์หญิง Bonnie Henry
    โอ๊ยยยยยยยย! สบายใจ อ่านแล้วค่อย​หายเครียด​ลงหน่อย​ อิอิอิอ แพทย์หญิง Bonnie Henry เป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ประจำจังหวัดบริติชโคลัมเบีย แคนาดา ซึ่งเป็นผู้หญิงคนแรกในตำแหน่งนี้ เธอยังเป็นรองศาสตราจารย์ ที่มหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย เธอมีพื้นฐานด้านระบาดวิทยา และเป็นผู้เชี่ยวชาญ ด้านสาธารณสุขและเวชศาสตร์ป้องกัน เธอยังมาจาก PEI (เกาะปรินซ์เอ็ดเวิร์ด) ภูมิปัญญาของ ดร. บอนนี่ เฮนรี่ 1. เราอาจต้องอยู่กับ COVID-19 เป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปี อย่าปฏิเสธหรือตื่นตระหนก อย่าทำให้ชีวิตของเราไร้ประโยชน์ มาเรียนรู้ที่จะอยู่กับข้อเท็จจริงนี้ กันเถอะ 2. คุณไม่สามารถทำลายไวรัส COVID-19 ที่เจาะผนังเซลล์ได้ โดยการดื่มน้ำร้อนมากๆ อีกทั้งจะทำให้คุณเข้าห้องน้ำ บ่อยขึ้นด้วย 3. การล้างมือและ รักษาระยะ -ห่-า-ง ทางกายภาพ——สองเมตร ✅ เป็นวิธีที่ดีที่สุด สำหรับการป้องกันของคุณ 4. หากคุณไม่มีผู้ป่วย COVID-19 ที่บ้าน ก็ไม่จำเป็นต้องฆ่าเชื้อพื้นผิว ที่บ้านของคุณ 5. ตู้สินค้า ปั๊มน้ำมัน รถเข็น และ ตู้เอทีเอ็ม ไม่ก่อให้เกิดการติดเชื้อ หากมีการล้างมือบ่อย จากใช้ชีวิตตามปกติ 6. โควิด -19 ไม่มีความเสี่ยง ที่แสดงให้เห็นว่า COVID-19 ติดต่อทางอาหารได้ 7. คุณสามารถสูญเสียความรู้สึก ในการดมกลิ่น ด้วยอาการแพ้ และการติดเชื้อไวรัสจำนวนมาก 🦠นี่เป็นเพียงอาการไม่เฉพาะเจาะจง ของ COVID-19🦠 8. เมื่ออยู่บ้าน คุณไม่จำเป็นต้อง เปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเร่งด่วน แล้วไปอาบน้ำ 🖐🏽 ไม่ควรถึงกับหวาดระแวง 9. ไวรัส COVID-19 ไม่ค้างอยู่ ในอากาศเป็นเวลานาน นี่คือการติดเชื้อในระบบ ทางเดินหายใจที่ต้องสัมผัสใกล้ชิด 10. อากาศสะอาด คุณสามารถเดินผ่านสวนและ ผ่านสวนสาธารณะ (เพียงแค่รักษาระยะป้องกัน ทางกายภาพของคุณ) 11. ควรใช้สบู่ธรรมดาเพื่อป้องกัน ไวรัสโควิด -19 🖐🏽 ไม่ใช่สบู่ต้านเชื้อแบคทีเรีย เพราะนี่คือไวรัส ไม่ใช่ แบคทีเรีย 12. คุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับ การสั่งอาหารของคุณ แต่คุณสามารถอุ่นทั้งหมด ในไมโครเวฟได้หากต้องการ 13. โอกาสที่จะนำ COVID-19 กลับบ้านพร้อมกับรองเท้า ก็เหมือนกับการถูกฟ้าผ่า 2 ครั้ง ในหนึ่งวัน 👉🏾 ฉันทำงานกับไวรัสมา 20 ปี การติดเชื้อไม่แพร่กระจายแบบนั้น 14. คุณไม่สามารถป้องกันไวรัสได้ ด้วยน้ำส้มสายชู น้ำอ้อย และขิง! #สิ่งเหล่านี้มีไว้เพื่อภูมิคุ้มกัน #ไม่ใช่การรักษา 15. การสวมหน้ากากอนามัย เป็นเวลานาน อาจจะรบกวน การหายใจและระดับออกซิเจน ของคุณลดลง 😷 จงสวมใส่ในฝูงชนเท่านั้น 16. การสวมถุงมือ ก็เป็นความคิดที่ไม่ดีเช่นกัน ไวรัสสามารถสะสมเข้าไปในถุงมือ และแพร่เชื้อได้ง่าย หากคุณสัมผัสใบหน้า ดังนั้นจึงควรล้างมือเป็นประจำ ✅ จะดีกว่า #ภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอลง #เมื่อร่างกายอยู่ในสภาพแวดล้อม #ที่ปลอดเชื้อ แม้ว่าคุณจะกินอาหารเสริมภูมิคุ้มกัน แต่ควรจะออกจากบ้าน ไป สวนสาธารณะ / ชายหาด ✅ เป็นประจำ #ภูมิคุ้มกันจะเพิ่มขึ้นตามการสัมผัส ❌ ไม่ใช่โดยการนั่งอยู่บ้านและ บริโภคอาหารทอด / เผ็ด / หวาน และเครื่องดื่มเติมอากาศ 🧠 จงฉลาด ใช้ชีวิต 🗣🦻🏼รับทราบข้อมูล อย่างมีเหตุผล ❌ อย่าวิตก จนเกินไป ✅ ชีวิตจะปลอดภัย 🗣 ——— 🗣 หลังแชร์ข้อมูลนี้ ให้เพื่อนที่ แวนคูเวอร์ แคนาดา 📲 เพื่อนตอบมาว่า @Piangporn ดีใจมากว่าชื่อเสียงคุณหมอหญิง Bonnie Henry ไปถึงเมืองไทยแล้ว คุณหมอท่านน่ารักมากค่ะ คนที่นี่ (แคนาดา) ก็ประทับใจการอุทิศตัว ทำงานหนัก(มาก) เลยมีแฟนคลับ มากมาย ฮับ (เพื่อนที่แคนาดา) ชอบฟังเวลาคุณหมอออกมาแถลงข่าว รายงานสถานการณ์หวัดโควิด พูดเป็นระบบ อิงข้อมูลวิทยาศาสตร์ และที่สำคัญแสดงความเอื้ออาทร ผู้ป่วยและญาติ เจ้าหน้าที่ หมอ พยาบาล ฯลฯ แบบเสมอต้น เสมอปลาย เป็นตัวอย่างของ การแพทย์ที่มีความเป็นมนุษย์ อย่างแท้จริง ทุกครั้งก่อนจบแถลงข่าว คุณหมอจะมีสามคำหลัก เตือนใจประชาชน จนท่องกันได้ คือ BE KIND, BE CALM, BE SAVE.
    Mrs.Doubt
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ภูมิคุ้มกันของคุณคือการป้องกันที่ดีที่สุด (สำหรับการติดเชื้อ Covid-19)
    ทุกคนอาจไม่รอด ดร. จงจากจีนคาดการณ์ว่าไม่ช้าก็เร็วการติดเชื้อโควิด -19 ในชุมชนในวงกว้างจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากขณะนี้มีจำนวนผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการเพิ่มขึ้น แต่มีระยะฟักตัวที่แตกต่างกันไปโดยไม่ถูกตรวจพบ เนื่องจาก Scenario ข้างต้นแทบจะไม่สามารถควบคุมได้และหลีกเลี่ยงไม่ได้ตอนนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องสร้างระบบภูมิคุ้มกันของตัวเองก่อน "ภูมิคุ้มกันของคุณคือการป้องกันที่ดีที่สุด (สำหรับการติดเชื้อ Covid-19)" อย่าพึ่งมาสก์ หรือล้างมือ เพียงอย่างเดียว สิ่งเหล่านี้เป็นมาตรการป้องกันที่ดีเยี่ยม แต่เหนือสิ่งอื่นใดทุกคนยังต้องสร้างภูมิคุ้มกันของตนเองโดยเร็ว ประการแรก : เรา ต้องนอนหลับให้เพียงพอ** ต้องนอนหลับอย่างน้อย 7 ชั่วโมง **ผู้ที่นอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อวันจะมีภูมิคุ้มกันลดลง ประการที่สอง : เราต้องกินให้ดี สิ่งที่เรียกว่า "กินดี” ไม่ได้เกี่ยวกับการกินอาหารรสเลิศ แต่ ** การรับประทานโปรตีนคุณภาพสูงที่มีประโยชน์ ** ซึ่งสามารถใช้ในการผลิตแอนติบอดี อย่าลืมควบคุมปริมาณน้ำตาลของเราอย่างเคร่งครัด การกินน้ำตาลที่ผ่านการกลั่นมากเกินไปอาจทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันเม็ดเลือดขาวของเราไม่มีการทำงานเป็นเวลา 5 ชั่วโมง! ดังนั้นเราต้องเลือกและควบคุมอาหารของเรา ประการที่สาม : โคโรนาไวรัสมีโหมดการแพร่พันธุ์ล่วงหน้าซึ่งจะทวีคูณเร็วขึ้นในฤดูหนาว ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญบางคนแนะนำให้เราออกแดดมากขึ้นซึ่งช่วยได้ เพิ่มวิตามินดีเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันของเรา ผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ ได้ทำการวิจัยและเผยแพร่ผลการวิจัยว่าการรับประทานวิตามินดีเสริมในช่วงฤดูหนาวสามารถลดการติดเชื้อทางเดินหายใจสองในสาม หากคุณไม่สามารถหรือไม่ได้อาบแดดจริงๆคุณสามารถเลือกที่จะทานวิตามินดีแทนได้ ประการที่สี่ : งานวิจัยของรัสเซียชิ้นหนึ่งพบว่า: เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน“ คุณต้องบ้วนปากและกลั้วคอเมื่อกลับบ้านหลังการออกไปข้างนอก เพราะเหตุใด เพราะไวรัสทุกชนิดมีกุญแจเข้าสู่เซลล์ของเราเมื่อไวรัส บุกรุกเซลล์เป้าหมายต้องเจาะรูก่อนและเคาะประตู ฯลฯ ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาสักครู่ในการเข้าถึงและเจาะผนังเซลล์เป้าหมายเพื่อเปิดประตูเพื่อเข้าสู่เซลล์เป้าหมายและแพร่กระจายเชื้อ ดังนั้นหากคุณติดเชื้อนอกบ้าน เมื่อคุณกลับถึงบ้านเพียงแค่กลั้วคอและบ้วนปาก "ไม่ว่าคุณจะบ้วนปากด้วยน้ำ น้ำเกลือ เบตาดีนที่เจือจางในน้ำ น้ำยาบ้วนปาก หรือน้ำชา ทั้ง 5 วิธีนี้ใช้ได้ผลดี สุดท้ายดร. จงยังชี้ให้เห็นว่าการศึกษาในญี่ปุ่นอิสราเอลและฟินแลนด์ล้วนแสดงให้เห็นว่า การอาบน้ำร้อนทุกวันเพื่อเพิ่มอุณหภูมิร่างกายให้เพียงพอ จะสร้างสภาพแวดล้อมของร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการติดเชื้อโคโรนาไวรัส งานวิจัยยังระบุด้วยว่าหากคุณอาบน้ำร้อน 4 ครั้งขึ้นไปในแต่ละสัปดาห์อัตราการติดเชื้อไวรัสอาจลดลงถึง 60% คำแนะนำของ Dr Zhong คืออาบน้ำร้อนทุกวัน 41 องศา C และ 5 นาทีก็เพียงพอแล้ว! กรุณาแบ่งปันกับครอบครัวและเพื่อนของคุณ..
    Mrs.Doubt
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    *** สมุนไพร 3 แม่ทัพต้านไวรัสโควิด-19 *** . เมื่อสาย ๆของวันนี้ ดิฉันได้คุยกับพี่ชายที่รัก คนทำงานด้วยกันที่มูลนิธิข้าวขวัญ . ประโยคแรกที่พี่ชายพูดกับดิฉันก็คือ "เอียด พี่กับเพื่อนพี่ คนไทยในอเมริกา ต้องขอบคุณเอียดมากนะ สูตรน้ำสมุนไพร 3 แม่ทัพ ที่เอียดบอกมา ช่วยคนไทยในอเมริกาได้มาก เพื่อนพี่อยู่ที่เท็กซัส กับแคลิฟอร์เนีย ศูนย์กลางการระบาดหนักของไวรัสโควิด-19 เขากินน้ำสมุนไพร 3 แม่ทัพแล้วได้ผลดีมาก เพื่อนที่ป่วยติดไวรัสโควิด-19 ไปโรงพยาบาล หมอให้กลับมาอยู่บ้าน เขาป่วยหนัก ก่อนนี้พี่ส่งขมิ้นชันผง หอมแดง กระเทียมไปให้เขาทาง DHL เขาเอาต้มน้ำสมุนไพร 3 แม่ทัพกิน 4-5 วันเขาดีขึ้น ชุ่มคอ หายใจสะดวก เขาดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่กี่วันก็หายป่วย ตอนนี้หายสนิทแล้ว ส่วนอีกคน พี่ส่งขมิ้นชัน หอมแดง กระเทียม จากเมืองไทยไปให้เขาทาง DHL เพื่อนใช้กินป้องกัน ใช้กันทั้งครอบครัว แล้วเขาก็ใช้แมสก์ด้วยนะ เพื่อนๆคนไทยเราแข็งแรงดี เมื่อเช้าคุยวิดีโอคอลกัน เสียดายไม่ได้อัดเทปไว้ แต่ตอนนี้สูตรน้ำมัน 3 แม่ทัพที่เอียดให้มา กลุ่มเพื่อนคนไทยในเท็กซัส แคลิฟอร์เนีย ใช้กันมาก แล้วได้ผลดีจริงๆ หายป่วยจากไวรัสโควิด ได้จริงๆ ตอนแรกพี่ก็ไม่ค่อยเชื่อหรอก พวกเรื่องต่างๆที่เทพบอกมา แต่ตอนนี้พี่เชื่อแล้ว เพราะเพื่อนๆใช้ได้จริง หายป่วยได้จริง ขอบคุณเอียดมากๆเลยนะ” . ดิฉันฟังพี่ชายพูดแล้วน้ำตาจะไหล ดิฉันมั่นใจ สูตรชาสมุนไพร 3 แม่ทัพ ต้องใช้ได้ผลแน่ เทพบอกมาเอง ถามท่านปุ๊บ ก็มีเสียงบอกมาเลย และดิฉันก็มอบสูตรนี้ให้ทีมพี่เดชา ไปเผยแพร่ต่อ บัดนี้ชาสมุนไพร 3 แม่ทัพสามารถช่วยชีวิตคนไทยที่เผชิญโรคระบาดไวรัสโควิดในเท็กซัสและแคลิฟอร์เนียได้จริงๆ ข่าวที่รับทราบมาเมื่อเช้านี้ ทำให้ดิฉันไปค้นข้อมูลเก่าเรื่องชาสมุนไพร 3 แม่ทัพ ที่เคยเผยแพร่ไว้เมื่อปลายเดือน มีนาคม 2563 ในช่วงไวรัสโควิด19 ระบาดหนักครั้งก่อน เพื่อมาฝากเพื่อนๆและพี่น้องคนไทย ไว้ใช้ป้องกันตัวเอง รักษาอาการป่วยไข้ โดยมีเนื้อหารายละเอียดของสูตรยาสมุนไพร 3 แม่ทัพ ดังนี้ . . “ในขณะที่ครุ่นคิดพิจารณาหนทางที่จะช่วยให้สถานการณ์การแพร่ระบาดให้ลดลง อาจารย์เดชา ศิริภัทร ได้รับข้อมูลว่าให้นำสมุนไพรทั้ง 3 ชนิด คือ ขมิ้นชัน หอมแดง กระเทียม มาปรุงเป็นยา เพื่อช่วยป้องกันโรคโควิด-19 ที่มาจากเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ จากการค้นคว้าสรรพคุณของสมุนไพรทั้ง 3 ชนิดพบว่า มีความเป็นไปได้สูงในการใช้บำรุงสุขภาพเพื่อต้านไวรัส จึงทดลองปรุงสมุนไพรตามสูตร แล้วรับประทานเองก่อนแจกจ่ายให้คนใกล้ชิดได้ทดลอง โดยหวังว่าจะเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้ต่อสู้กับเชื้อไวรัสนี้ สำหรับสรรพคุณของสมุนไพรทั้ง 3 ชนิดนี้คือ ขมิ้นชัน เสมอด้วยแม่ทัพใหญ่ มีฤทธิ์ช่วยสร้างลิมโฟไซท์ ซึ่งเป็นเม็ดโลหิตขาวสำคัญในระบบน้ำเหลืองที่ต้านเชื้อไวรัส และช่วยบำรุงปอดให้แข็งแรง ช่วยรักษาอาการอักเสบของปอดไม่อันตรายต่อตับ เนื่องจากขมิ้นชันเป็นเครื่องเทศที่ถูกใช้เป็นอาหารของคนเอเชียมาหลายพันปี มีสารเคอร์คูมินมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ ฤทธิ์ดังกล่าวมีความเป็นไปได้ในการป้องกันการถูกทำลายจากปอดจากกระบวนการอักเสบที่เกิดจากหลอดลม เนื้อปอดและหลอดเลือดปอด นอกจากนี้มีข้อมูลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคแกงที่มีขมันชันเป็นส่วนประกอบกับการทำงานของปอดในประชากรผู้สูงวัยชาวจีนจำนวน 2,478 คนอายุ 55 ปีขึ้นไป ผลการศึกษาพบว่า การบริโภคแกงที่มีขมิ้นชัน อย่างน้อยเดือนละครั้ง ทำให้สมรรถภาพปอดดีขี้น กระเทียม เสมอขุนพลหลักด้านขวา น้ำมันหอมระเหยในกระเทียมมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อช่วยขยายทางเดินหายใจ และเพิ่มภูมิต้านทาน ส่วนหอมแดง เสมอขุนพลหลักด้านซ้าย ในการแก้อักเสบ รักษาหวัด และระบบทางเดินหายใจ เมื่อนำสมุนไพรทั้ง 3 ชนิดนี้มารวมกัน จะช่วยหนุนเสริมพลังของแต่ละตัวให้แข็งแรงขึ้นมาก โดยมีสูตรการปรุง 2 สูตรคือ สูตรที่ 1 น้ำมัน 3 แม่ทัพต้านไวรัส 1.ขมิ้นชัน 2 ขีด 2.หอมแดง 2 ขีด 3.กระเทียม 2 ขีด 4.น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น 1 ลิตร วิธีทำ 1.หั่นวัตถุดิบเป็นชิ้นบางๆ 2.ทอดในน้ำมันมะพร้าวที่เตรียมไว้ในอุณหภูมิประมาณ120 องศาเซลเซียส จนน้ำในวัตถุดิบแห้ง 3.กรองด้วยผ้าขาวบาง 4.บรรจุแคปซูล ๆละ 15 หยด วิธีใช้ กินมื้อเช้า 2 แคปซูลและ มื้อเย็น 2 แคปซูล สูตรที่ 2 'ชาสมุนไพร' 3 แม่ทัพต้านไวรัส 1.ขมิ้นชัน ครึ่งขีด 2.หอมแดง ครึ่งขีด 3.กระเทียม ครึ่งขีด 4.น้ำ 1.5 ลิตร วิธิทำ 1. ต้มน้ำให้เดือด 2. ทุบวัตถุดิบสมุนไพรทั้ง 3 ชนิดพอแตก ลงไปในหม้อ 3. หรี่ไฟให้อ่อนๆต้มไว้นานประมาณ 30 นาที วิธีใช้ กินวันละประมาณ 2 แก้วขณะน้ำยังร้อนๆ หรืออุ่นมาก จิบได้เรื่อยๆ หรือจะดื่มทีเดียวหมดก็ได้ (ถ้าดื่มมากกว่า 2 แก้วจะปัสสาวะมาก) รสชา 3 แม่ทัพจะหอมนุ่มนวล ถ้าไม่คุ้นลิ้น เติมน้ำผึ้งลงไป จะดื่มได้สดชื่นมาก ดื่มชาสมุนไพร 3 แม่ทัพ แล้ว เพียงไม่กี่นาที จะรู้สึกโล่งจมูก หายใจได้ลึกสุด และสบายท้อง ดีกับระบบลมในร่างกาย . "ดื่มชาและกินน้ำมัน 3 แม่ทัพสมุนไพรต้านไวรัสนี้แล้ว ขอให้อุทิศกุศลและภาวนาเมตตาธรรมให้กับไวรัสโควิด 19 และเจ้ากรรมนายเวรของคุณด้วยนะ"
    ไม่ระบุชื่อ
     •  5 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 2 คนสงสัย
    ด่วน: ..... ศาลฎีกายกเลิกการฉีดวัคซีนสากลในสหรัฐอเมริกาแล้ว แชร์โพสต์นี้ต่อ.... แบ่งปันบน ทวิตเตอร์ แบ่งปันบน Facebook แบ่งปันบน Reddit แบ่งปันบน โทรเลข แบ่งปันบน LinkedIn และทุกที่เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่ามนุษยชาติโดนหลอกมาตลอด 2 ปีนี้ ไม่ได้ตามข่าวที่ไหน ดูเหมือนว่าเรากำลังเข้าใกล้ Final Scene ในภาพยนตร์มากขึ้น โปรดเตือนทุกคนในครอบครัว เพื่อนฝูง และญาติพี่น้อง! ข่าวด่วน ! ศาลฎีกาได้ยกเลิกการฉีดวัคซีนสากล ในสหรัฐอเมริกา โดยศาลฎีกาได้ยกเลิกการฉีดวัคซีนสากล Bill Gates ให้หัวหน้าผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา Fauci และ Big Pharma แพ้คดีในศาลฎีกาของสหรัฐอเมริกา เพราะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าวัคซีนทั้งหมดในงานวิจัยและทดสอบของพวกเขาในช่วง 32 ปีที่ผ่านมาปลอดภัยต่อสุขภาพของประชาชน! คดีถูกฟ้องโดยกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่นำโดยวุฒิสมาชิกเคนเนดี Robert F. Kennedy Jr.: “ควรหลีกเลี่ยงวัคซีน โดยเฉพาะวัคซีนป้องกันCOVID ใหม่ในทุกกรณี ฉันขอแจ้งให้คุณทราบโดยด่วนถึงประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครั้งต่อไป ว่าต้องหยุดทันที " เป็นครั้งแรกในระวัติศาสตร์ของการฉีดวัคซีนที่เรียกว่าวัคซีน mRNA ทั้งเก่า และ รุ่นล่าสุด เพราะเป็นการรบกวนสารพันธุกรรมของผู้ป่วยโดยตรง ดังนั้นจึงเป็นการเปลี่ยนสารพันธุกรรมส่วนบุคคลซึ่งเป็นการดัดแปลงพันธุกรรมซึ่งมีการห้ามไว้แล้วตามกฏหมาย และเคยถูกพิจารณาว่าเป็นอาชญากรรม . วัคซีน coronavirus ไม่ใช่วัคซีน! เป็นการหลอกสร้างความสนใจ! และทำให้เป็นสิ่งที่ต้องได้รับวัคซีนเสมอไปทั้งชีวิต? เพราะ มันคือตัวก่อโรคเองเสมอ - จุลินทรีย์หรือไวรัสที่ถูกฆ่าหรือทำให้อ่อนลง กล่าวคือ วัคซีนทำให้ภูมิในร่างกายอ่อนแอลงเรื่อย ๆ - และมันถูกนำเข้าสู่ร่างกายเพื่อทำให้เกิดปฏิกริยาแอนติบอดีตนเอง ... วัคซีนป้องกันโคโรนาไวรัสคือพระเอกหรือ? มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย! มันเป็นส่วนหนึ่งของเพชรฆาตเงียบ และกลุ่มล่าสุดของ mRNA (mRNA) ที่ชื่นชมกันนั้น ความจริงแล้วเป็น "วัคซีน" เพชรฆาต ที่เมื่อเข้าไปในเซลล์ของมนุษย์แล้ว mRNA จะทำการโปรแกรม RNA / DNA ให้ผิดปกติ ซึ่งจะเริ่มสร้างโปรตีนอีกตัวหนึ่ง มาขัดขวางและทำลายระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ในนิวเคลียสภายใน DNA นั่นคือไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคำว่าวัคซีนแบบดั้งเดิม! กล่าวคือเป็นเครื่องมืออันตรายที่มีอิทธิพลทางพันธุกรรม อาวุธชีวภาพทางพันธุกรรม! นั่นคือพวกเขากำลังจะทำลายจากมนุษย์และผู้รอดชีวิตจาดภูมิคุ้มกันปกติ ให้กลายเป็น GMOs! หลังจากฉีดวัคซีน mRNA ที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้ว ผลการฉีดวัคซีนจะไม่สามารถรักษาอาการของวัคซีนเหล่านี้ด้วยวิธีอื่นได้อีกเลย และจะกลายพันธ์เป็นมนุษย์ "ไร้ภูมิคุ้มกัน" โดยสมบูรณ์ ผู้ที่ฉีดวัคซีนจะต้องยอมรับผลที่ตามมา เพราะไม่สามารถรักษาให้หายได้อีกต่อไป เพียงแค่กำจัดสารพิษบางชนิด เมื่อฉีดวัคซีนใหม่เข้าไป เพื่อไล่สารพิษบางส่วนออกจากร่างกายมนุษย์ เช่นเดียวกับในบุคคลที่มีความบกพร่องทางพันธุกรรม เช่น ดาวน์ซินโดรม, กลุ่มอาการไคลน์เฟลเตอร์, เทิร์นเนอร์ ซินโดรม, ภาวะหัวใจล้มเหลวทางพันธุกรรม , ฮีโมฟีเลีย, ซิสติก ไฟโบรซิส, เรตต์ ซินโดรม ฯลฯ ) เพราะความบกพร่องทางพันธุกรรมจะคงอยู่ตลอดไปจากวัคซีน mRNSเหล่านี้! นี่หมายความอย่างชัดเจนแล้วว่า หากอาการของการฉีดวัคซีนเกิดขึ้นหลังจากฉีดวัคซีน mRNA ทั้งฉันและนักบำบัดโรคคนอื่นๆ ไม่สามารถช่วยคุณได้ เพราะความ เสียหายที่เกิดจากการฉีดวัคซีน mRNAจะ ไม่สามารถย้อนกลับมาแก้ไขได้ตามธรรมชาติอีกต่อไป!!! การฉีดวัคซีน mRNA – คืออาวุธชีวภาพของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แห่งศตวรรษที่ 21 อดีตหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของไฟเซอร์ Mike Yeedon ได้แสดงจุดยืนของเขาอีกครั้งว่าตอนนี้สายเกินไปที่จะช่วยผู้ที่ได้รับการฉีดสารที่เรียกว่า "วัคซีน Covid-19" สู่ในที่สาธารณะ เขาสนับสนุนให้ผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดยาพิษให้ต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด คนรอบข้าง และชีวิตของลูกๆ คุณในอนาคต นักภูมิคุ้มกันวิทยาที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติได้อธิบายกระบวนการที่เขากล่าวว่าจะฆ่าคนส่วนใหญ่: “ทันทีหลังการฉีดวัคซีนครั้งแรก ประมาณ 0.8% ของผู้คนเสียชีวิตภายในสองสัปดาห์ อายุขัยเฉลี่ยของผู้รอดชีวิตจะสูงสุดสองปี แต่ก็ลดลงด้วย "การฉีด" ใหม่แต่ละครั้งไปเรื่อย ๆ ตลอดชีวิต ” ยังคงมีการพัฒนาวัคซีนเพิ่มเติมเพื่อทำให้อวัยวะบางส่วนเสื่อมลง เช่น หัวใจ ปอด และสมอง หลังจากสองทศวรรษที่ Pfizer ศาสตราจารย์ Yedon คุ้นเคยกับหน้าที่และเป้าหมายการวิจัยและพัฒนาของ Pfizer ยักษ์ใหญ่ด้านเภสัชกรรม และกล่าวว่าเป้าหมายสูงสุดของระบอบ "การฉีดวัคซีน" ในปัจจุบันสามารถเป็นเพียงเหตุการณ์ทางประชากรขนาดใหญ่ที่จะทำให้สงครามโลกทั้งหมดเกิดขึ้น ร่วมกันเหมือนหนูแสดงละครของมิกกี้ “ผู้คนหลายพันล้านคนถูกตัดสินประหารชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และเจ็บปวด ใครก็ตามที่ได้รับการฉีดยาจะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และสามปีเป็นการประเมินว่าพวกเขาจะอยู่รอดได้นานแค่ไหน” เราอยู่และสู้กับโรค ด้วยภูมิของร่างกายเราเอง ย่อมดีกว่าตายแบบทรทรมานเพราะสารพิษ ในคราบของ วัคซีน...
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false