1 คนสงสัย
เป็นเรื่องที่ใหม่มากๆ Covid-19 ทำให้เกิดมะเร็ง การแพ้ภูมิตัวเอง etc.ได้หรือไม่
จากอ.ธีระวัฒน์ครับ

เป็นเรื่องที่ใหม่มากๆ Covid-19 ทำให้เกิดมะเร็ง การแพ้ภูมิตัวเอง etc.ได้หรือไม่

Femto lab แลปที่ได้รับรางวัลนวัตกรรม 5 ปีซ้อนแห่งเดียวในเมืองไทย ในเอเชีย
พบซากไวรัส(cDNA) ฝังอยู่ใน "DNA/จีโนม" มนุษย์

การกลายพันธุ์ของยีน = มะเร็ง

https://youtu.be/S32-hkJBJKA

เคนจิ ยามาโมโตะ (Virology Journal ปี 2022) เผยว่า
- ผู้ที่ฉีดวัคซีนควรหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ และลดการฉีดวัคซีนบูสเตอร์
- หลัง 8 เดือน ผู้ที่ฉีดวัคซีนกระตุ้น (วัคซีนบูสเตอร์ 2 เข็ม) มีภูมิต่ำกว่า ผู้ที่ไม่เคยฉีดวัคซีน

นักวิจัยข้อมูลจากวารสาร...ข้อมูลอยู่ในคลิป ได้เอาวัคซีนไฟเซอร์ใส่ในเซลมนุษย์เพาะเลี้ยง ค้นพบว่า ภายใน 6 ชม. RNA ของวัคซีน MRNA สามารถเปลี่ยนเป็น DNA และแทรกเข้าไปใน DNA/GENOME ของมนุษย์ได้
Mrs.Doubt
 •  1 ปีที่แล้ว
0 ความเห็น

โควิด 2019วัคซีนโควิดผู้บริโภคเฝ้าระวัง

ยังไม่มีใครตอบ

เพิ่มความเห็นใหม่

กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 2 คนสงสัย
    ด่วน: ..... ศาลฎีกายกเลิกการฉีดวัคซีนสากลในสหรัฐอเมริกาแล้ว แชร์โพสต์นี้ต่อ.... แบ่งปันบน ทวิตเตอร์ แบ่งปันบน Facebook แบ่งปันบน Reddit แบ่งปันบน โทรเลข แบ่งปันบน LinkedIn และทุกที่เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่ามนุษยชาติโดนหลอกมาตลอด 2 ปีนี้ ไม่ได้ตามข่าวที่ไหน ดูเหมือนว่าเรากำลังเข้าใกล้ Final Scene ในภาพยนตร์มากขึ้น โปรดเตือนทุกคนในครอบครัว เพื่อนฝูง และญาติพี่น้อง! ข่าวด่วน ! ศาลฎีกาได้ยกเลิกการฉีดวัคซีนสากล ในสหรัฐอเมริกา โดยศาลฎีกาได้ยกเลิกการฉีดวัคซีนสากล Bill Gates ให้หัวหน้าผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา Fauci และ Big Pharma แพ้คดีในศาลฎีกาของสหรัฐอเมริกา เพราะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าวัคซีนทั้งหมดในงานวิจัยและทดสอบของพวกเขาในช่วง 32 ปีที่ผ่านมาปลอดภัยต่อสุขภาพของประชาชน! คดีถูกฟ้องโดยกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่นำโดยวุฒิสมาชิกเคนเนดี Robert F. Kennedy Jr.: “ควรหลีกเลี่ยงวัคซีน โดยเฉพาะวัคซีนป้องกันCOVID ใหม่ในทุกกรณี ฉันขอแจ้งให้คุณทราบโดยด่วนถึงประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครั้งต่อไป ว่าต้องหยุดทันที " เป็นครั้งแรกในระวัติศาสตร์ของการฉีดวัคซีนที่เรียกว่าวัคซีน mRNA ทั้งเก่า และ รุ่นล่าสุด เพราะเป็นการรบกวนสารพันธุกรรมของผู้ป่วยโดยตรง ดังนั้นจึงเป็นการเปลี่ยนสารพันธุกรรมส่วนบุคคลซึ่งเป็นการดัดแปลงพันธุกรรมซึ่งมีการห้ามไว้แล้วตามกฏหมาย และเคยถูกพิจารณาว่าเป็นอาชญากรรม . วัคซีน coronavirus ไม่ใช่วัคซีน! เป็นการหลอกสร้างความสนใจ! และทำให้เป็นสิ่งที่ต้องได้รับวัคซีนเสมอไปทั้งชีวิต? เพราะ มันคือตัวก่อโรคเองเสมอ - จุลินทรีย์หรือไวรัสที่ถูกฆ่าหรือทำให้อ่อนลง กล่าวคือ วัคซีนทำให้ภูมิในร่างกายอ่อนแอลงเรื่อย ๆ - และมันถูกนำเข้าสู่ร่างกายเพื่อทำให้เกิดปฏิกริยาแอนติบอดีตนเอง ... วัคซีนป้องกันโคโรนาไวรัสคือพระเอกหรือ? มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย! มันเป็นส่วนหนึ่งของเพชรฆาตเงียบ และกลุ่มล่าสุดของ mRNA (mRNA) ที่ชื่นชมกันนั้น ความจริงแล้วเป็น "วัคซีน" เพชรฆาต ที่เมื่อเข้าไปในเซลล์ของมนุษย์แล้ว mRNA จะทำการโปรแกรม RNA / DNA ให้ผิดปกติ ซึ่งจะเริ่มสร้างโปรตีนอีกตัวหนึ่ง มาขัดขวางและทำลายระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ในนิวเคลียสภายใน DNA นั่นคือไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคำว่าวัคซีนแบบดั้งเดิม! กล่าวคือเป็นเครื่องมืออันตรายที่มีอิทธิพลทางพันธุกรรม อาวุธชีวภาพทางพันธุกรรม! นั่นคือพวกเขากำลังจะทำลายจากมนุษย์และผู้รอดชีวิตจาดภูมิคุ้มกันปกติ ให้กลายเป็น GMOs! หลังจากฉีดวัคซีน mRNA ที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้ว ผลการฉีดวัคซีนจะไม่สามารถรักษาอาการของวัคซีนเหล่านี้ด้วยวิธีอื่นได้อีกเลย และจะกลายพันธ์เป็นมนุษย์ "ไร้ภูมิคุ้มกัน" โดยสมบูรณ์ ผู้ที่ฉีดวัคซีนจะต้องยอมรับผลที่ตามมา เพราะไม่สามารถรักษาให้หายได้อีกต่อไป เพียงแค่กำจัดสารพิษบางชนิด เมื่อฉีดวัคซีนใหม่เข้าไป เพื่อไล่สารพิษบางส่วนออกจากร่างกายมนุษย์ เช่นเดียวกับในบุคคลที่มีความบกพร่องทางพันธุกรรม เช่น ดาวน์ซินโดรม, กลุ่มอาการไคลน์เฟลเตอร์, เทิร์นเนอร์ ซินโดรม, ภาวะหัวใจล้มเหลวทางพันธุกรรม , ฮีโมฟีเลีย, ซิสติก ไฟโบรซิส, เรตต์ ซินโดรม ฯลฯ ) เพราะความบกพร่องทางพันธุกรรมจะคงอยู่ตลอดไปจากวัคซีน mRNSเหล่านี้! นี่หมายความอย่างชัดเจนแล้วว่า หากอาการของการฉีดวัคซีนเกิดขึ้นหลังจากฉีดวัคซีน mRNA ทั้งฉันและนักบำบัดโรคคนอื่นๆ ไม่สามารถช่วยคุณได้ เพราะความ เสียหายที่เกิดจากการฉีดวัคซีน mRNAจะ ไม่สามารถย้อนกลับมาแก้ไขได้ตามธรรมชาติอีกต่อไป!!! การฉีดวัคซีน mRNA – คืออาวุธชีวภาพของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แห่งศตวรรษที่ 21 อดีตหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของไฟเซอร์ Mike Yeedon ได้แสดงจุดยืนของเขาอีกครั้งว่าตอนนี้สายเกินไปที่จะช่วยผู้ที่ได้รับการฉีดสารที่เรียกว่า "วัคซีน Covid-19" สู่ในที่สาธารณะ เขาสนับสนุนให้ผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดยาพิษให้ต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด คนรอบข้าง และชีวิตของลูกๆ คุณในอนาคต นักภูมิคุ้มกันวิทยาที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติได้อธิบายกระบวนการที่เขากล่าวว่าจะฆ่าคนส่วนใหญ่: “ทันทีหลังการฉีดวัคซีนครั้งแรก ประมาณ 0.8% ของผู้คนเสียชีวิตภายในสองสัปดาห์ อายุขัยเฉลี่ยของผู้รอดชีวิตจะสูงสุดสองปี แต่ก็ลดลงด้วย "การฉีด" ใหม่แต่ละครั้งไปเรื่อย ๆ ตลอดชีวิต ” ยังคงมีการพัฒนาวัคซีนเพิ่มเติมเพื่อทำให้อวัยวะบางส่วนเสื่อมลง เช่น หัวใจ ปอด และสมอง หลังจากสองทศวรรษที่ Pfizer ศาสตราจารย์ Yedon คุ้นเคยกับหน้าที่และเป้าหมายการวิจัยและพัฒนาของ Pfizer ยักษ์ใหญ่ด้านเภสัชกรรม และกล่าวว่าเป้าหมายสูงสุดของระบอบ "การฉีดวัคซีน" ในปัจจุบันสามารถเป็นเพียงเหตุการณ์ทางประชากรขนาดใหญ่ที่จะทำให้สงครามโลกทั้งหมดเกิดขึ้น ร่วมกันเหมือนหนูแสดงละครของมิกกี้ “ผู้คนหลายพันล้านคนถูกตัดสินประหารชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และเจ็บปวด ใครก็ตามที่ได้รับการฉีดยาจะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และสามปีเป็นการประเมินว่าพวกเขาจะอยู่รอดได้นานแค่ไหน” เราอยู่และสู้กับโรค ด้วยภูมิของร่างกายเราเอง ย่อมดีกว่าตายแบบทรทรมานเพราะสารพิษ ในคราบของ วัคซีน...
    ไม่ระบุชื่อ
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ยึดเมืองหลวงคืนจากโควิดด้วยวัคซีนได้จริงหรือ วีระศักดิ์ จงสู่วิวัฒน์วงศ์ 17 กรกฎาคม 2564 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมบอกว่าการระบาดในประเทศใช้เวลาสามสัปดาห์ก็จะเพิ่มจำนวนรายงานผู้ป่วยเท่าตัว และคาดว่าจะถึงอย่างน้อยหมื่นรายต่อวันในตอนปลายเดือน วันนี้เพิ่งพ้นกลางเดือนวันหวยออกได้วันเดียว ยอดติดเชื้อก็ทะลุไปเป็นตัวเลขห้าหลักอย่างว่าแล้ว ผมคาดคะเนว่าเวลาเพิ่มจำนวนของจำนวนตายจากโควิดจะเพิ่มเท่าตัวโดยใช้เวลาเพียงสัปดาห์เศษ ๆ วันนั้นดูเหมือนตัวเลขอยู่แถวห้าสิบตอนนี้ตัวเลขก็ทะลุเป็นเลขสามหลักเป็น 141 แล้ว สรุปแล้วผมคาดผิด ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะวันนี้ตัวเลขสวิงขึ้นสูงโดยบังเอิญ ถ้าเป็นเช่นนั้นพรุ่งนี้มะรืนนี้ตัวเลขจะลดกลับลงไป อีกส่วนหนึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าเวลาที่ใช้ในการเพิ่มเท่าตัวสั้นกว่าเมื่อเดือนที่แล้วจริง ๆ เราเพิ่งจะล็อคดาวน์กันมาไม่กี่วัน ผลของการตรวจพบเชื้อในวันนี้มาจากการแพร่เชื้อติดเชื้อก่อนหน้านี้ 4-5 วัน ส่วนจำนวนตายน่าจะเป็นผลจากการติดเชื้อแพร่เชื้อเมื่อสองสามสัปดาห์ที่แล้ว ถ้ากระบวนการล็อคดาวน์ได้ผล เราจะเห็นตัวเลขการติดเชื้อหยุดเพิ่มก่อน คงอีกราว 1 สัปดาห์ และกว่าตัวเลขคนตายจะหยุดเพิ่มอาจจะต้องใช้เวลาราว 3 สัปดาห์ขึ้นไป กล่าวกันว่า กทม. เป็นศูนย์กลางของการระบาด ความเร็วในการเพิ่มเท่าตัวก็สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ ผมมีข้อสังเกตสองสามประการสำหรับผู้รับผิดชอบและประชาชน ฝากพวกเราตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วย นอกจากจังหวัดภูเก็ตซึ่งประชาชนได้รับวัคซีนสองเข็มไปกว่า 70% แล้ว สถิติต่าง ๆ บ่งบอกว่าอันดับสองของความครอบคลุมการรับวัคซีน คือ กทม. ถ้าเอาจำนวนคนฉีดวัคซีนใน กทม. หารด้วยประชากรในทะเบียนบ้าน จะได้ค่าระหว่าง 40-60% ซึ่งระดับนี้ถือว่าน่าพอใจ และวันนี้ได้ข่าวว่าตั้งเป้าจะฉีดให้ได้วันละหนึ่งแสนโดส ถ้าได้อย่างนี้จริงจะช่วยเสริมแรงการล็อคดาวน์ได้มาก เพราะถ้าไม่ฉีดวัคซีนให้มากพอ ตอนคลายล็อคก็จะเกิดการระบาดอีก ปรกติถ้าฉีดวัคซีนได้ถึง 50% ขึ้นไป เราจะเห็นการระบาดชะลอลง แต่ทำไมใน กทม. ที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ทำไมเราไม่เห็นแบบนั้น ผมมีคำอธิบายอื่น ๆ ซึ่งอาจจะถูกบ้างผิดบ้าง โปรดช่วยกันตรวจสอบครับ ผมคิดว่าที่ผ่านมาไม่มีใครรู้ว่าประชากร กทม. ที่แท้จริงอยู่ที่กี่ล้านคนเพราะปริมณฑลและเมืองบริวารกว้างขวางมาก ผู้คนเดินทางเข้า ๆ ออก ๆ การฉีดวัคซีนในกทม. อาจจะไม่ได้จำกัดเฉพาะคนที่มีทะเบียนบ้านอยู่ กทม. ทำให้คนรอบนอกเดินทางเข้ามาฉีดได้โดยไม่ยาก ถ้าคนที่ได้วัคซีนไปเป็นคนรอบนอกเสียเยอะ วัคซีนที่ฉีดไปก็คงจะไม่มีค่อยมีผลป้องกันกลุ่มเป้าหมายใน กทม. กลุ่มเป้าหมายหลักของระบบสาธารณสุข มีชื่อย่อ ๆ ว่า 607 หมายถึงคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปและมีโรคเรื้อรังประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ฯลฯ 7 โรค ปรากฏว่ากลุ่มนี้ฉีดวัคซีนได้ต่ำกว่าเป้าทั่วประเทศ แม้แต่จังหวัดภูเก็ตที่ได้ชื่อว่าฉีดวัคซีนได้มาก ก็ครอบคลุมผู้สูงอายุได้เพียง 10% เท่านั้น (เพราะช่วงนั้นฉีดวัคซีนไซโนแวค ต้องอายุต่ำกว่า 60 ปี) จังหวัดที่ฉีดวัคซีนครอบคลุมผู้สูงอายุได้ดีที่สุด คือ สมุทรสาคร ก็ได้เพียง 15% ส่วน กทม. ฉีดผู้สูงอายุได้เพียง 3.14% และ กลุ่ม 7 โรคเรื้อรังได้เพียง 3.8% ของเป้าหมายเท่านั้น ตัวเลขที่ฉีดวัคซีนประชากรได้ดูเหมือนมาก แต่ ฉีดกลุ่มเป้าหมายหลักได้เพียงนิดเดียว น่าจะอธิบายสาเหตุของไอซียูและเครื่องช่วยหายใจไม่พอได้ระดับหนึ่ง ถ้ายังคงใช้ยุทธวิธีที่สะดวกแบบเดิมอยู่แบบนี้เพียงอย่างเดียว วัคซีนคงไม่ช่วยทำให้คลายล็อควัคซีนได้เท่าไรนัก การเปิดให้จองโดยระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต สะดวก รวดเร็วทั้งผู้รับและผู้ให้บริการ แต่ต้องเป็นผู้รับบริการที่รอบรู้ หูไวตาไว ใช้แอปเก่ง ๆ หรือที่เรียกว่า The Have Net ส่วนพวกที่ช้าหน่อยเข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสารและเท็คโนโลยี หรือที่เรียกว่า The Have Not ก็จะไม่ค่อยได้รับวัคซีน The Have Net จากรอบนอกเข้าถึงวัคซีน The Have Not ในกทม.เอง เข้าไม่ถึง เราก็แก้ปัญหา กทม. ไม่ได้ เวลาพวกเราคนต่างจังหวัดพูดถึง กทม. เรานึกถึง พื้นที่เศรษฐกิจที่มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ภาพพวกนั้นปิดบังกลุ่มคนยากจนที่อยู่ตามหลืบ ซอกซอย ชุมชนคนกลุ่มน้อย คนขายแรงงาน แคมป์คนงานก่อสร้าง ฯลฯ คนพวกนี้ คือ The Have Not ซึ่งเป็น Social Pathology หรือสภาพสังคมที่เจ็บป่วยอมโรคของเมืองหลวง ผมเชื่อว่าคนพวกนี้เข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสาร บริการสาธารณสุขโดยเฉพาะการฉีดวัคซีนซึ่งต้องการการแข่งขันอย่างสูง เมื่อป่วยก็จะไม่สามารถร้องเรียนกับผู้ใดได้ การแยกตัวของสมาชิกออกจากครัวเรือนไม่ให้แพร่โรคน่าจะลำบากมาก เป็นที่น่ายินดีที่ทางราชการจะได้จัดหน่วยเคลื่อนที่ออกไปยังชุมชน ไปเยี่ยม The Have Not เหล่านี้ และคงเอาวัคซีนไปฉีดให้เป้าหมาย 607 ด้วย แต่ก็คงไม่ง่ายนักที่จะฉีดให้ได้จำนวนมาก ๆ เพราะอาจจะหาสถานที่ที่เหมาะสมในการฉีดวัคซีนได้ลำบาก การจัดพยาบาลเข้าฉีดวัคซีนตามบ้านจะมีต้นทุนด้านเวลาสูงมาก เป้าหมายที่ตั้งว่าจะได้วันละแสนคนไม่น่าจะทำได้จริง หน่วยสาธารณสุขเคลื่อนทีเก่ง ๆ เหมือนหน่วยซีลทางทหาร คือ รบได้ทุกภูมิประเทศ ทั้งอากาศ ทะเล และ บนบก แต่ไม่สามารถยึดพื้นที่ได้ หน่วยแบบนี้จึงมีข้อจำกัด เมื่อ ห้าสิบปีที่แล้ว ในชนบทเราก็มีหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เอาไว้ปฏิบัติการจิตวิทยา (ปจว) แสดงว่าทางการไม่ทอดทิ้งประชาชน มีความเมตตากรุณาสงสาร แต่ปัจจุบันนี้ เราสาธารณสุขปฐมภูมิครอบคลุมทุกพื้นที่ มีเครือข่าย อสม. โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล (สถานีอนามัยเดิม) ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ประจำถึง 4-5 คน นี่คือ กองร้อยทหารราบที่ประจำการ ปกป้องโรคภัย เขาดูแลตัวเองกันได้ ไม่ต้องรอความเมตตาจากคนนอก ผมไม่แน่ใจว่าเครือข่ายแบบนี้ในเมืองหลวงทำได้ดีเพียงไร การทำงานของหน่วยราชการโดยเฉพาะการควบคุมการระบาดของโควิดและการระดมฉีดวัคซีนโดยไม่มีประชาชนช่วยจัดตั้งน่าจะทำไม่ได้ผล ในช่วงล็อคดาวน์ เราต้องใช้ทหารราบ พลเดินเท้า และหน่วยประจำการทางสาธารณสุขจำนวนมหาศาล ทำงานสร้างพลัง (empower) ให้ประชาชนในชุมชนยากไร้ในเมืองหลวง ลุกขึ้นยืนหาทางช่วยตัวเองร่วมมือกับทางราชการแก้ปัญหาต่าง ๆ โดยเฉพาะฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุด เพื่อยึดเมืองหลวงคืนจากโควิดให้ได้
    ไม่ระบุชื่อ
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false