1 คนสงสัย
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัคซีนเชื้อตาย เช่น Sinovac
ไม่ระบุชื่อ
 •  3 ปีที่แล้ว
meter: true
1 ความเห็น
ช่วยระบุหมวดหมู่ของข้อความนี้ให้หน่อย
เลือกให้น้อยที่สุด (ถ้าเป็นไปได้)
Thanathun. เลือกให้ข้อความนี้✅ มีเนื้อหาที่เป็นจริงทั้งหมด

เหตุผล

เทคโนโลยีเซลล์เชื้อตาย ปัจจุบันเราจะเห็นว่าตามสื่อสังคมออนไลน์ และเว็บไซต์ต่างๆ มีผลการศึกษาหลายชิ้น และการนำเสนอข่าวสารที่ระบุถึงประสิทธิภา

ที่มา

https://blog.cofact.org/specialreport1/

เพิ่มความเห็นใหม่

กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 1 คนสงสัย
    ด่วน‼ Mike Yeadon อดีตหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ Pfizer กล่าวว่าตอนนี้สายเกินไปที่จะช่วยชีวิตผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน Covid-19 เขาขอเรียกร้องให้ผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดสารพิษร้ายแรงนี้ ให้ต่อสู้เพื่อการดำรงอยู่ของมนุษย์และชีวิตของลูกหลานในอนาคต นักภูมิคุ้มกันวิทยาที่ได้รับการยกย่องทั่วโลกกล่าวต่อไป....ถึงกระบวนการ/แผนการ ที่จะฆ่าคนส่วนใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่ ทันทีที่ได้รับการฉีดเข็ม แรกประมาณ 0.8% ของผู้คนที่รับ จะเสียชีวิตภายใน 2 สัปดาห์. ผู้ที่ยังรอดชีวิต...มีจะอายุขัยโดยเฉลี่ย 2 ปี แต่จะลดลงเรื่อยๆเมื่อ ฉีดเสริม(เข็มต่อๆมา) หรือ ฉีด "บูสเตอร์ * ทุกครั้ง วัคซีนเสริม...อยู่ในระหว่างการพัฒนาเพื่อทำให้เกิดความเสื่อมโทรมของอวัยวะอย่างเฉพาะเจาะจง เช่น หัวใจ ปอด และสมอง ... ด้วยความคุ้นเคยอย่างใกล้ชิดกับการทำงานและเป้าหมายของการวิจัยและพัฒนาของยักษ์ใหญ่ด้านเภสัชกรรม..ไฟเซอร์เป็นเวลา 2 ทศวรรษ ศาสตราจารย์ Yeadon กล่าวว่าเป้าหมายสุดท้ายของปัจจุบันของการฉีดวัคซีน..อาจเป็นเพียงเหตุการณ์การลดจำนวนประชากร..ซึ่งจะทำให้สงครามโลกทั้งหมดที่รวมกันดูเหมือนเป็นเพียงการสร้างมิกกี้เมาส์ 'หลายพันล้านคนได้รับผลร้ายไปแล้ว... ความตายและเจ็บปวดรวดร้าว ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผู้ที่ได้รับการฉีดแต่ละคนจะต้องเสียชีวิตก่อนวัยอันควรอย่างแน่นอน และ 3 ปีเป็นการประมาณที่เมตตาแล้วสำหรับระยะเวลาที่พวกเขาคาดหวังว่าจะมีชีวิตอยู่ " https://www.lifesitenews.com/news/exclusive-former-pfizer-vp-your-government-is-lying-to-you-in-a-way-that-could-lead-to-your-death
    ไม่ระบุชื่อ
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    "ศาลโลก" รับฟ้อง "พญาอินทรีย์" ปล่อยโควิด-19 สงครามชีวภาพ ในที่สุด ความจริงก็ถูกเปิดเผย โดย ผู้ตัดต่อพันธุกรรมเชื้อโควิด-19 คือพญาอินทรีย์เอง... ************** โควิด-19 มาจากฝีมือมนุษย์ สั่งทำโดย โดนัล ทรัมป์ มีแหล่งที่มาจากห้องแลป ไวรัส P3 ในมลรัฐคาโรไลน่าเหนือ ของสหรัฐอเมริกา!!! นาย Greg Roubini ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองชื่อดังของสหรัฐอเมริกาให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวทีวีที่ 1 ของอเมริกาได้เป็นผู้เผยความลับนี้ นาย Greg เผยว่า ไวรัสโควิด-19 ได้รับการออกแบบทางพันธุกรรมเพื่อใช้เป็นอาวุธชีวภาพ หรือสงครามเชื้อโรค:- - มีแหล่งที่มาจากห้องแลป BSL-3 ในมลรัฐคาโรไลน่าเหนือ พัฒนาโดย ศาสตราจารย์ราล์ฟ บาร์ริก - พร้อมกันนั้น เขาระบุว่า ไวรัสถูก “รัฐบาลมืด” จากรัฐคาโรไลน่าเหนือ ทดลองในทหารส่งไปแพร่ระบาดในการแข่งขันกีฬาในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ลุกลามไปอิตาลี และอเมริกาทั้งประเทศ ##..ก่อนหน้านี้ในวันที่ 15 มีนาคม 2564 นายเกรก ก็ได้ ทวิตข้อความถามนายทรัมป์ว่า - เหตุใดจึงไม่บอกประชาชนอเมริกาว่า ไวรัสผลิตจากอเมริกา? ทำไมไม่อธิบายให้ชัดเจนว่าตัวไวรัสเองแท้จริงแล้วคืออาวุธชีวภาพ? **บังเอิญ ศาสตราจารย์ Luc Montanier ผู้ได้รับรางวัลโนเบลเนื่องจากเป็นผู้ค้นพบไวรัสเอชไอวี (HIV) ได้เปิดเผยกับนักข่าวชาวฝรั่งเศสเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาว่า - โควิด-19 ไม่ใช่มาจากธรรมชาติ หากแต่ได้รับการพัฒนาอย่างประณีตโดยนักวิทยาศาสตร์ชีวโมเลกุล ***ศาสตราจารย์ Luc Montanier ยืนยันว่า เป็นเรื่องเด่นชัดที่เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญได้นำเชื้อไวรัสที่มาจาก ค้างคาวเข้าไปเพิ่มความเข้มข้นของเชื้อเอชไอวีเข้าไปด้วย - นี่คือ การวางยาพิษที่ชั่วร้ายที่สุดที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของโลก! ***นั่นคือการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สุดโหด ข่าวเกี่ยวกับ “เชื้อโควิด-19 เป็นอาวุธชีวภาพที่มาจากการตัดต่อพันธุกรรมโดยฝีมือมนุษย์” มีมาโดยตลอด ***นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกพยายามทำงานหาแหล่งที่มาของเชื้อไวรัสโดยนักวิทยาศาสตร์อินเดียค้นพบว่า เชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ุใหม่ มีเชื้อเอชไอวีแทรกอยู่ด้วย นี่แสดงให้เห็นว่าไวรัสตัวนี้มาจากการตัดต่อทางพันธุกรรม ***กลางเดือนมีนาคม นักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์พบว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 จากผู้ป่วยรายหนึ่งในรัฐวอชิงตันพบว่าวัฏจักรวิวัฒนาการของมันมียาวนานกว่าครึ่งปีมาแล้ว พร้อมๆกับการศึกษาลึกซึ้งลงไปว่า ประเทศต่างๆในโลกไม่น้อยได้เบนสายตาแห่งความสงสัยไปที่อเมริกา ประเทศต่างๆ ทั้งญี่ปุ่น อิตาลี ออสเตรเลีย ล้วนมีผู้ป่วยทียืนยันว่ามีแหล่งที่มาจากอเมริกาทั้งสิ้น *** ในเวลาต่อมา ROBERT REDFIELD ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกายอมรับว่า ผู้ป่วยตายจากไข้หวัดใหญ่ในเดือนกันยายน 2019 มีอยู่ไม่น้อยที่ตายจากเชื้อไวรัสโควิด-19 นี้ (เกิดก่อนการระบาดที่อู่ฮั่น) - ต่อปัญหานี้โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีน นายจ้าว ลี่เจียง ได้ทวิตข้อความในทวิตเตอร์ถามผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกาว่า ผู้ป่วยรายแรกของอเมริกาเกิดขึ้นตอนไหน? ชื่ออะไร? อยู่โรงพยาบาลอะไร? และเป็นไปได้อย่างมากที่ทหารอเมริกาที่มาแข่งกีฬาทหาร นำเชื้อมาแพร่ที่เมืองอู่ฮั่น ในจีน >>>>สหรัฐอเมริกาต้องโปร่งใส ต้องเปิดเผยข้อมูลนี้ให้โลกได้รู้ความจริง **ด้วยความพยายามอย่างสุดความสามารถของคณะผู้สื่อข่าวคณะหนึ่งแห่งรัฐเวอร์จิเนีย ในที่สุดก็ได้ตามหาผู้ป่วยรายแรกจนพบ นั่นก็คือ ทหารอเมริกาที่เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาทหารที่เมืองอู่ฮั่นของจีนในเดือนตุลาคม 2019 นางมีชื่อว่า "Maatje Benassi" >>>นายทหารหญิงของอเมริกาคนนี้มีภูมิหลังพิเศษตรงที่นางมีความเกี่ยวข้องกับห้องปฏิบัติการชีวเคมี P4 ของนาย FORT DETRICK *** คนในครอบครัวก็มีหลายคนที่ยืนยันว่าผู้ติดเชื้อในจำนวนนี้มีอยู่คนหนึ่งเป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อรายแรกในฮอลแลนด์ ก่อนติดเชื้อ เขาเคยไปในเขตพื้นที่ลอมบาร์เดียของอิตาลี ทำให้เขตพื้นที่นั้นเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ***มาถึงตรงนี้ หลักฐานเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโควิด-19 มีต้นกำเนิดมาจากสหรัฐอเมริกาอย่างแน่นอน มีห่วงโซ่เชื่อมร้อยอย่างครบถ้วน ทหารพิเศษ 5 คนที่อเมริกาส่งเครื่องบินมารับกลับไปภายหลังการแพร่ระบาดของไวรัสและห้องแลป ที่ถูกปิดตาย ก็สามารถนำมาปะติดปะต่อกันได้แล้ว หากว่ากันตามตรรกะของนายทรัมป์ เราก็สามารถเรียกเชื้อโควิด-19 ว่า เป็น "ไวรัสนอร์ธคาโรไลนา" (Virus North Carolina) หรือ "ไวรัสอเมริกา" ***ในขณะที่หลักฐานทั้งหมดต่างชี้ไปที่อเมริกา เจ้าหน้าที่ชั้นสูงของสหรัฐอเมริกายอมรับอย่างเปิดเผยว่า เชื้อโควิด-19 ไม่จัดอยู่ในชั้นของโรคระบาดเท่านั้น แต่จัดอยู่ในชั้นของอาวุธชีวภาพ กรืออาวุธเชื้อโรค เหมือนไวรัสโรคไข้หวัดเสปน เมื่อ 100 ปีก่อนที่ทหารอเมริกานำไปแพร่ในเสปน >>>ความไร้ยางอายนี้ ทำให้โลกตะลึงและได้เพิ่มข้อน่าสงสัยว่าสหรัฐอเมริกา เป็นฆาตกรผู้วางยาพิษคนทั้งโลก เพียงเพื่อจะขายวัคซีนป้องกันมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ขาดดุลการค้า” >>>เรื่องทั้งหมดได้ปรากฏชัดเจนแล้ว แต่ทว่าทรัมป์ยังพยายามโยนบาปอย่างไม่คิดชีวิต กล่าวหาให้จีนรับเคราะห์แทนอย่าง น่ารังเกลียดที่สุด ***เชื้อโควิด-19 ได้ก่อให้เกิดภัยพิบัติและความสูญเสียที่ยากจะประเมินได้ บาปนี้มันใหญ่หลวงเกินกว่าจะโยนออกไป แล้วโทษคนอื่น ***ยังมีข้อน่าสงสัยที่นาย เกรกได้ตีแผ่ออกมา นายราล์ฟ บาร์ริค ผู้รับผิดชอบพัฒนาไวรัส รัฐคาโรไลนาเหนือคนนี้เป็นใคร *** นาย บาร์ริค มาจากมหาวิทยาลัยคาโรไลนาเหนือ เขาเป็นหัวหน้านักไวรัสวิทยาที่เปลี่ยนโฉมใหม่ของโรคซาร์สโคโรนาไวรัสโดยการตัดต่อยีนในปี 2015 - และเขายังเป็นผู้นำในการวิจัยและพัฒนาไวรัสดังกล่าวอีกด้วย ที่น่าตกใจก็คือ เขาเป็นบุคคลที่รับผิดชอบด้านการพัฒนาทางคลินิกของยาวิเศษ "RADEXIVIR" เป็นไปอย่างที่โบราณว่าไว้ คนที่วางยาพิษก่อนอื่นต้องเตรียมผลิตยาแก้ยาพิษนั้นๆไว้ก่อนเสมอ!!!! - ยา RIDESIVIR ภายหลังจากปฏิบัติการทางคลินิกและถูกตั้งข้อสงสัยโดยผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยของมันจึงทำให้ตกกระป๋องไปพร้อมๆกับการแพร่ระบาดที่ลุกลามออกไปทั่วโลก ***สหรัฐอเมริกากลายเป็น “ศูนย์กลางการล้างโลก” ไปแล้ว - การแพร่ระบาดในช่วงแรกของอเมริกา ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้ให้ความสาคัญกับมันเลยโดยมองว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ที่หนักกว่าปกติเท่านั้นเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าคนของตนเองผลิตมันขึ้นมาจนกระทั่งเพื่อนรักของเขาคือ "นายสแตนลี่ย์ เชล่า" เจ้าพ่อวงการอสังหาริมทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่แห่งมลรัฐนิวยอร์กเสียชีวิตจากเชื้อไวรัสโควิด-19 !! >>>>ถึงเวลานี้จีนได้ฟ้องร้องต่อศาลโลกว่า อเมริกาเป็นต้นเหตุในการแพร่เชื้อโรคไวรัสโควิด-19 อย่างตั้งใจเพื่อทำลายล้างจีนและประชาชนทั่วโลก*** >>>ตอนนี้คงต้องรอดูการสืบสวนของศาลโลกว่า จะตัดสินออกมาเช่นไร? ซึ่งถึง ณ เวลานี้ ทรัมป์เริ่มรู้สึกตัว และให้ความสาคัญในระดับสูง แต่ว่าสายไปเสียแล้ว!!! https://youtu.be/Y04Qm8QVQXE ขอบคุณข้อมูลจาก นพ.ขวัญชัย เสธนันท์
    ไม่ระบุชื่อ
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ในที่สุด ความจริงก็ถูกเปิดเผย โดย ผู้ตัดต่อพันธุกรรมเชื้อโควิด 19 เอง โควิด19 มาจากฝีมือมนุษย์ จริงหรือไม่
    ในที่สุด ความจริงก็ถูกเปิดเผย โดย ผู้ตัดต่อพันธุกรรมเชื้อโควิด 19 เอง... ************** โควิด19 มาจากฝีมือมนุษย์ มีแหล่งที่มาจากห้องแลป ไวรัส P3รัฐคาโรไลน่าเหนือของอเมริกา!!! นาย Greg Roubini ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองชื่อดังของอเมริกาให้สัมภาษณ์ของผู้สื่อข่าวช่องข่าวทีวีที่1 ของอเมริกาได้เป็นผู้เผยความลับนี้ นาย Greg เผยว่า ไวรัสโควิด19 ได้รับการออกแบบทางพันธุกรรมเพื่อใช้เป็นอาวุธชีวภาพ - มีแหล่งที่มาจากห้องแลป BSL-3 รัฐ คาโรไลน่าเหนือ พัฒนาโดย ศาสตราจารย์ราล์ฟ บาร์ริก - พร้อมกันนั้น เขาระบุว่า ไวรัสถูก “รัฐบาลมืด” จากรัฐคาโรไลน่าเหนือส่งไปแพร่ระบาดในประเทศจีน อิตาลี และอเมริกาทั้งประเทศ ##..ก่อนหน้านี้ในวันที่ 15 มีนาคม นายเกรก ก็ได้ทวิตข้อความถามนายทรัมป์ว่า - เหตุใดจึงไม่บอกประชาชนอเมริกาว่า ไวรัสผลิตจากอเมริกา? ทำไมไม่อธิบายให้ชัดเจนว่าตัวไวรัสเองแท้จริงแล้วคืออาวุธชีวภาพ? **บังเอิญ ศาสตราจารย์ Luc Montanier ผู้ได้รับรางวัลโนเบลเนื่องจากเป็นผู้ค้นพบไวรัสเอชไอวีได้เปิดเผยกับนักข่าวชาวฝรั่งเศสเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาว่า - โควิด19 ไม่ใช่มาจากธรรมชาติ หากแต่ได้รับการพัฒนาอย่างประณีตโดยนักวิทยาศาสตร์ชีวโมเลกุล ***ศาสตราจารย์ Luc Montanier ยืนยันว่า เป็นเรื่องเด่นชัดที่เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญได้นำเชื้อไวรัสที่มาจากค้างคาวเข้าไปเพิ่มความเข้มข้นของเชื้อเอชไอวีเข้าไปด้วย - นี่คือ การวางยาพิษที่ชั่วร้ายที่สุดที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของโลก ***นั่นคือการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19 สุดโหด ข่าวเกี่ยวกับ “เชื้อโควิด19 เป็นอาวุธชีวภาพที่มาจากการตัดต่อพันธุกรรมโดยฝีมือมนุษย์” มาโดยตลอด ***นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกพยายามทำงานหาแหล่งที่มาของเชื้อไวรัสโดยนักวิทยาศาสตร์อินเดียค้นพบว่า เชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ุใหม่มีเชื้อเอชไอวีแทรกอยู่ด้วย นี่แสดงให้เห็นว่าไวรัสตัวนี้มาจากการตัดต่อทางพันธุกรรม ***กลางเดือนมีนาคม นักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์พบว่าเชื้อไวรัสโควิด19จากผู้ป่วยรายหนึ่งในรัฐวอชิงตันพบว่าวัฏจักรวิวัฒนาการของมันมียาวนานกว่าครึ่งปีมาแล้ว พร้อมๆกับการศึกษาลึกซึ้งลงไปว่า ประเทศต่างๆในโลกไม่น้อยได้เบนสายตาแห่งความสงสัยไปที่อเมริกา ประเทศต่างๆ ทั้งญี่ปุ่น อิตาลี ออสเตรเลีย ล้วนมีผู้ป่วยทียืนยันว่ามีแหล่งที่มาจากอเมริกาทั้งสิ้น *** ในเวลาต่อมา ROBERT REDFIELD ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกายอมรับว่า ผู้ป่วยตายจากไข้หวัดใหญ่ในเดือนกันยายน 2019 มีอยู่ไม่น้อยที่ตายจากเชื้อไวรัสโควิด19 นี้ - ต่อปัญหานี้โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีน นายจ้าวลี่เจียงได้ทวิตข้อความในทวิตเตอร์ถามผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา ว่า ผู้ป่วยรายแรกของอเมริกาเกิดขึ้นตอนไหน? ชื่ออะไร? อยู่โรงพยาบาลอะไร? และเป็นไปได้อย่างมากที่ทหารอเมริกานำเชื้อมาแพร่ที่อู่ฮั่น. >>>>อเมริกาต้องโปร่งใส ต้องเปิดเผยข้อมูลนี้ให้โลกได้รู้ความจริง **ด้วยความพยายามอย่างสุดความสามารถของคณะผู้สื่อข่าวคณะหนึ่งแห่งรัฐเวอร์จิเนีย ในที่สุดก็ได้ตามหาผู้ป่วยรายแรกจนพบ นั่นก็คือ ทหารอเมริกาที่เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาทหารที่อู่ฮั่นของจีนในเดือนตุลาคม 2019 นางมีชื่อว่า "Maatje Benassi" >>>นายทหารหญิงของอเมริกาคนนี้มีภูมิหลังพิเศษตรงที่นางมีความเกี่ยวข้องกับห้องปฏิบัติการชีวเคมี P4 ของนาย FORT DETRICK *** คนในครอบครัวก็มีหลายคนที่ยืนยันว่าผู้ติดเชื้อในจำนวนนี้มีอยู่คนหนึ่งเป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อรายแรกในฮอลแลนด์ ก่อนติดเชื้อเขาเคยไปในเขตพื้นที่ลอมบาร์เดียของอิตาลี ทำให้เขตพื้นที่นั้นเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด19 ***มาถึงตรงนี้ หลักฐานเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโควิด19 มีต้นกำเนิดจากอเมริกาอย่างแน่นอน มีห่วงโซ่เชื่อมร้อยอย่างครบถ้วน ทหารพิเศษ 5 คนที่อเมริกาส่งเครื่องบินมารับกลับไปภายหลังการแพร่ระบาดของไวรัสและห้องแลปที่ถูกปิดตาย ก็สามารถนำมาปะติดปะต่อกันได้แล้ว หากว่ากันตามตรรกะของนายทรัมป์ เราก็สามารถเรียกเชื้อโควิด19 เป็น "ไวรัสนอร์ธคาโรไลนา" (Virus North Carolina) หรือ "ไวรัสอเมริกา" ***ในขณะที่หลักฐานทั้งหมดต่างชี้ไปที่อเมริกา เจ้าหน้าที่ชั้นสูงของอเมริกายอมรับอย่างเปิดเผยว่า เชื้อโควิด19 ไม่จัดอยู่ในชั้นของโรคระบาด แต่จัดอยู่ในชั้นของอาวุธชีวภาพ >>>#”ความไร้ยางอายทำให้โลกตะลึงและได้เพิ่มข้อน่าสงสัยว่าอเมริกาเป็นผู้วางยาพิษคนทั้งโลก. เพื่อขายวัคซีนป้องกันมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ขาดดุลการค้า” >>>เรื่องทั้งหมดได้ปรากฏชัดเจนแล้ว แต่ทว่าทรัมป์ยังพยายามโยนบาปอย่างไม่คิดชีวิตให้จีนรับเคราะห์แทนอย่าง น่ารังเกลียดที่สุด ***เชื้อโควิด19 ได้ก่อให้เกิดภัยพิบัติและความสูญเสียที่ยากจะประเมินได้ บาปนี้มันใหญ่หลวงเกินกว่าจะโยนออกไปแล้วโทษคนอื่น ***ยังมีข้อน่าสงสัยที่นายเกรกได้ตีแผ่ออกมา นายราล์ฟ บาร์ริค ผู้รับผิดชอบพัฒนาไวรัส รัฐคาโรไลนาเหนือคนนี้เป็นใคร *** นาย บาร์ริคมาจากมหาวิทยาลัยคาโรไลนาเหนือ เขาเป็นหัวหน้านักไวรัสวิทยาที่เปลี่ยนโฉมใหม่ของโรคซาร์สโคโรนาไวรัสโดยการตัดต่อยีนในปี 2015 - และเขายังเป็นผู้นำในการวิจัยและพัฒนาไวรัสดังกล่าวอีกด้วย ที่น่าตกใจก็คือ เขาเป็นบุคคลที่รับผิดชอบด้านการพัฒนาทางคลินิกของยาวิเศษ "RADEXIVIR" เป็นไป อย่างที่โบราณว่าไว้ คนที่วางยาพิษก่อนอื่นต้องเตรียม# ยาแก้พิษไว้ก่อนเสมอ!!!! - ยา RIDESIVIR ภายหลังจากปฏิบัติการทางคลินิกและถูกตั้งข้อสงสัยโดยผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยของมันจึงทำให้ตกกระป๋องไปพร้อมๆกับการแพร่ระบาดที่ลุกลามออกไปทั่วโลก ***อเมริกากลายเป็น “ศูนย์กลางการล้างโลก” ไปแล้ว - การแพร่ระบาดในช่วงแรกของอเมริกา ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้ให้ความสาคัญกับมันเลยโดยมองว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ที่หนักกว่าปกติเท่านั้นเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าคนของตนเองผลิตมันขึ้นมาจนกระทั่งเพื่อนรักของเขาคือ "นายสแตนลี่ย์ เชล่า" เจ้าพ่อวงการอสังหาริมทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่แห่งนิวยอร์กเสียชีวิตจากเชื้อไวรัสโควิด19 >>>>ถึงเวลานี้จีนได้ฟ้องร้องต่อศาลโลกว่า อเมริกาเป็นต้นเหตุในการแพร่เชื้อไวรัสโควิด 19 อย่างตั้งใจเพื่อทำลายล้างจีนและ ปชช ทั่วโลก*** >>>ตอนนี้คงต้องรอดูการสืบสวนของศาลโลกว่าจะตัดสินออกมาเช่นไร? ซึ่งถึง ณ เวลานี้ ทรัมป์เริ่มรู้สึกตัวและให้ความสาคัญในระดับสูง #แต่ว่าสายไปเสียแล้ว!!! **Ny Ny*
    Mrs.Doubt
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ท่านที่คิดจะฉีดวัคซีน mRNA โปรดสละเวลาฟังคลิปนี้หน่อย หมอคนนี้รักษาคนไข้ในอเมริกา บอกว่าเริ่มพบคนไข้มีปัญหาโรคภูมิแพ้ตนเอง (Auto-immune Disease), มะเร็งผิวหนัง (Melanoma) เพิ่มขึ้น 20 เท่าเมื่อเทียบกับก่อนการฉีดวัคซีน และยังกล่าวอีกว่า โรคโควิด19 สามารถรักษาให้หายได้หากคนไข้ได้รับยา Ivermectin ในระยะเริ่มต้น นั่นหมายถึงไม่ปล่อยให้ โรคล่วงเลยไปสู่เฟสที่ 2 คือการลงไปทำลายปอด ซึ่งการอักเสบที่ปอดนี้เองเป็นสาเหตุให้เนื้อปอดที่สามารถแลกเปลี่ยนอ๊อกซิเจนให้เม็ดเลือดลดลง ทำให้อวัยวะเริ่มล้มเหลวเริ่มจากไตวาย และตามด้วยตับวาย คนไข้จึงมีอัตราการเสียชีวิตได้รวดเร็ว อันเนื่องมาจากการอักเสบและการเกิดลิ่มเลือดที่ปอด คนไข้ในเฟสที่ 2 นี้จะไม่พบการแบ่งตัวของไวรัสแล้ว แต่สามารถพบเศษทรากไวรัสและเศษหนามไวรัส (Spike Proteins) ได้เป็นจำนวนมาก จากการศึกษาทาง Microbiology พบว่าแค่เพียงหนามไวรัส หรือ Spike Protein ก็ทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อและทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันในเสันเลือดได้ดังนั้น Spike Protein จึงเป็นอาวุธสำคัญของโคโรนาไวรัสนี้ แต่เขากลับนำอาวุธของ SARs-CoV2 มาทำวัคซีน นั่นเท่ากับฉีดอาวุธของไวรัสให้คนโดยตรง ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อย่อมเป็นสิทธิ์ของท่าน แต่อย่าบอกว่า เราไม่เตือนท่าน หากท่านจำเป็นต้องฉีดวัคซีน ขอให้เป็นวัคซีนเชื้อตายปลอดภัยที่สุด รองลงไปคือ ไวรัสเวคเตอร์และที่อันตรายที่สุด คือ mRNA. ด้วยความปรารถนาดีจาก ทพญ.อุบลรัตน์ วรรณวิสูตร DDS, MPH, MS, Diplomate American Board of Periodontology https://youtu.be/tUE5EBPt-lU
    ไม่ระบุชื่อ
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    จริงหรือไม่ อดีตหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ Pfizer กล่าวว่าการฉีดวัคซีน Covid-19 ส่งผลให้อายุสั้นลง
    ด่วน‼ Mike Yeadon อดีตหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ Pfizer กล่าวว่าตอนนี้สายเกินไปที่จะช่วยชีวิตผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน Covid-19 เขาขอเรียกร้องให้ผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดสารพิษร้ายแรงนี้ ให้ต่อสู้เพื่อการดำรงอยู่ของมนุษย์และชีวิตของลูกหลานในอนาคต นักภูมิคุ้มกันวิทยาที่ได้รับการยกย่องทั่วโลกกล่าวต่อไป....ถึงกระบวนการ/แผนการ ที่จะฆ่าคนส่วนใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่ ทันทีที่ได้รับการฉีดเข็ม แรกประมาณ 0.8% ของผู้คนที่รับ จะเสียชีวิตภายใน 2 สัปดาห์. ผู้ที่ยังรอดชีวิต...มีจะอายุขัยโดยเฉลี่ย 2 ปี แต่จะลดลงเรื่อยๆเมื่อ ฉีดเสริม(เข็มต่อๆมา) หรือ ฉีด "บูสเตอร์ * ทุกครั้ง วัคซีนเสริม...อยู่ในระหว่างการพัฒนาเพื่อทำให้เกิดความเสื่อมโทรมของอวัยวะอย่างเฉพาะเจาะจง เช่น หัวใจ ปอด และสมอง ... ด้วยความคุ้นเคยอย่างใกล้ชิดกับการทำงานและเป้าหมายของการวิจัยและพัฒนาของยักษ์ใหญ่ด้านเภสัชกรรม..ไฟเซอร์เป็นเวลา 2 ทศวรรษ ศาสตราจารย์ Yeadon กล่าวว่าเป้าหมายสุดท้ายของปัจจุบันของการฉีดวัคซีน..อาจเป็นเพียงเหตุการณ์การลดจำนวนประชากร..ซึ่งจะทำให้สงครามโลกทั้งหมดที่รวมกันดูเหมือนเป็นเพียงการสร้างมิกกี้เมาส์ 'หลายพันล้านคนได้รับผลร้ายไปแล้ว... ความตายและเจ็บปวดรวดร้าว ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผู้ที่ได้รับการฉีดแต่ละคนจะต้องเสียชีวิตก่อนวัยอันควรอย่างแน่นอน และ 3 ปีเป็นการประมาณที่เมตตาแล้วสำหรับระยะเวลาที่พวกเขาคาดหวังว่าจะมีชีวิตอยู่ "
    nutyty_MJU
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    วัคซีนพิษสุนัขบ้า
    วัคซีนพิษสุนัขบ้า คือวัคซีนที่ใช้ในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสเรบี (Rabies) โดยมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเป็นพาหะ เช่น สุนัข แมว ลิง ค้างคาว ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะได้รับเชื้อจากการถูกกัดหรือข่วน การฉีดวัคซีนนี้จะช่วยป้องกันผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้า โดยผลิตขึ้นมาจากเชื้อไวรัสเรบีที่ตายแล้ว เมื่อเข้าไปในร่างกาย เชื้อจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อพิษสุนัขบ้าหรือไวรัสเรบี
    pocky18b
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    หมอยง แจงประสิทธิภาพวัคซีนโควิด-19 ขึ้นกับพื้นที่ อย่ายึดติดที่ตัวเลข 2021-01-14 17:21:56 สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ม.ค. 2564)--นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่รัฐบาลจะนำเข้ามาฉีดให้ประชาชน ว่า การพิจารณาเรื่องประสิทธิภาพนั้นอย่าไปยึดติดที่ตัวเลข ขอให้ยึดความเป็นจริง เนื่องจากผลทดสอบในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน            สำหรับวัคซีนของบริษัท ซิโนแว็กเทคโนโลยี จำกัด นั้น ทดสอบที่ตุรกีในบุคคลทั่วไปให้ประสิทธิภาพ 90%, อินโดนีเซียทดสอบในบุคคลทั่วไป 60% ขณะที่บราซิลทดสอบในบุคลากรทางแพทย์ที่มีความเสี่ยงสูงให้ประสิทธิภาพเหลือ 50% ซึ่งวัตถุประสงค์ของการผลิตวัคซีนมี 3 ประการ คือ 1.ฉีดแล้วป้องกันการติดเชื้อ 2.ฉีดแล้วติดเชื้อแล้วแต่ไม่เป็นโรค และ 3.ฉีดแล้วเป็นโรคแล้วไม่มีอาการรุนแรงหรือเสียชีวิต           "ตอนนี้ตลาดเป็นของผู้ขาย เพราะกำลังขาดแคลน ถ้าจะให้เลือกวัคซีนที่ดีที่สุดอาจซื้อไม่ได้ แต่องค์การอนามัยโลกบอกป้องกันได้เกิน 50% ก็ยอมรับได้ ถึงแม้เราอยากได้ที่ป้องกันถึง 100%" นพ.ยง กล่าว           ตนเองคงไม่สามารถยืนยันได้ว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้วจะมีภูมิต้านทานได้นานแค่ไหน เพราะเป็นโรคอุบัติใหม่ อย่างกรณีวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส ที่ก่อนหน้านี้ระบุว่าฉีดเข็มเดียวป้องกันได้ตลอดชีวิต ตอนนี้ต้องฉีดเพิ่มอีกเข็ม และจากการศึกษาเชื้อไวรัสโควิด-19 พบการกลายพันธุ์มีน้อยกว่าไวรัสไข้หวัดใหญ่ประมาณสิบเท่า ซึ้งไม่กระทบต่อการผลิตวัคซีน           "ถามว่าจะป้องกันได้กี่ปี นานแค่ไหน บอกได้เลยว่าไม่รู้ เพราะวัคซีนนำมาใช้แค่ 3-4 เดือน จะให้บอกว่าป้องกันนานแค่ไหน ไม่มีใครรู้ ต้องติดตามกันต่อไป ความรู้ใหม่จะเกิดขึ้น ถ้าฉีดแล้วยังติดเชื้อก็ต้องฉีดกระตุ้นใหม่ ซึ่งอาจจะอยู่ได้อีก 5 ปี" นพ.ยง กล่าว           ส่วนการตัดสินใจว่าจะฉีดวัคซีนหรือไม่ขึ้นอยู่ความเสี่ยงของแต่ละคน เช่น ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตสูง โดยผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปีมีโอกาสเสียชีวิต 3-4% ผู้ที่มีอายุเกิน 70 ปีมีโอกาสเสียชีวิต 10% และผู้ที่มีอายุเกิน 80 ปีมีโอกาสเสียชีวิต 20% แต่ถ้าเป็นผู้ที่อายุน้อยถึงจะติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ ต่อไปโรคนี้อาจเป็นโรคไข้หวัดธรรมดาที่ติดต่อได้ง่ายในเด็กๆ แต่ติดเชื้อแล้วไม่มีอาการ ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันเอง แต่ไวรัสชนิดนี้จะไม่มีวันหายไปแต่จะมีวิวัฒนาการที่ไม่ทำให้เกิดอาการรุนแรง           ปัจจุบันทั่วโลกมีการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไปแล้วราว 30 ล้านโดส โดยเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตายที่ฉีดในจีน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และบาห์เรน และวัคซีนชนิด mRNA ของไฟเซอร์ฯ ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นโอกาสดีที่รัฐบาลจะเจรจานำวัคซีนที่มีใช้แล้วเข้ามาทดลองฉีดในประเทศไทยว่าจะมีการตอบสนองอย่างไร           ตนเองได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศเกี่ยวกับการฉีดวัคซีน มีผู้ตอบแบบสอบถามกลับมากว่า 3.3 หมื่นคน โดยประชาชนส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นที่จะรับการฉีดวัคซีน 55% มีผู้ที่ไม่ฉีด 5% เนื่องจากก่อนหน้านี้กระทรวงสาธารณสุขเกิดความกังวลว่าอาจสูญเสียงบประมาณไปเปล่าๆ หากมีการนำเข้าวัคซีนแล้วประชาชนไม่สนใจ นอกจากนี้ประชาชนส่วนใหญ่ยังให้ความเชื่อมั่นกับวัคซีนที่ผลิตจากประเทศแถบยุโรปและอเมริกามากกว่าวัคซีนที่ผลิตจากที่อื่น           อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนยึดมั่นตามมาตรการชีวอนามัย เช่น สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย เว้นระยะห่าง ซึ่งตนเองมีประสบการณ์จากการลงพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร พร้อมกับผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขแล้วไม่ติดเชื้อหลังกักกันโรคครบกำหนดแล้ว --อินโฟเควสท์ โดย ธนวัฏ เสือแย้ม/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--
    ไม่ระบุชื่อ
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    จากหมอ โสภณ เมฆธน อดีตปลัด สธ และผู้ช่วยรัฐมนตรี สธ Covid-19: ความหวังและความยากลำบาก Update ข่าวดีและข่าวร้าย หลังผ่านไป 18 วัน จากนี้ไปข้างหน้าเราต้องเตรียมตั้งรับกับสิ่งใด และมองย้อนหลังไปเราทำกันมาได้ขนาดไหน ผมทำกราฟมาอธิบายให้ครับ ประเมินสถานการณ์ตัวเลข ณ วันนี้: 1. ข่าวดีสำคัญ สงกรานต์ที่เงียบมาก ทำให้เราสามารถช่วยกันหนี %Increase ระดับ 40% ของ British Variant มาได้แล้ว วันนี้ตัวเลขมาอยู่ที่ 15.26% และเริ่มเข้าสู่ Negative Exponential Curve ของกราฟ %Increase เราซื้อเวลาสำเร็จระดับนึง 2. ข่าวร้าย การผ่านตัวเลขระดับ 13,000 ที่ %Increase ระดับ 15.26% ถือว่าร้ายแรงมาก แทบไม่เคยมีประเทศใดจบที่ต่ำกว่าแสนและไม่มีประเทศใดที่เจอแบบนี้ครั้งแรกแล้วระบบสาธารณสุขไม่ล่มอย่างหนัก EURO5 โดนแบบนี้ไปเมื่อ Wave#1 เอาตัวไม่รอดทั้งที่เป็น Variant ที่รุนแรงน้อยกว่านี้ ดังนั้นอย่าไปเดินตามและทำตาม EURO5 ครับ 3. ตัวเลข 13,000 ใหญ่กว่าทั้ง Wave#2 ของไทยเราที่ตัดแรงงานต่างด้าวออกไปแล้วซึ่งแค่ 9,300 เท่านั้น โดย Wave#3 นี้แทบไม่มีตัวเลขจากแรงงานต่างด้าวเลย 4. ความหวังสำคัญ ผมมีข้อมูลพอทำกราฟของ Best Case Scenario ได้แล้ว กราฟบอกเราว่า ถ้าช่วยกันสู้เต็มที่ ยังสามารถต่ำกว่าแสนได้ครับ กราฟตัวเลขจริงเปรี่ยบเทียบ 3 Wave: ข่าวร้าย: เส้นสีแดงของ Wave#3 เห็นได้ชัดเจนนะครับว่า หนักหนาสาหัสกว่า Wave 1 และ 2 แบบเทียบกันไม่ได้เลย นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมทีมงานสาธารณสุขของเราจึงทำงานหนักมากตอนนี้ และทำไมศบค.จึงต้องวางมาตรการที่เข้มข้นมาก ถึงแม้จะไม่สามารถ Lockdown ได้เพราะแรงกดดันรอบทิศก็ตาม และทุกคนควรตระหนักอย่างยิ่งและทำตามมาตรการต่างๆอย่างเคร่งครัดครับ จากข้อมูล 17 วัน ผม Fine Tune พารามิเตอร์ต่างๆของกราฟใหม่ และมองไปข้างหน้า 1 เดือนได้ตามนี้ครับ กราฟ Total Case ประเมินไปข้างหน้า 1 เดือนครึ่ง: ข่าวร้าย: 1. ถึงจะทำดีที่สุดเต็มที่ ปลายเดือนเม.ย.ก็น่าจะถึง 35,000 คือจากนี้ไปอีก 13 วันเตรียมรับอีกอย่างน้อย ประมาณ 20,000 ครับ 2. ตัวเลข Daily New Case จะยืนอยู่ระดับ 1,600 - 1,800 ไปอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ 3. ตัวเลข Daily New Case จะอยู่ระดับ >1,000 ไปจนสิ้นเดือนเม.ย. เดือนพ.ค.เราจึงจะเริ่มเห็นระดับที่ต่ำกว่าพันอย่างมีนัยะสำคัญ 4. วันที่ 18 พ.ค. เปิดเทอมตัวเลขจะอยู่แถวๆ 44,000 และมี Daily New Case ประมาณ 215 จะเป็นการตัดสินใจที่ยากมากครับ 5. วันที่ 31 พ.ค. ตัวเลขจะอยู่แถวๆ 45,500 และมี Daily New Case ประมาณ 48 จะใกล้จบถ้าไม่มีใครการ์ดตกยืนระยะไม่อยู่เสียก่อน 6. นี่คือ Best Case Scenario 7. แทบไม่เคยมีใครวิ่งตามเส้น Best Case Scenario นี้ได้ ยกเว้น จีน ออสเตรเลีย เกาหลี และประเทศไทยเราเองใน Wave#1 และ Wave #2 ช่วงเดือนม.ค. ข่าวดี: 1. อย่างน้อยวันจันทร์ที่จะถึงนี้ก็ยังอยู่แถวๆ 15,000 ซึ่งต่ำกว่า 40,000 ซึ่งเป็น Worst Case มาก 2. ถ้าช่วยกันจะสามารถจบได้ภายใน 2 เดือนโดยอยู่แถว 45,000 ครับ 3. เราเคยวิ่งตาม Curve แบบนี้สำเร็จมาแล้ว 2 ครั้ง ถ้าร่วมมือกันทำเต็มที่ครับ กราฟ %Increase ข่าวดี: %Increase ลดลงมาอยู่ที่ 15.26% แล้ว และลู่เข้าสู่กราฟ Negative Exponential ที่มี Time Constant 9.1 มาแล้ว 5 วัน ซึ่งหมายถึงเรากำลังเริ่มตั้งหลักได้และสงกรานต์ที่ผ่านมาเราก็ทำได้ดีครับ จากนี้ไปต้องรักษา Momentum ให้ได้ และอย่าให้การเริ่มกลับมาทำงานหลังวันหยุดเปลี่ยนแนวโน้มของกราฟนี้เด็ดขาด ข่าวร้าย: ไม่มีสำหรับกราฟนี้ คำแนะนำที่สำคัญที่สุด "อย่าทำแบบ EURO5 โดยเฉพาะอังกฤษ ห้ามเอาพวกเขามาเป็นบรรทัดฐานโดยเด็ดขาดครับ" สาเหตุครับ 1. พวกเขาทุกประเทศตายมาแล้วเป็นแสน ประเทศไหนยังไม่ถึงแสน เดี๋ยวก็จะถึงครับ 2. อัตราการตายของ EURO 5 อยู่ที่ 1.9 - 3.0% มากว่าเรากว่า 10 เท่า 3.อังกฤษอยู่ใน Lockdown รวมกัน 2 ครั้งกว่า 7 เดือน มากกว่าไทยเราที่อยู่ใน Full Lockdown 1.5 เดือน Semi Lockdown ประมาณ 1.5 เดือนเท่านั้น 4. เศรษฐกิจก็แย่กว่าเรา UK Annual GDP fell by 9.9% in 2020, the largest yearly fall on record 5. มีคนตายคาบ้านเยอะมากเพราะโรงพยาบาลไม่พอ โรงพยาบาลสนามก็ไม่พอ การรักษาตัวอยู่บ้านคือทางสุดท้ายเพราะจนแต้มนะครับ ไม่ใช่ทางเลือกที่ใครต้องการเลย แม้แต่ญี่ปุ่นก็ตายคาบ้านไปหลายศพเช่นกันครับ 6. อังกฤษไม่มีตัวเลขอะไรที่ดีกว่าเราเลยนะครับ ยกเว้นอัตราการฉีดวัคซีน สิ่งที่ต้องทำอย่างตั้งใจทุกฝ่ายในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า 1. ช่วยกันรักษาปกป้องระบบสาธารณสุขของเรา นี่คือ 1st Priority ครับ กำลังใจของทีมงานสาธารณสุขสำคัญมาก ครั้งนี้พวกเขาหลายคนมีโอกาสติดเชื้อและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ มันเกิดขึ้นมาแล้วทั่วโลก อย่าโกหก Timeline อย่าปล่อยปละละเลยจนติดเชื้อมากเกินไปจนล้นร.พ. 2. ภาคเอกชนใหญ่ต้องช่วยกันสร้างรพ.สนามและ Hospitel อย่าให้ต้องรักษาตัวอยู่บ้านกัน เพราะเมื่อนั้นอัตราการตายจะพุ่งสูงทันที อย่าให้ได้มีใครต้องเสียชีวิตที่บ้านโดยไม่ทันถึงมือหมอเลยนะครับ 3. ต้อง Work from Home กันอย่างจริงจังมากๆ ใครทำได้ต้องทำ คนทำไม่ได้มีเยอะครับ เขาจะเสี่ยงน้อยลง ต้องช่วยกันรักษา Momentum ของเราไปอีก 1 - 2 เดือน ให้สำเร็จครับ 4. ป้องกันการติดเชื้อในภาคอุตสาหกรรมอย่างเต็มที่ครับ โดยเฉพาะชลบุรี ระยอง 5. อย่าให้เกิด Cluster ตลาดและแรงงานต่างด้าวขึ้นมาซ้ำเติม เพราะเราไม่มีทรัพยากรจะไปปิดกรณีแบบนั้นอีกแล้ว 6. โรงเรียนจะเปิดเทอม 18 พ.ค. ต้องช่วยกันทำให้สำเร็จให้ได้ เด็กรุ่นนี้เรียนออนไลน์กันมานานมากจนแย่แล้ว มันไม่ดีกับพวกเขาเลย อย่าให้อบายมุขและความละเลยเป็นสาเหตุทำให้เด็กต้องอดไปโรงเรียนอีกเลยนะครับ 7. ยึดกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ชลบุรี กลับคืนมาให้ได้ และต้องรักษาหัวเมืองใหญ่ โคราช ขอนแก่น อุบล อุดร นครศรี สุราษฎร์ สงขลา เอาไว้ให้สำเร็จครับ 8. ดีเดย์วันที่ 1 มิ.ย. วัคซีนต้องปูพรมครับ ไม่งั้นโดน Wave#4 แน่ ภาคเอกชนต้องช่วยกันเสริมทัพแล้วล่ะครับ ภาครัฐอย่างเดียวเอาไม่อยู่แน่ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับทุกคนจากนี้ไปอีก 1 เดือนคือการมีวินัยและดูแลตัวเอง อย่าป่วยไข้ อย่าขับรถเร็วประมาทจนเกิดอุบัติเหตุ ระบบสาธารณสุขของเราคือด่านหน้าที่ตอนนี้ข้าศึกบุกมาเต็มกำลังจนยากแก่การรับมือแล้ว ขอเพียงพวกเรามีวินัย ดูแลตัวเอง รักษาสุขภาพ มีน้ำใจแบ่งปันช่วยเหลือ อยู่บ้านให้มากๆเข้าไว้ เพียงเท่านี้ก็จะช่วยบุคลากรด่านหน้าและประเทศชาติได้มากแล้วครับ ช่วยกันครับ เรายังมีความหวังอยู่เสมอครับ
    ไม่ระบุชื่อ
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    เริ่มมีคุณหมอหลายท่านแสดงความเห็นว่า วัคซีนหลักปัจจุบันที่รัฐบาลจัดให้ประชาชนจะมีความปลอดภัยมากกว่าวัคซีนไฟเซอร์ และ โมเดอนน่า ในระยะยาว ลองอ่านบทความของคุณหมอท่านหนึ่งครับ พวกบินไปฉีด Pfizer หรือ Moderna หรือกำลังจะไป ต้องอ่าน mRNA สามารถสร้าง PROTEIN เพี้ยนที่คุมไม่ได้นะครับ คนไทยโชคดีได้ SINOVAC ปลอดภัย และ ASTRAZENECA ปลอดภัยมาก สำหรับคนมีอายุและโรคประจำตัว ********** ...ความน่ากลัวของวัคซีนที่ใช้ mRNA - Pfizer & Moderna...ตั้งใจอ่านนิดหนึ่งจะเข้าใจครับ... mRNA vaccine ฉบับอ่านง่าย (for dummies) ที่มาของบทความนี้ก็คือ พอเขียนเรื่องประวัติศาสตร์ได้แล้ว ก็เลยอยากรู้ว่าจะเขียนแนวอื่นได้ไหม เผอิญท่านรองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ Phichet Banyati เคยชวนว่าให้เขียนเรื่อง mRNA vaccine สิ เลยน่าจะลองดู จะเห็นว่าปัจจุบันวัคซีนโควิดมีการผลิตหลายรูปแบบมาก ไม่ว่าจะใช้เชื้อตาย (Sinovac), ชิ้นส่วนของไวรัส (Aztra) แต่อันที่เป็นที่ฮือฮามากที่สุดก็น่าจะเป็น mRNA เทคนิค แล้วจริงๆ มันคืออะไรเหรอ ?!?! นักเรียนสายวิทย์คงทราบมาตั้งแต่สมัยเรียนชีววิทยา ม.ปลายแล้ว (ถ้าจำได้) ว่าส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดของร่างกายก็คือโปรตีน ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนทางกายวิภาคหรือสรีรวิทยาของร่างกายก็ต้องมีโปรตีนเกี่ยวข้องด้วยทั้งสิ้น คราวนี้โปรตีนสร้างจากอะไร มันก็มีสูตรของมัน คือ "DNA สร้าง RNA สร้าง โปรตีน" (ดูภาพด้านล่าง ) อันนี้คือแบบแผนที่แน่นอน และไม่มีการเปลี่ยนแปลงชั่วนิรันดร์ สำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งหลายนะครับ สรุปก็คือโปรตีนที่เราต้องการจะถูกสร้างมาจาก RNA ต้นแบบ ซึ่งมี 3 ชนิด แต่ที่สำคัญมากก็คือ mRNA หลักการของ mRNA วัคซีนก็คือ ใส่ mRNA ที่สร้างโปรตีนของไวรัสโควิด (ซึ่งอันนี้เราสามารถรู้ได้อยู่แล้วจากการถอดรหัสพันธุกรรมของไวรัส เหมือนเราทำขนมแหละครับ mRNA คือสูตรขนม เราก็สร้างโปรตีนคือตัวขนมออกมาได้) เข้าไปในร่างกาย เมื่อเซลล์ของร่างกายรับ mRNA นี้เข้ามาก็จะสร้างโปรตีนที่รูปร่างหน้าตาเหมือนตัวไวรัสออกมา (คิดง่ายๆ mRNA คือสูตรขนม เซลล์ของร่างกายมีวัตถุดิบเช่นแป้ง น้ำตาล ฯลฯ อยู่แล้ว เมื่อเซลล์ของร่างกายมีสูตรขนมก็ใช้วัตถุดิบผลิตเป็นขนมขึ้นมา) แต่เท่านี้ยังไม่จบ เมื่อร่างกายสร้างไวรัสจำลองออกมาแล้ว ไวรัสจำลองเหล่านี้ก็จะไปกระตุ้นภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้สร้างสารทางภูมิคุ้มกันออกมา (ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติเพราะสิ่งเหล่านี้ไม่เคยมีอยู่ในร่างกายมาก่อน เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมพวกนี้เกิดขึ้นมาร่างกายก็ย่อมสร้างภูมิคุ้มกันมาต่อต้าน ซึ่งเป็นกลไกในการปกป้องร่างกายตามธรรมชาติ) และภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นนี้ก็จะปกป้องเราเมื่อมีการติดเชื้อโควิดไวรัสจริงเข้ามา (ก็แน่ล่ะ เพราะอาศัยสูตรขนมเดียวกัน คือลอก mRNA มานิ) ฟังดูตามหลักการแล้วก็น่าจะดีเนอะ แต่คราวนี้ปัญหามันอยู่ที่ว่า 1. ไม่เคยมีวัคซีนที่ผลิตโดยเทคนิคนี้ขึ้นมาก่อนในโลก ดังนั้นก็เหมือนขนมที่ไม่เคยมีใครผลิตมาก่อน ใช้วัตถุดิบแปลกใหม่ที่เพิ่งคิดค้นขึ้น เรากินแล้วจะมีปัญหาอะไรไหม ? 2. ปกติการสร้างโปรตีนของร่างกาย มันจะมีระบบควบคุมต่างๆเพื่อไม่ให้การสร้างโปรตีนผิดเพี้ยนไป (เหมือนคอยควบคุมไม่ให้ขนมผิดสูตร) แต่คราวนี้ mRNA ตัวนี้ไม่ใช่ของร่างกาย แต่เป็นของที่ฉีดเข้ามา (จาก Pfizer, Moderna คงคุ้นชื่อเนอะ) ระบบควบคุมคุณภาพเหล่านี้จะไปจับความผิดพลาดได้ไหม (เหมือนคุณมีโปรแกรมแอนตี้ไวรัสในคอม แต่ถ้าไวรัสแปลกๆเข้ามา มันอาจจะตามไม่ทันถ้าไม่อัพเดท หรือถ้าเปรียบเทียบกับทำขนม แทนที่จะหยิบน้ำตาลมาใส่ ดันไปหยิบเกลือโดยไม่รู้ตัวเพราะมันเป็นเกล็ดขาวๆ เหมือนกันก็จะได้ขนมรสชาติแปลกประหลาดออกมา) 3. มันมีโรคทางระบบประสาทหลายโรค ที่ปัจจุบันยอมรับแล้วว่าเกิดจากโปรตีนที่ผิดเพี้ยนในร่างกาย (เรียกว่า misfolded protein) เช่น อัลไซเมอร์, พาร์คินสัน, ALS (ใครดูหนังเรื่อง the theory of everything หรือรู้จักอัจฉริยะฟิสิกส์ Stephen Hawking ก็โรคนั้นแหละครับที่เขาเป็น) ดังนั้นถ้าจากเหตุผลในข้อ 2 แล้วมีโปรตีนผิดเพี้ยนต่างๆเกิดขึ้นมาในอนาคต เราจะเป็นโรคเหล่านี้ไหม ? ก็ไม่มีใครบอกได้ เหตุผลที่เอาเทคนิคนี้มาใช้ผลิตวัคซีนโควิดเพราะว่าวิธีนี้สามารถสร้างวัคซีนขึ้นมาในปริมาณมากโดยใช้เวลาไม่นาน เหมาะกับภาวะเร่งด่วนแบบที่เราเจอวิกฤตในปัจจุบัน แต่ด้วยเหตุผลทางด้านบนจึงมีนักวิทยาศาสตร์หลายคนตั้งข้อกังขาและไม่สบายใจเกี่ยวกับ mRNA วัคซีนที่ใช้กันเยอะในเมืองนอกตอนนี้ อย่างไรก็ตามมันเป็นแค่ทฤษฎีนะครับ คงต้องรอเก็บข้อมูลในอนาคตต่อไป เพิ่มเติม : ด้านล่างสำหรับเด็กสายวิทย์นะครับ ไม่ใช่สายวิทย์ผ่านไปได้เลย เพราะใช้ศัพท์ฟุ่มเฟือยเยอะ ประเด็นที่น่ากังวลของ mRNA vaccine คือ 1. ไม่เคยมี mRNA vaccine ใช้มาก่อนเลยในโลกนี้ 2. จะเอาวัคซีนเข้าร่างกาย RNA ต้อง stable มาก และต้องให้เซลล์มัน uptake เข้าไป และสร้างไวรัสจำลองขึ้นมา ร่างกายถึงสร้าง immunity จะคุม stability ยังไงให้มั่นใจ 3. วิธีการใส่ mRNA เข้าไปในร่างกาย ถ้าจะให้เข้าเซลล์ได้มีประสิทธิภาพจริงก็ไม่สามารถฉีดไปแบบฉีดยาธรรมดา มันต้องใช้ Gene gun หรือ electroporation ซึ่งเขาก็ปรับปรุงโดยใช้ nanoparticle มาหุ้ม แล้วทำให้เข้าเซลล์ง่ายขึ้นโดยใช้การฉีดแบบวัคซีนธรรมดาได้ แต่ยังไม่รู้ว่า nanoparticle เหล่านี้จะมีผลข้างเคียงใดๆในระยะสั้นหรือระยะยาว ไหม {ตอนนี้ Moderna vaccine เจอบวมแดงที่แขนมากหลังฉีดหลายราย เป็นพวก hypersensitivity type 4 (หรืออาจจะ type 3 ในบางคนแบบ Arthus reaction) อาจถึงขนาดเป็นตุ่มน้ำพอง ไม่ทราบว่าจะจาก nanoparticle พวกนี้ไหม } 4. มีโอกาสที่ mRNA มันจะสร้างโปรตีนอื่นที่ผิดเพี้ยนขึ้นมา ถ้าดันเป็น misfolded protein คนไข้มีสิทธิ์เป็น Alzheimer's หรือโรค neurodegenerative disease อื่นๆได้ แค่ฉีดให้มันเข้าไปในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วเซลล์รับมันเข้าไปข้างใน และสร้างโปรตีนไวรัสจำลองออกมานี้ก็ยากแล้ว และยังไม่รู้เลยว่าพอมันอยู่ในเซลล์แล้วจะพลาดไปสร้างโปรตีนอะไรประหลาดๆออกมาไหม มันเหมือนเรารับ foreign genetic material อันนึงเข้าไปในร่างกายและไม่รู้จะควบคุมได้แค่ไหน... Pfizer ดันไปทะลึ่งยุ่งกับตัดเปลี่ยน DNA จะเป็นซอมบี้เต็มไปหมด Cr: นพ.พิเชษฐ์ บัญญัติ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
    ไม่ระบุชื่อ
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    คลัสเตอร์ปาร์ตี้! บุคลากรแพทย์ติดโควิดนับสิบ แนะ 6 ข้อ ก่อนไปงานเลี้ยง
    คลัสเตอร์ปาร์ตี้! บุคลากรแพทย์ติดโควิดนับสิบ แนะ 6 ข้อ ก่อนไปงานเลี้ยง ข่าว 27 มิถุนายน 2565 เวลา 8:07 น. โดย รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย …สถานการณ์ระบาดของไทย จากข้อมูล Worldometer เช้านี้พบว่า จำนวนเสียชีวิตเมื่อวาน สูงเป็นอันดับ 8 ของโลก และอันดับ 2 ของเอเชีย แม้ สธ. ไทยจะปรับระบบรายงานตั้งแต่ 1 พ.ค.จนทำให้จำนวนที่รายงานนั้นลดลงไปมากก็ตาม แม้จะฉีดวัคซีนไปมากน้อยเพียงใด แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า จะมีโอกาสติดเชื้อได้ ป่วยได้ และเป็น Long COVID ได้ ความเสี่ยงในการติดเชื้อ แพร่เชื้อ จนป่วยต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล จะยิ่งมากเป็นเงาตามตัว หากประเทศนั้นๆ เปิดเสรีการใช้ชีวิต โดยคนในสังคมไม่ได้ระมัดระวังป้องกันตัวอย่างดีพอ เช่น ไม่ใส่หน้ากากระหว่างการใช้ชีวิตประจำวัน เฮฮาปาร์ตี้กันสุดเหวี่ยง ฯลฯ ก็จะพบว่าการระบาดในระลอกหลังก็จะทำให้ติดเชื้อ และป่วยมากขึ้นกว่าเดิมได้ แม้จะมีอัตราฉีดวัคซีนครอบคลุมสูงก็ตาม >> ขอนำสิ่งที่ตนเองปฏิบัติอยู่ในชีวิตประจำวันเวลาต้องไปงานที่มีคนจำนวนมาก มาแชร์ให้พิจารณาตามความเหมาะสม 1. ประเมินดูว่างานนี้จำเป็นต้องไปหรือไม่? 2. หากต้องไป หรืออยากไปมาก ก็วางแผนให้ดีว่าจะทำอะไรบ้าง โดยดูรายละเอียดของงานที่จะไป หากเป็นไปได้ก็เลือกงานที่มีคนน้อย และมีมาตรการรักษาความสะอาดและตรวจคัดกรองก่อนเข้าร่วมงาน 3. จัดเวลาเผื่อ โดยกินอาหารมื้อนั้นให้เรียบร้อยที่บ้าน หรือที่ร้านโปร่งโล่งใกล้สถานที่ที่จัดงาน เพื่อจะได้เลี่ยงการ (เปิดหน้ากาก) กินดื่มที่ไม่จำเป็นระหว่างเข้าร่วมงานที่มีคนจำนวนมาก 4. ในงาน พบปะผู้คน - พูดคุยทักทายได้ โดยใส่หน้ากากเสมอ! - พยายามเลี่ยงการสัมผัสตัวคนอื่น - หากสัมผัสกันจับมือกันกอดกัน ก็ใส่หน้ากากและล้างมือทุกครั้ง ! 5. หากเป็นงานสัมมนายาวนานเป็นวัน - ครอบคลุมการกินดื่มหลายมื้อ หากนำอาหารมาแยกกินได้ก็จะดี - แต่หากกินดื่มรวมกัน ก็กินดื่มโดยใช้เวลาสั้นๆ - ระหว่างกินดื่มจะไม่พูดคุย หากจะพูดคุยก็ ใส่หน้ากากก่อนเสมอ - ล้างมือด้วยเจล หรือสเปรย์แอลกอฮอล์.ทุกครั้งหลังจับอุปกรณ์หรือภาชนะต่างๆ ของสาธารณะ 6. หลังกลับจากงาน คอยสังเกตอาการของตนเองว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ และติดตามข่าวคราวจากกลุ่มผู้ไปร่วมงานด้วยว่ามีปัญหาการเจ็บป่วยไม่สบายหลังจากไปร่วมงานหรือไม่ จะได้จัดการได้ตั้งแต่เนิ่นๆ COVID-19 ไม่ใช่หวัดธรรมดา ไม่กระจอก ติดเชื้อไม่จบ แค่ชิลๆ แล้วหาย แต่..ป่วยได้ ตายได้ แม้จะฉีดวัคซีนแล้วก็ตาม ที่สำคัญคือ เรื่องภาวะผิดปกติระยะ..ยาว อย่าง Long COVID การป้องกันตัวไม่ให้ติดเชื้อย่อมดีที่สุด. ความใส่ใจด้านสุขภาพ การป้องกันตัวเอง จะเป็นตัวกำหนดความเสี่ยงของเราและคนใกล้ชิด เพื่อจะได้ปลอดภัยไปด้วยกัน . . ****ต้องเน้นย้ำว่าพฤติกรรมการป้องกันตัวนั้นจำเป็นอย่างยิ่ง สถานการณ์ระบาดช่วงนี้เพิ่มขึ้นมากหากสังเกตคนรอบตัวที่ติดเชื้อ โดยจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้รายงานเข้าสู่ระบบ . . “ การใส่หน้ากาก ” เสมอเวลาตะลอนนอกบ้าน เป็นหัวใจสำคัญที่จะลดความเสี่ยง ย้ำอีกครั้งว่าจำเป็นมาก
    Mrs.Doubt
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false