1 คนสงสัย
อดีตบิ๊ก ศรภ.ย้อนวันวานเล่าเรื่องการแต่งชุดนักเรียน!
21 มิ.ย.2566 - พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ครอบครัวพวกเราแต่งชุดนักเรียนไปเรียนกันมาตั้งแต่รุ่นปู่จนมาถึงรุ่นเหลนแล้ว ทุกคนก็มีความสุขกับเครื่องแบบนี้มากครับ เพื่อนๆก็รักกันมาจนทุกวันนี้ ทุกข์ด้วยกัน สุขด้วยกัน เดือดร้อนแทนกันได้ ก็เพราะมีความทรงจำดีๆ สนุกสนานในวัยเด็ก ซึ่งมี “เครื่องแบบนักเรียน” นี้เกี่ยวข้องอยู่ด้วยเป็นส่วนใหญ่
จนถึงปัจจุบันนี้ เครื่องแบบนักเรียน ยังเป็นสิ่งที่ระบุความเป็น “พวกเดียวกัน” เชื่อมโยงผูกพันพวกเราเข้าหากัน เป็นศิษย์ร่วมสถานศึกษาเดียวกันอย่างเต็มภาคภูมิ แม้บางครั้งจะทำนอกเหนือกฏระเบียบไปบ้าง เช่น การร่วมกันแอบครูสูบบุหรี่ รวมกลุ่มไปมีเรื่องกับนักเรียนโรงเรียนอื่น เพื่อแย่งตำแหน่งราชันย์ขาสั้น หรือการซ่อนสูตรคณิตศาสตร์เวลาเข้าสอบไว้ใต้ขากางเกง เวลาจะดูก็แค่พับขึ้นมา แล้วยังมีความถนัดในการเตะบอลพลาสติก ขณะเดียวกันก็สามารถเข้าเรียนได้ทันทุกที เป็นต้น
Panisara Rukngam
 •  1 ปีที่แล้ว
0 ความเห็น
ช่วยระบุหมวดหมู่ของข้อความนี้ให้หน่อย
เลือกให้น้อยที่สุด (ถ้าเป็นไปได้)

ยังไม่มีใครตอบ

เพิ่มความเห็นใหม่

กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 1 คนสงสัย
    รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร 10 พฤษภาคม 2566 คงไม่มีข้อสงสัยอีกแล้วว่า พรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่ว่ากำลังมาแรง กับกลุ่มคนหนุ่มสาวที่พยายามกัดเซาะสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เสื่อมลง มีความเชื่อมโยงกันอย่างเป็นเนื้อเดียวกัน และยังคงพยายามอย่างแข็งขันต่อเนื่องที่จะกัดเซาะต่อไปจนน่าแปลกใจ ไม่มีใครเลยในกลุ่มนี้ที่สำนึกว่าพระมหากษัตริย์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อบรรพบุรุษและครอบครัวตัวเอง ถึงตรงนี้อยากจะเล่าเรื่องที่ผมเคยเล่ามาครั้งหนึ่งแล้ว วันนี้จะขอนำกลับมาเล่าอีกครั้ง เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อผมยังเด็กๆ คุณยายผมซื้อบ้านพักตากอากาศที่หาดชะอำ ซึ่งเป็นบ้านที่สร้างในยุคเดียวกันกับ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ชื่อ "บ้านปลุกปรีดี" เมื่อครั้งกระโน้น ผมและพี่ๆในช่วงเวลาปิดภาคเรียน จะใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านหลังนี้โดยมีคุณยายเป็นผู้ดูแล หาอาหารการกินให้ทุกมื้อ พวกเราตื่นแต่เช้าก็ไปหาน้ำตาลสดกัน ไปรอซื้อจากใต้ต้นตาล น้ำตาลสดจะบรรจุอยู่ในกระบอกไม้ไผ่ เป็นน้ำตาลสดที่ยังไม่ผ่านความร้อน หวานหอมยิ่งนัก หลังอาหารเช้าก็ลงทะเล เล่นน้ำทะเล หาหอยเสียบ กลับเข้าบ้านทานอาหารกลางวัน บ่ายลงทะเล เย็นทานอาหารเย็น หลังอาหารเย็นลงทะเลไล่จับปูลม ชีวิตช่วงนั้น เป็นชีวิตที่สนุกและมีความสุขจนจำได้ไม่เคยลืมจนถึงทุกวันนี้ ที่บ้านชะอำแห่งนี้ คุณยายอนุญาตให้คนท้องถิ่นคนหนึ่งชื่อ นายอ๋วย มาปลูกกระต๊อบอยู่ฟรีๆทางด้านปลายสุดของที่ ดูเหมือนนายอ๋วยจะเป็นช่างที่มาช่วยซ่อมบ้านให้ นายอ๋วยมีลูกชายหลายคน ลูกของนายอ๋วยบางคนก็มีความสนิทสนมกับเรา หลังจากที่คุณยายจากไป คุนพ่อคุณแม่และพวกเราก็ยังมาพักตากอากาศที่บ้านหลังนี้เป็นประจำ หลังจากนายอ๋วยเสียชีวิต ลูกคนโต และคนกลาง ย้ายออกไปใช้ชีวิตอยู่ที่อื่น ลูกคนเล็กที่ยังคงอาศัยอยู่ในที่แปลงนี้ วันหนึ่ง ตัวเขาร่วมกับเพื่อนๆของเขากับทนายความคนหนึ่งถือโอกาสใช้ช่องกฎหมาย แอบไปยื่นศาลจังหวัดเพชรบุรี ขอครอบครองปรปักษ์ที่ดินครี่งหนึ่ง คือด้านหลังที่เขาปลูกกระต๊อบอยู่ ความจริงเราไม่น่าจะมีโอกาสที่จะรู้เรื่องนี้เลย แต่บังเอิญเพื่อนของเขาคนหนึ่งเกิดความขัดแย้งกับเขา จึงนำเรื่องนี้มาบอกเรา เราจึงไปยื่นฟ้องค้านได้ทันก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา ต่อสู้คดีกันกว่าจะชนะก็ใช้เวลาเป็นปี ซึ่งเหนื่อยและต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่น้อยกว่าเรื่องจะจบ สุดท้ายเรายังให้เงินผู้ที่พยายามยึดครองที่ของเราไปจำนวนไม่น้อยเป็นค่ารื้อถอน กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ก่อตั้งพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง พยายามจะเปลี่ยนประเทศ ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์ อ้างตลอดเวลาว่า ประเทศไทยเป็นของประชาชน หาใช่เป็นของพระมหากษัตริย์ไม่ คนกลุ่มนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับลูกชายคนเล็กของนายอ๋วยที่บ้านชะอำของครอบครัวผม ที่ได้อาศัยอยู่อย่างสุขสบาย สุดท้ายพยายามยึดเป็นที่ของตัวเอง ปฐมกษัตริย์ตั้งแต่สมัยสุโขทัย กรุงศรีอยุทธยา กรุงธนบุรี กรุงรัตนโกสินทร์ ล้วนเป็นพระมหากษัตริย์ที่นำทัพออกรบ รวบรวมดินแดนก่อตั้งประเทศ พระองค์ต่อๆมาก็มีทั้งต้องทำสงครามเพื่อป้องกันประเทศเมื่อถูกรุกราน เมื่อประเทศชาติต้องเสียเอกราชถูกยึดครอง ก็มีพระมหากษัตริย์ทรงทำสงครามเพื่อกู้ชาติจนได้รับเอกราชอีกครั้ง หากไม่มีพระมหากษัตริย์ เราอาจไม่มีประเทศอย่างทุกวันนี้ ในราชวงศ์จักรี หากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และกรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาท ทรงนำทัพรบกับทัพพ่ายแพ้พม่าในสงครามเก้าทัพ เราก็อาจไม่มีประเทศไทย อาจเป็นแบบเดียวกับมอญ กระเหรี่ยง หรือกระทั่งโรฮิงญา ด้วยเหตุนี้สำหรับประเทศเรา หากจะถือว่าพระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ทรงเป็นเจ้าของประะเทศ ก็เป็นการถูกต้องแล้ว เมื่อพระมหากษัตริย์ปกครองประเทศ มีคนต่างถิ่นอพยพมาพี่งพระบรมโภธิสมภาร ได้รับพระบรมราชานุญาตให้มีที่ดินทำกินจนมีเงินมีทอง พวกเขาเหล่านั้นก็ยังคงตระหนักว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเจ้าของประเทศ และยังสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ แต่ต่อมามีลูก ลูกๆก็ยังมีความสำนึกเช่นเดียวกับรุ่นพ่อ รุ่นแม่ และคงสืบทอดกันต่อๆมา แต่มาวันนี้ รุ่นหลาน รุ่นเหลน ของผู้ที่เคยขอเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารจำนวนหนึ่ง ละเลยเรื่องพระมหากรุณาธิคุณที่พระมหากษัติริย์มีให้รุ่นปู่ รุ่นทวด เสียสิ้น กลับตั้งหน้าตั้งตาหาเรื่องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ป้อนข้อมูลผ่านสื่อยุคใหม่ สร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เกิดขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้เติบโตมาในยุคของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 สนับสนุนให้เกิดขบวนการกล่าวหา หมิ่นแคลน ย่ำยี จาบจ้วงองค์พระมหากษัตริย์ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งเกิดแนวร่วมที่หลงเชื่อเป็นจำนวนไม่น้อย ทำเช่นนี้กันอย่างไม่กลัวบาปกลัวกรรม ลองคิดกันดูว่า องค์พระมหากษัตริย์จะทรงรู้สึกอย่างไร และพระเจ้าอยู้หัวรัชกาลที่ 9 หากยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่จะทรงรู้สึกอย่างไร จริงอยู่หากจะกล่าวว่า ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศก็คงไม่ผิด แต่การเป็นเจ้าของประเทศหมายถึงการมีสิทธิอาศัยอยู่ในประเทศ มีสิทธิเป็นเจ้าของที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ มีสิทธิทุกประการตามที่กฎหมายกำหนด หาได้มีสิทธิจะทำอะไรกับประเทศก็ได้เหมือนกับทำอะไรก็ได้กับที่ดินหรือบ้านที่ตัวเองเป็นเจ้าของไม่ ความเป็นเจ้าของประเทศต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและกฎเกณฑ์ต่างฯของบ้านเมือง ไม่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้ ยิ่งไม่อาจขายประเทศของตัวเองได้ คนกลุ่มนี้ได้ดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ จะถึงขั้นตอนสำคัญ เป็นขั้นตอนที่พวกเขาพยายามจะยึดการปกครองของประเทศผ่านการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย หากทำสำเร็จเขาก็คงจะดำเนินการในขั้นต่อๆไปจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายของเขา กรณีที่คนกลุ่มนี้พยายามที่จะยกเลิกมาตาม 112 เมื่อไม่สำเร็จ เปลี่ยนเป็นมาเป็นขอแก้ไข ลดโทษ ให้มีโทษปรับได ที่สำคัญคือ เอามาตรา 112 ออกจากหมวดความมั่นคง แสดงว่าพวกเขาเห็นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่มีความเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ และต้องการทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์อ่อนแอลง กรณีที่ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภาของไทย เชิญเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยมาชี้แจง เรื่องการที่มีคนไทยส่งหนังสือร้องเรียนไปยังวุฒิสภาว่า สถาบันพระมหากษัตริย์และทหารแทรกแซงการเลือกตั้ง และวุฒิสมาชิกสหรัฐกลุ่มหนึ่งขานรับ และกำลังจะเสนอวุฒิสภาให้มีมติ 114 กล่าวหาสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยว่าแทรกแซงการเลือกตั้ง ทั้ง 2 กรณีเป็นการบ่งชี้ว่า มีความเป็นไปได้มากที่กลุ่มการเมืองกลุ่มนี้มีการติดต่อกับต่างชาติ นี่อาจเป็นความจริงที่น่ากลัวที่สุด จากที่ได้ฟังพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ตอบคำถามของคุณ สันติสุข มะโรงศรี ทาง Top News ทำให้ทราบว่า ทั้งสองท่านตระหนักและเห็นว่าเรื่องข้างต้นเป็นเรื่องจริงและจะกระทบต่อความมั่นคงของชาติ อีกพรรคหนึ่งที่ตระหนักเรื่องนี้คือพรรคไทยภักดี พรรคอื่นๆหากไม่ได้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดเสียเองก็คงเห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหล จึงไม่มีพรรคใดให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้แม้แต่พรรคเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้ หากเรายังให้ความสำคัญต่อความเป็นชาติ ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ คงไม่ต้องบอกว่า เราควรเลือกเบอร์อะไร พรรคใด ให้เข้ามาบริหารประเทศ ขอย้ำอีกครั้ง พวกเขาทำกันเป็นขั้นเป็นตอน เป็นขบวนการ หากทุกท่านอยากทราบว่าขั้นตอนทั้งหมดมีขั้นตอนใดบ้าง กรุณาดูคลิปตอนที่ 2 ของพลเรือเอก ชาตร์ นาวาวิจิต อดีตเจ้ากรมยุทธการ และอดีตผู้บัญชาการสถาบันวิชาการทหารเรือชั้นสูง ที่วิเคราะห์ไว้ ตาม link ด้านล่างได้เลย https://www.youtube.com/watch?v=w2L99EeQjPI&feature=youtu.be
    ไม่ระบุชื่อ
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    จ่อเลิกขายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 95 และE85 ดัน E20 ขึ้นแท่นน้ำมันหลัก พร้อมอัพราคาพืชเอทานอล . รถยนต์ส่วนใหญ่บนท้องถนนในประเทศไทยนิยมใช้น้ำมัน แก๊สโซฮอล์ 91 กับ 95 ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 70% ของปริมาณการใช้น้ำมันทุกประเภทในยานพาหนะ แต่อีกไม่นานเราอาจไม่ได้เติมน้ำมันประเภทนี้อีกต่อไป รวมถึงน้ำมัน E85 ด้วย เพราะมีข่าวว่ากระทรวงพลังงาน โดยเจ้ากระทรวงที่ควบต่ำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีอย่างนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ เดินหน้าแผนพลังงานระยะยาวแน่! . สำหรับการยกเลิกน้ำมันทั้ง 3 ประเภทนั้น หากมองเหตุผลเบื้องต้นอย่างแรกคือ รถที่ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ลดลงปริมาณลงเรื่อยๆ ตามกาลเวลา รถใหม่ๆ จะใช้น้ำมัน E85 E20 หรือเติมน้ำมันได้หลากหลายประเภทอยู่แล้ว แต่เมื่อเจาะลึกลงไปดูต้นทางที่จะทำให้เกิดการยกเลิกนี้ ก็มาจากแผนบูรณาการพลังงานระยะยาว หรือ TIEB ฉบับใหม่ระหว่าง พ.ศ. 2561 - 2580 โดยมีองค์ประกอบหลักๆ 5 แผนด้วยกัน ได้แก่ - แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (Power Development Plan) - แผนอนุรักษ์พลังงาน (Energy Efficiency Plan) - แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (Alternative Energy Development Plan) - แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ (Gas Plan) - แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ถือว่าเป็นพลังงานชนิดที่มีสัดส่วนการใช้สูงมากๆ ในภาคการขนส่ง . เบื้องต้นรองนายกผู้เป็นเจ้ากระทรวงก็ได้เห็นชอบให้คงเป้าหมายของแผนบูรณาการข้างต้นต่อไป เนื่องจากจัดทำกันมาตั้งแต่ยุคของนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตเจ้ากระทรวง พร้อมสั่งให้มีการวัดผลสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงทุกๆ ปี ตลอดระยะเวลาแผนช่วง 5 ปีที่ต้องชัดเจน โดยเฉพาะแผนบริหารจัดการน้ำมัน ด้วยกำหนดให้น้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ B10 และ E20 กลายมาเป็นน้ำมันมาตรฐานของประเทศ และยกเลิกแก๊สโซฮอล์ 91 แก๊สโซฮอล์ 95 และ E85 แทน . เมื่อหาเหตุผลอื่นๆ ประกอบเพิ่มเติมในการยกเลิกการใช้น้ำมันเหล่านี้ มันมีปัจจัยหนึ่งมาจาการที่ภาครัฐต้องการเข้าไปช่วยเพิ่มราคาของวัตถุดิบที่เป็นผลิตผลทางการเกษตรก็คือ มันสำปะหลัง และอ้อย เนื่องจากปัจจุบันถูกนำมาใช้ผลิตเป็นเอทานอล ในสัดส่วนประมาณ 27% ของการผลิตเอทานอลทั้งหมด . โดยก่อนหน้านี้กระทรวงพลังงานก็เคยมีการประกาศให้น้ำมันดีเซล B10 หรือน้ำมันดีเซลที่ผสมน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ 10% ในทุกลิตรกลายเป็นน้ำมันดีเซลพื้นฐานของประเทศเมื่อ 1 มกราคม 2563 เพื่อสนับสนุนราคาผลผลิตปาล์ม โดยปั๊มน้ำมันทุกแห่งก็จะมีเวลาปรับตัวมา 4 - 5 เดือน ในการเปลี่ยนป้ายชื่อผลิตภัณฑ์ที่ตู้จ่ายน้ำมัน จาก “ดีเซลB10” เป็น “ดีเซล” ซึ่งน้ำมันดีเซลที่ขายกันทุกวันนี้ จะถูกเปลี่ยนชื่อเรียกว่า ดีเซล B7 ให้กลายเป็นน้ำมันทางเลือกสำหรับรถเก่าและรถยุโรป น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20 ก็ให้เป็นน้ำมันทางเลือกสำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่ ซึ่งจะเริ่มวันที่ 1 ตุลาคมนี้ . หากมีการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ น้ำมันไบโอดีเซล B10 จะช่วยดูดซับปริมาณน้ำมันปาล์มดิบหรือ CPO ได้ปีละ 2.2 ล้านตัน และน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ หรือ B100 ได้วันละ 6.5 ล้านลิตร . กลับมาที่การยกเลิกน้ำมันโซฮอล์ 91 กันต่อ อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า มันสร้างความสันสนงุนงงพอควรให้หมู่ประชาชนที่ต้องเจอกกับการเปลี่ยนแปลในช่วงแรกๆ แต่ไม่ใช่ประชาชนที่สับสนอย่างเดียว ทางผู้ประกอบการปั๊มน้ำมันก็สับสนพอควร และปั๊มน้ำมันในบ้านเราส่วนใหญ่มีหัวจ่ายไม่มากนัก การจะเก็บสำรองน้ำมันหลายๆ ชนิดไว้ก็ล้วนเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทั้งนั้น หากรวมน้ำมันเบนซิน กับดีเซลในบ้านเรารวมๆ กันมีถึง 11 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นสูตรพรีเมียม หรือสูตรธรรมดา ให้เป็นประเภทเดียวกันในหมวดหมู่เดียวกัน ก็จะเป็นการประหยัดต้นทุนของปั๊มน้ำมัน ฉะนั้นปั๊มน้ำมันขนาดกลาง และขนาดเล็กก็จะได้ให้บริการได้ลงตัวมากขึ้น . ถัดมาคือเรื่องของแก๊สโซฮอล์ E20 ที่ถูกมองเป็นพระรองมาตลอด แม้ว่าจะเป็นน้ำมันราคาถูกกว่า ประหยัดกว่า คุณภาพตามมาตรฐาน แต่คนเลือกเติมน้อยกว่าเนื่องจากมองว่าเวลาขับขี่แล้วรู้สึกเครื่องยนต์ไม่แรง การเผาไหม้สู้น้ำมันสูตรอื่นไม่ได้ จังหวะนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญในการเดินหน้าครั้งสำคัญของวงการพลังงานไทยอีกครั้ง เพื่อส่งเสริมให้ลดประเภทน้ำมันลง และใช้ E20 เป็นน้ำมันเบนซินพื้นฐาน ด้วยการตั้งเป้าปริมาณการใช้ E20 ไม่ต่ำกว่า 50% ของความความต้องการใช้น้ำมันเบนซินภายในปี 2564 และยกมาตรฐานน้ำมันของไทยเป็นมาตรฐานยุโรป ระดับ 5 ในปี 2567 . ส่วนมาตรฐานน้ำมันยูโร คืออะไร เป็นมาตรฐานการรับมือมลพิษทางอากาศ หรือ Euro Emissions Standards เพื่อควบคุมอัตราการปล่อยมลพิษของรถยนต์ หากย้อนไปดูการกำหนดใช้ครั้งแรกที่เริ่มกันมาตั้งแต่ปี 1992 โดยรายละเอียดทางเทคนิคเบื้องต้นนั้น ข้อกำหนดของมาตรฐานยูโร 1 จะมีการระบุว่ารถยนต์ต้องเปลี่ยนไปใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแบบไร้สารตะกั่ว และให้มีอุปกรณ์เครื่องฟอกไอเสียเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) จนพัฒนามาต่อเนื่องมาเป็น ยูโร 2 ในปี 1996, ยูโร 3 ในปี 2000 ยูโร 4 ที่บ้านเราใช้กันอยู่คือการกำหนดให้รถยนต์ที่ผ่านการทดสอบจะต้องมีปริมาณการปล่อยสารมลพิษไอเสียต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ประกอบไปด้วย คาร์บอนมอนออกไซด์ต้องไม่เกิน 0.5 g/km. ไนโตรออกไซด์ต้องไม่เกิน 0.25 g/km ขณะที่ยูโร 5 จะเพิ่มความเข้มงวดขึ้นไปอีกขั้น โดยต้องลดลง 28% จากยูโร 4 . ขณะที่คุณนันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานบอกไว้ว่า หากรัฐมนตรีเห็นชอบน่าจะใช้เวลาประมาณ 9 เดือนหลังจากแผนอนุมัติ โดยแบ่งเป็นช่วง 3 เดือนแรก จะทำการสนับสนุนให้ประชาชนมาเติมน้ำมัน E20 เพิ่มขึ้น ทั้งการใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาสนับสนุนด้านราคา ต่อจากนั้นช่วง 3 - 6 เดือน ก็ทำการกำหนดให้โรงกลั่นน้ำมันหยุดทำการผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 พร้อมใช้กลไกราคาให้โซฮอล์ 91 กับโซฮอล์ 95 มีราคาเท่ากัน ลดส่วนต่าง E20 ให้ถูกกว่า 95 และเมื่อครบแผนการ 9 เดือน ก็เชื่อว่าจะสามารถดันให้ E20 เป็นน้ำมันพื้นฐานได้เต็มรูปแบบ . แล้วรถยนต์รุ่นเก่าจะทำอย่างไร?...ทางแรกอาจจะเปลี่ยนไปใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ก่อน เพราะยังไม่ยกเลิก ซึ่งมีราคาสูงกว่า 91 ไม่มากนัก หากรวมๆ กับประสิทธิภาพการเผาไหม้ที่ดีขึ้นก็ถือว่ารับได้อยู่ อีกทางที่สายประหยัดสามารถเลือกได้นั่นคือ การนำรูปไปติดกล่องจูนเครื่องยนต์ให้รองรับน้ำมัน แก๊สโซฮอล์ E20 หรือ E85 แต่ต้องยอมรับว่าการจะไปติดกล่องอะไรก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นกับเครื่องยนต์ ส่งผลต่อการเสื่อมสภาพของท่อน้ำมันเร็วขึ้น ยิ่งหากถึงคราวซวยเจอช่างหรืออู่รถติดตั้งที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็ย่อมมาพร้อมค่าใช้จ่ายที่งอกมาอีกด้วย . หากทางเลือกแรกไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งการจูนกล่องเครื่องยนต์ให้รองรับ หรือเปลี่ยนน้ำมัน ยังไม่โดนใจคุณ ทางเลือกอื่นก็ยังมีให้ แต่ทางนี้ต้องเป็นคนที่ทำใจได้ตอนขายรถ เนื่องจากให้นำรถไปติดแก๊ส เพราะแก๊ส LPG NGV ใดๆ ก็ตามจะทำให้รถยนต์สุดรักของคุณราคาตกลงไปด้วย ประกอบกับความเสี่ยงจากความร้อนในการเผาไหม้ระบบแก๊ส สูงกว่าน้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้เครื่องยนต์สึกหรอเร็วขึ้นกว่าเดิม รถยนต์เสื่อมสภาพไวกว่าปกติ และเครื่องยนต์ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ออกแบบมาให้ทนความร้อนสูงมากนัก รวมถึงโอกาสเวลาเกิดอุบัติเหตุมักจะรุนแรงกว่า แม้อุบัติเหตุบนถนนไม่มีใครอยากให้เกิด แต่ยิ่งเกิดขึ้นกับรถติดแก๊สนั้นจะยิ่งอันตราย เพราะแก๊สรั่วแล้วติดไฟได้ง่าย ด้วยคุณสมบัติการเป็นเชื้อเพลงชั้นดี ฉะนั้นต้องมองให้หลายมิติ . ยังไม่หมดเท่านี้ เพราะทางเลือกอื่นๆ ก็ยังมี ไม่ว่าจะเป็นการยกเครื่องยนต์ใหม่ ใส่เครื่องยนต์ตัวใหม่เลย ไปจนถึงหาเครื่องยนต์เก่าตามเซียงกงมาให้อู่รถจัดการให้ แต่ต้องมีความเชี่ยวชาญเสียหน่อย และทางเลือกสุดท้ายสำหรับผู้ที่มีกำลังทรัพย์อาจเลือกการเปลี่ยนรถยนต์คันใหม่ ที่ตอบโจทย์มากกว่า อย่างไรก็ตามต้องคำนวนค่าใช้จ่ายที่ตามมาด้วย ดีไม่ดีอาจจะเข้าสุภาษิตที่ว่า เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่ายเอาได้ . ทั้งนี้ การจะเคาะเริ่มการยกเลิกเมื่อไหร่นั้น ยังต้องดูความชัดเจนจากเจ้ากระทรวงพลังงานอีกครั้งหนึ่ง ว่าจะประกาศชัดๆเมื่อใด . #น้ำมัน #แก๊สโซฮอล์ #91 #E20 #พลังงาน
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    เขียนได้โดนมากๆ ขอแชร์ให้คนไทยทุกคนได้อ่าน “ชีวิตจะดีหรือเลว อยู่ที่ตัวคุณเอง ไม่ใช่รัฐบาล” ไม่ทราบชื่อผู้เขียน…แต่เขียนสะท้อนความจริงได้ดีมาก วันนี้ ผมอยากให้คุณเปิดใจเป็นกลาง มองโลกแห่งความเป็นจริง แล้วอ่านสิ่งที่ผมเขียน... ประชาชน เรียกร้องหา การพัฒนาที่ดี เศรษฐกิจที่ดี ชีวิตที่ดี สวัสดิการที่ดี สิ่งแวดล้อมที่ดี ขอให้ทุกคนรวยขึ้น มีความสุขมากขึ้น มีคนจนหมดไป แต่ตัวเองกลับทำตัวตรงข้าม คือ ไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น อยากให้ประเทศพัฒนา แต่ไม่เคยพัฒนาคุณภาพตัวเอง นายกคนไหน ก็แก้ปัญหาไม่ได้ ถ้าคนในประเทศยังขี้เกียจ ขาดจิตสำนึก ขาดคุณธรรม ขาดสติ ไร้ปัญญา ไร้การศึกษา หรือมีการศึกษาสูง แต่จิตสำนึกต่ำ คุณธรรมต่ำ คิดแต่จะด่าว่า โทษแต่คนอื่น ไม่เคยโทษตัวเอง หรือนอนรอแต่ความหวัง ลมๆแล้งๆ หวังคนอื่นมาช่วย แต่ไม่เคยช่วยตัวเองอย่างจริงจัง ประเทศนี้ มีปัญหามาตั้งแต่ รากเหง้าของประเทศ เป็นศูนย์รวม ของคนจำ นวนไม่น้อย ที่จอม 'ขี้เกียจ' 'มักง่าย' และ 'รอคอยความหวัง' เห็นแก่ตัว เก่งแต่พูดเก่งแต่โพสต์ พอลงมือทำจริงๆ ก็ทำไม่ได้ อย่างที่คุยโม้โอ้อวด จริงไหม? ต่อให้นายกรัฐมนตรี เก่งกาจแค่ไหน แก้ปัญหาชาติได้ดีเพียงไร หรือ มีทีมงานไม่โกงกิน แต่บางที ปัญหามาจากรากเหง้าของประเทศ ที่จริงๆแล้ว แก้เท่าไหร่ ก็ไม่สำเร็จหรอก เพราะอาจจะต้องแก้ที่ "คนในชาติก่อน" “จิตสำนึกที่ดี นั้น มีกันบ้างมั้ย” - ด้านสถาบันครอบครัว เพราะความเคยชินของคนไทย ปลูกฝังสั่งสอน ความมักง่าย ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม เลี้ยงเด็กตามมีตามเกิด บางคน แม้รวย ก็เลี้ยงดูลูกแบบตามใจ จนมากเกินไป เหมือนนิทานเรื่อง พ่อแม่รังแกฉัน เลี้ยงผิดๆ ถูกๆ บางบ้าน พูดจาหยาบคาย มึงกูกับลูกตั้งแต่เด็กๆ ปัญหาไม่พร้อมที่จะมีลูกก่อนวัยอันควร สอนกันมาแบบผิดๆ สมองเด็ก ก็ฝังลึกกันแบบผิดๆ​ ที่น่ากลัวคือ พ่อแม่คนเหล่านั้น สอนลูกไม่ เป็น ไม่รู้จักผิด/ชอบ/ชั่ว/ดี แม้บางคน พ่อแม่ เป็นถึง ศ.บ้าง รศ.บ้าง บางคนพ่วง ดร. อีกด้วย แต่มีลูกสาว ขนาดเป็นนิสิตจุฬาฯ ในปี 2563 กล้าที่จะแก้ผ้าให้ผู้ชายถ่ายรูปที่เสาชิงช้า อนาคตของชาติ จึงดูไร้คุณภาพ หรือที่เราเรียกว่า อนาคตของสังคมไทย มีแต่ “ขยะสังคม” รัฐบาล ไม่ได้มีหน้าที่ อยู่บ้านเดียวกับคุณ และคอยอบรมสั่งสอน จนลูกคุณโต หรือ จนมีหน้าที่การงาน - ด้านความยากจน หนักไม่เอา เบาไม่สู้ หมิ่นเงินน้อย คอยวาสนา บ้าเรื่องดวง ผัวทิ้งทำเสน่ห์คุณไสย งานไกลขี้เกียจไป อ้างว่าไม่มีรถขับ งานใกล้ เงินน้อยขี้เกียจทำ กู้เงินมาขายอาหาร ขายไม่เป็น ทำไม่สะอาด ทำไม่อร่อย ปากไม่ดี พอเจ๊ง ก็โทษรัฐบาล โทษเศรษฐกิจ โทษอากาศมันร้อน ฝนมันตก โทษคนไม่เดิน แต่ไม่เคยโทษตัวเอง เพราะไม่เคยมองเห็นตัวเอง ที่เป็นต้นเหตุปัญหาทั้งปวง คนจน ที่ขยันก็มีเยอะ แต่ต้องฉลาด มีสมองพัฒนา ใฝ่สูงใฝ่ก้าวไปข้างหน้า เป็นคนจนไม่ผิด แต่จนแล้วโง่ แถมขี้เกียจ เเบบนี้ผิด บางคนที่จน ไม่มีเงินจะเรียน ก็เรียนจบได้ด็อคเตอร์ ก็มีไม่น้อย มิใช่ เอาแต่มานั่งบ่น สิ่งนั้นไม่ดี สิ่งนี้ไม่ดี แต่ไม่เคยโทษตัวเอง ใครจะมาช่วยได้ล่ะ แล้วทำไมคนจน ที่เค้ามีฐานะดีขึ้น ทำงานด้วยสมอง และ มีสองมือเหมือนกัน ก็มีเยอะมากมายที่เขาได้ดี มีความเจริญก้าวหน้า เพราะเค้าไม่มีข้ออ้างแบบคุณนั่นเอง - ด้านการศึกษา ไม่รู้เค้าเลี้ยงลูกกันยังไง เด็กบางคนถึงไม่สนใจการเรียน ไม่ชอบมีการ บ้าน ไม่ชอบการสอบเก็บคะแนน อ้างว่าเป็นต้นเหตุให้เกิดความเครียด ไม่ต้องการใส่เครื่องแบบ ไม่ต้องการไว้ผมทรงนักเรียน ไม่เห็นคุณค่าการศึกษา เพราะมีพ่อแม่ไร้คุณภาพ เด็กหลายคนจึงไร้การศึกษาที่ดีและสูง แทนที่จะสอนลูกว่า เรามันจนนะลูก ต้องตั้งใจเรียน​ จะได้​ทุนเรียนปริญญา เอาจริงๆนะ ถ้าลูกรักเรียนต่อ ให้พ่อแม่จนแค่ไหน ก็หาเงินมาให้ลูกเรียนจนจบปริญญาได้ เด็กหลายคนเกเร ไม่สนใจการเรียน พ่อแม่ก็ตัดหางปล่อยวัด ไม่รู้จะทำอะไร ก็กลายเป็นเด็กเกเร เด็กแว๊นซ์ ลักขโมย ดื่มเหล้า ข่มขืน ติดยา ขายตัว สร้างความเดือดร้อน พ่อแม่มันยังไร้คุณภาพ จะเอาปัญญาที่ไหนไปสอนลูก บางครอบครัว พ่อแม่ มีคุณภาพดี แต่ไม่เคยสอนเรื่องคุณ ธรรมและจริยะธรรมที่ดีให้แก่ลูก พอเกิดเรื่องก็บอก “ลูกฉันเป็นคนดี” กันทั้งนั้น ก็เพราะคิดแบบนี้ ลูกมันถึงเป็นแบบนี้ ผิด/ชอบ/ชั่ว/ดี คนเป็นพ่อแม่ ยังแยกแยะไม่ออก - ด้านสิ่งแวดล้อม ถามซิ เลิกเผาป่า เลิกเผาขยะกันหรือยัง​ ข่าวออกมาโครมๆ แต่จิตสำนึกไม่ มีเลย อ้างว่าต้องทำมาหากิน ก็ทำแบบนี้ทุกปี จริงๆแล้วการเผาป่ามันถูกต้องหรือไม่ มันก่อให้เกิดฝุ่นพิษ ควันพิษ เป็นการทำร้ายสุขภาพ หรือเราปล่อยให้ทำๆกันมาจนชิน ไม่รู้สึกอะไร พอรัฐหรือหน่วยงาน เข้ามาห้ามก็ด่า...นี่คือสันดานคนเหล่านั้น คือความเห็นแก่ตัว ที่ไร้ความรับผิดชอบต่อสังคม​ เสียหายปีละเท่าไหร่​...กินตรงไหนทิ้งตรงนั้น คนที่อาศัยตามริมคลอง ก็ทิ้งลงคลองง่ายดี พอน้ำเน่าเหม็น ก็บ่น แล้วมาบอกว่า มันเป็นหน้าที่ของคนเก็บขยะ มีหน้าที่เก็บก็เก็บไป​ คุณจะให้บ้านเมืองมันเจริญได้ไง! ในเมื่อจิตใจคุณยังต่ำตมอยู่เลย -โกง/คอรัปชั่น​ เจอกันเยอะมั้ย​ ไม่ว่าจะคนรวย คนจน คนในระดับไหน การศึกษาสูง ต่ำ ไม่แตกต่างกัน ​ เป็นเรื่องนิสัย​/สันดาน พอมีโอกาส​ ก็โกงกันทั้งนั้น จิตสำนึกความซื่อสัตย์ไม่มี คนรวยโกงคนจน นักการเมืองโกงชาติ จิตใจทำด้วยอะไร ความเห็นแก่ตัวไง เงินคือพระ เจ้าสำหรับพวกมัน และค่านิยมคนไทย “มีเงินเรียกน้อง มีทองเรียกพี่” เป็นพวก ไอ้/อี ที่บ้าเงิน - ด้านการจราจร มีกี่คนที่ทำตามกฎจราจร 100% บ้าง ทางม้าลายรถต้องหยุดให้คนข้าม พวกคุณทราบกันหรือเปล่า ใช้ถนน ผิดกฎหมาย แล้วคิดว่าตัวเองถูก ดูอย่างข่าวป้าทุบรถ และข่าวจอดรถขวางหน้าบ้าน ทางเข้าออกคนอื่น โดยไร้จิตสำนึกว่า คนในบ้านเขาขับรถเข้า/ออกไม่ได้ มีบ่อย มีหลายๆคดี เรียกตัวเองว่า ชาวพุทธ แต่ไร้ ศีลธรรม การยับยั้งอารมณ์ ใครมีปืนมีมีด ก็ยิงก็ฟันเลย เถื่อนมาก แม้แต่ในโรงพยาบาล ก็ยังบุกไปทำร้ายร่างกายกัน และ พาลไปทำร้ายหมอและพยาบาลอีก แบบนี้ก็มีอยู่ในสังคมไทย แกล้งขับรถขวางทาง ไม่ให้รถ Ambulance ผ่าน ก็มีข่าวมาแล้ว ขับช้า เสือกขับแช่ยาว ในเลนขวาสุด ก็มีให้เห็นบ่อยๆในเวลาไปต่างจังหวัด อยากจอดข้างทางก็จอด เพื่อกินข้าว ที่ร้านอร่อยของตน บนถนนรถติด ขายของริมฟุตบาท ล้นออกมาบนพื้นที่ถนนรถวิ่ง รถยนต์/รถมอเตอร์ ไซค์ก็จอดซื้อกันตรงนั้น ทำให้รถติดในซอย ในเมื่อพฤติกรรมคนไทยจำนวนไม่น้อย มันเป็นแบบเนี้ย รัฐบาลจะไปช่วยอะไรได้ หวังแต่จะให้รัฐแก้ปัญหา และพัฒนาชาติ ตัวคุณเองยังแก้ปัญ หาตัวเองไม่ได้ และพัฒนาสมอง คุณภาพตัวเองไม่ได้เลย ถามตัวเองก่อน ด่ารัฐบาล "ทำหน้าที่ตัวเอง" ในฐานะพลเมืองของชาติ ดีที่สุดรึยัง พูดให้คิด มองความจริงให้ออก อย่าหลอก อย่าหลงตัวเอง เจ็บแต่จริง​ หันมามองตัวเองกันหน่อย​ ค่อยๆแก้​ ต่อให้รัฐบาล​/ผู้นำคนไหนๆ​ แปลงร่างมาจากเทวดาชั้นฟ้า​ ปัญหา​เมืองไทย ก็ไม่มีวันหมด แก้รัฐธรรม นูญ ก็เพื่อประโยชน์ของนักการเมือง เป็นสำคัญ ไม่เกิดประโยชน์ต่อประชา ชนอย่างแท้จริง แก้แล้ว ก็เพื่อให้นัก การเมืองกลุ่มใหม่ เข้ามาแสวงหาอำนาจ และ ผลประโยชน์ในกลุ่มพรรคพวกเพื่อนพ้องเท่านั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องนมนานมา แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น มาให้เห็นตลอดเวลา​ที่ผ่านมา นักการเมืองโกงแล้ว หนีคดีไปต่างประเทศ ส่วนลูกน้อง ที่เคยเป็นคนดี แต่ยอมทำตาม ด้วยเกรงบารมี ก็ต้องติดคุกหัวโตไป เรายังอยากให้คนกลุ่มนี้ มาหาวิธีโกงชาติ โกงแผ่นดินกันอีกหรือ รักชาติ รักแผ่นดิน​ ให้จริงๆกันบ้างเถิด อย่าอ้างความรักชาติ จนน้ำลายไหล เพราะอดอยากปากแห้งมานาน หันกลับมามองตน แล้วเปลี่ยนแปลงตัวเองและ คนใกล้ตัวกันหน่อย สงสารนักรบชุดขาว และ อสม. ที่เขาเสียสละ และเสี่ยงกับโรค​ COVID-19 ที่ มากกว่าเรา อย่าได้เพิ่มปัญหาให้สังคมและประเทศของเราให้มากกว่า ที่มีอยู่ และเป็นอยู่เลย ในปัจจุบัน ทุกประเทศก็มีปัญหาเศรษฐกิจ ประชา ชนทุกประเทศก็ย่ำแย่เดือดร้อนกันทั้งนั้น มิใช่คนไทยเท่านั้นที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ. ขอบคุณผู้เขียน และ ขอบคุณทุกคนที่แชร์กันต่อไปและแชร์ให้มากก่อนถึงวันเลือกตั้ง.
    ไม่ระบุชื่อ
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ปั้มหัวใจกู้ชีพ (CPR) กับตัวเอง โปรดสละเวลา 2 นาทีอ่านข้อมูลนี้:
    ปั้มหัวใจกู้ชีพ (CPR) กับตัวเอง โปรดสละเวลา 2 นาทีอ่านข้อมูลนี้: 1. สมมุติว่าเป็นเวลา 19.25 น. คุณกำลังกลับบ้านตามลำพังคนเดียวหลังจากทำงานหนักเป็นพิเศษมาแล้วทั้งวัน 2. คุณอ่อนล้า อารมณ์ก็ไม่ดี 3. คุณรู้สึกปวดอย่างรุนแรงขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน เริ่มที่น่าอก ลามลงไปที่แขน แล้วย้อนกลับขึ้นไปที่ขากรรไกร คุณอยู่ห่างจากโรงพยาบาลใกล้บ้านที่สุดประมาณ 5 ก.ม. 4. โชคร้ายที่คุณไม่รู้ว่าจะไปถึงหรือไม่ 5. คุณผ่านการฝึกให้เป็นนักปั้มหัวใจกู้ชีพ (CPR) แต่ครูไม่ได้สอนวิธีทำกับตัวเอง 6. คุณจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรถ้าอยู่คนเดียว เนื่องจากมีคนจำนวนมากที่เผชิญภาวะหัวใจล้มเหลวขณะที่อยู่ตามลำพังโดยไม่มีคนช่วย คนที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะและเริ่มรู้สึกจะเป็นลมมีเวลาเพียง 10 วินาทีเท่านั้นก่อนที่จะหมดสติ 7. อย่างไรก็ตาม ผู้ตกเป็นเหยื่ออาการดังกล่าวสามารถช่วยตัวเองได้โดยไอแรง ๆ และถี่ ๆ ก่อนไอให้หายใจเข้ายาว ๆ ลึก ๆ แบบเดียวกับเวลาจะขากเสมหะหรือเสลด การหายใจเข้าแรง ๆ สลับขากเสมหะต้องทำอย่างต่อเนื่องทุกสองวินาทีจนกว่าจะมีคนมาช่วยหรือเมื่อรู้สึกว่าหัวใจเต้นเป็นปกติ 8. การหายใจเข้าแรงและลึกทำให้อ๊อกซิเจนเข้าไปในปอด อาการไอบีบหัวใจและช่วยกระตุ้นระบบหมุนเวียนของโลหิต การนวดห้วใจช่วยให้จังหวะเต้นของหัวใจเป็นปกติเพื่อผู้ป่วยจะได้ไปถึงโรงพยาบาลทันท่วงที 9. โปรดบอกต่อให้ทราบทั่วกัน คุณอาจช่วยชีวิตพวกเขาได้ 10. แพทย์โรคหัวใจบอกว่า ใครก็ตามที่ได้รับข้อความนี้ โปรดส่งต่อให้เพื่อน 10 คน รับรองได้ว่าคุณจะช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้อย่างน้อย 1 ชีวิต 11. แทนที่จะส่งเรื่องขำขัน... โปรดส่งข้อมูลนี้ ซึ่งสามารถช่วยชีวิตคนได้ 12. ถ้าข้อมูลนี้มาถึงคุณมากกว่า 1 ครั้ง โปรดอย่าเสียอารมณ์... คุณควรมีความสุข ที่คุณมีเพื่อนผู้หวังดีที่คอยพร่ำเตือนคุณว่าต้องทำอย่างไรถ้าหัวใจเกิดล้มเหลว เพื่อน ๆ ช่วยกันหน่อยรู้แล้วก็ช่วยแชร์ต่อ เราสามารถช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้เป็นกุศล !!!
    Mrs.Doubt
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    "เหลียวพม่า มองไทย" ย้อนศึกษาประวัติศาสตร์ ช่วยบอกปัจจุบันและอนาคต ตั้งแต่สมัยโบราณ ชาวตะวันตกรู้จักและมีความสนใจแค่ 2 มหาอำนาจในดินแดนตะวันออกไกล ซึ่งก็คืออินเดียและจีน เท่านั้น จุดเริ่มต้นจริงๆ ที่ทำให้ประเทศในดินแดนในแหลมอินโดจีนโดนคุกคาม นั้นมาจากพม่าที่เริ่มต้นไปกระตุกหนวดเสือ เพราะพม่าคิดว่าตัวเองเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ที่มีอิทธิพลอยู่ในแถบนี้ จึงส่งกองทัพไปบุกโจมตีเพื่อจะขยายอำนาจเข้าไปในเบงกอล ซึ่งเป็นที่ตั้งของรัฐอิสระในเขตอิทธิพลของอังกฤษในอินเดีย แต่สงครามจบลงด้วยการพ่ายแพ้อย่างยับเยินของพม่า และที่สำคัญคือการทำให้อังกฤษสนใจจะขยายอำนาจจากอินเดียที่ตนครอบครองอยู่แล้ว เข้ามาสู่พม่าและดินแดนถัดไปในแหลมอินโดจีน ที่มีไทยอยู่ในจุดศูนย์กลาง ก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ พม่าคือชาติมหาอำนาจในดินแดนแถบนี้ แล้วเวลาผ่านไปพม่าก็เริ่มเสื่อมลง แต่พม่ายังคงเข้าใจว่าตัวเองยิ่งใหญ่ เมื่ออังกฤษมีอำนาจเหนืออินเดีย พม่าจึงลองของ หวังจะแสดงฤทธานุภาพ เช่นเดียวกับจีน ที่ ณ เวลานั้นความยิ่งใหญ่จากยุคที่เคยเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกในอดีต ทำให้จีนยังคงลำพอง ทั้งๆ ที่ไม่เคยพัฒนาอะไรใหม่ขึ้นมาเลย ผิดกับชาติตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษที่ปฏิวัติอุตสาหกรรมสำเร็จ จนเป็นผู้นำแห่งเทคโนโลยี เมื่ออังกฤษมาถึง ทั้งจีนและพม่าจึงพ่ายแพ้อย่างยับเยิน เพราะประเมินตัวเองสูง แต่ประเมินอังกฤษไว้ต่ำ ในขณะที่ไทยเรา หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตก แล้วสมเด็จพระเจ้าตากสินมากู้แผ่นดิน ตามต่อมาด้วยพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ที่ตั้งใจทะนุบำรุงบ้านเมือง จากรัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 5 ที่เป็นช่วงเวลาที่ฝรั่งเริ่มขยายอำนาจมาถึง ไทยก็เป็นประเทศที่ก้าวหน้าที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชียไปแล้ว ในหลวงรัชกาลที่ 4 บวชเรียนอยู่หลายสิบปี ศึกษาศิลปวิทยาทั้งไทยและเทศ จนเป็นปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ มีวิสัยทัศน์กว้างไกล เมื่อขึ้นครองราชสมบัติก็จ้างฝรั่งมาทำงาน รวมทั้งจ้างฝรั่งมาสอนภาษาและศิลปวิทยาการสมัยให้กับพระราชโอรสและพระราชธิดา ข้าราชบริพาร เมื่อในหลวงรัชกาลที่ 5 ครองราชย์ และมีอำนาจเต็มเมื่อพระชนมพรรษา 20 ก็ทรงรอบรู้ศิลปวิทยาการสมัยใหม่เรียบร้อยแล้ว จนมีหลักฐานบันทึกไว้ว่า ทรงได้รับการยกย่องจากชาติตะวันตก ว่าพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่สมาร์ทที่สุดในเอเชีย สมาร์ทในที่นี้หมายถึง ความรู้ความสามารถและวิสัยทัศน์ รวมทั้งหมายถึงการแต่งกายและการเข้าสังคมแบบชาวตะวันตก ทรงไม่ได้รับมือ มหาอำนาจของโลกด้วยการทหาร อย่างจีนและพม่า แต่ทรงใช้วิธีพัฒนาประเทศและบุคลากรให้ทันสมัยเทียมหน้าฝรั่ง รวมทั้งทรงใช้ทูตเป็นเครื่องมือในการต่อกรกับมหาอำนาจฝรั่ง ความสามารถทางการทูตของพระองค์เป็นที่ประจักษ์ชัด ทั้งการเดินทางไปเจรจาทางการทูตด้วยพระองค์เอง และทั้งส่งพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการเป็นตัวแทนพระองค์ วันที่พม่าเสียเมือง คณะราชทูตไทย และคณะราชทูตพม่าอยู่ที่อังกฤษเรียบร้อยแล้ว แต่พม่าเดินเกมส์การเมืองผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น ยากจะเยียวยา วันนั้น คณะราชทูตพม่า ประเทศที่เคยเป็นศัตรูสู้รบกันมาหลายร้อยปี ยังไม่ทันมีโอกาสจะเข้าเจรจาการทูต เพราะพม่าเสียเมืองให้อังกฤษไปเสียก่อนแล้ว จึงมาขอเข้าพบเพื่อปรับทุกข์กับคณะราชทูตของไทย คณะราชทูตพม่าต้องมานั่งร้องไห้เสียใจกับคณะราชทูตของไทย กับการเสียเมืองในคราวนั้น ในอดีต พม่าประกอบด้วยชนชาติต่าง ๆ กว่า 135 ชนชาติ จนกระทั่งตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ และได้แบ่งการปกครองในพม่าออกเป็น 2 ส่วน คือ เขตพม่าแท้และเขตภูเขา โดยเขตพม่าแท้อยู่ทางตอนกลางของประเทศ เขตภูเขามี 7 รัฐ คือ ฉาน กะเหรี่ยง มอญ กะยา กะฉิ่น ชิน ยะไข่ โดยเฉพาะ “รัฐฉาน” มี 34 เมืองแต่ละเมืองมีเจ้าฟ้าปกครองดูแล รัฐฉาน หรือเมืองไต เป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุด มีพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของประเทศพม่า ภูมิประเทศเป็นผืนป่าและภูเขาสูง เป็นรัฐที่ร่ำรวยไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ตั้งแต่ในอดีตเรื่อยมาจนถึงปี 2502 รัฐฉานได้ปกครองด้วยระบบเจ้าฟ้า หรือคล้ายๆ กับเจ้าเมืองปกครอง โดยเจ้าฟ้าสืบทอดเชื้อสายในตระกูล ในบันทึกประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคมของอังกฤษ รัฐฉานมีเจ้าฟ้าปกครองทั้งสิ้น 34 หัวเมือง อังกฤษบอกว่าถ้าต้องการได้รับเอกราชจากอังกฤษ ต้องรวมการปกครองให้เป็นหนึ่งเดียวเสียก่อน เขตพม่าแท้จึงชักชวนเขตภูเขาให้มารวมตัวเป็นประเทศเดียวกันเป็นการชั่วคราว หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง นายพลอองซาน บิดาของนางอองซาน ซูจี ได้หันมาโน้มนาวให้รัฐต่างๆ รวมถึงรัฐฉานร่วมกับพม่าเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ ด้วยความที่ไม่เชื่อใจพม่ามาตั้งแต่ต้น ทางเจ้าฟ้าจึงได้ขอให้มีการทำข้อตกลงกันไว้ที่เมืองป๋างโหลง ทางใต้ของรัฐฉานเมื่อปี 2490 ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า “สัญญาป๋างโหลง” ซึ่ง 1 ใน 9 ข้อตกลงนั้นระบุไว้ว่า หลังได้รับเอกราชจากอังกฤษและอยู่ร่วมกับพม่าครบ 10 ปี รัฐฉาน รัฐชินและรัฐคะฉิ่นที่เข้าร่วมลงนามสัญญาป๋างโหลงมีสิทธิ์แยกตัวออกจากพม่าไปตั้งประเทศได้ตามที่ต้องการ ในรัฐธรรมนูญฉบับแรกของพม่าก็มีการเขียนไว้ด้วยว่า ‘รัฐฉานสามารถเป็นอิสระจากพม่าได้ในปี 2501’ หลังได้รับเอกราชจากอังกฤษ รัฐต่างๆ และพม่าได้รวมตัวก่อตั้งเป็นสหภาพพม่าขึ้น มีประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีและใช้ระบบสภา แต่อาจกล่าวได้ว่า การรวมกันเป็นสหภาพนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากแนวคิดของนายพลอองซาน มาตั้งแต่ต้น แต่มาจากริเริ่มของเจ้าฟ้าไทใหญ่ ที่พยายามก่อตั้งสหภาพขึ้นขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ 2488 โดยในตอนแรกมีแนวคิดจะร่วมกับรัฐคะฉิ่นและรัฐชิน แต่ไม่รวมกับพม่า หลังจากพม่ารวมประเทศ "เจ้าฟ้าส่วยแต๊ก" แห่งเมืองหย่องห้วย (ยองห้วย) รัฐฉาน ได้รับการแต่งตั้งเป็นเป็นประธานาธิบดีคนแรกของพม่า มีนายอองซานได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมานายอองซานถูกลอบสังหาร นายอูนุจึงเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อ จนกระทั่งครบ 10 ปี รัฐต่าง ๆ จึงขอแยกตัวเป็นอิสระตามข้อตกลงใน “สัญญาปางโหลง” แต่นายอูนุ ไม่ยอมเนื่องจากกลัวว่าจะสูญเสียรายได้จำนวนมากที่ได้จากทรัพยากรธรรมชาติในดินแดนของรัฐต่างๆ ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งกันอย่างต่อเนื่อง ความพยายามขอแยกตัวออกมาจากพม่ายังไม่ประสบความสำเร็จ ในปี 2502 เจ้าฟ้าถูกขอให้สละอำนาจ ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกับพม่า แต่ความไม่ชอบมาพากลเริ่มเกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว เมื่อกองทัพพม่าได้ส่งทหารพม่าเข้ายึดครองพื้นที่ต่างๆ ของรัฐฉาน โดยใช้ข้ออ้างเข้ามาปราบปรามทหารก๊กมินตั๋งที่ถอยร่นมาจากประเทศจีน แต่ฝันร้ายที่สุดของรัฐฉานเกิดขึ้นจนได้ในปี 2505 เมื่อนายพลพม่านามว่า ‘เนวิน’ ได้ยึดอำนาจและปกครองประเทศโดยระบอบเผด็จการทหาร จากความอ่อนแอของรัฐบาลชุดนายอูนุ ทำให้นายพลเนวิน ผู้บัญชาการทหารบกของพม่าขณะนั้น ปฏิวัติยึดอำนาจในปี พ.ศ.2505 ประกาศยุบสภา ส่งผลให้สัญญาปางโหลงกลายเป็นโมฆะไป บรรดาพระเทวี เจ้าชาย เจ้าหญิง ตามเมืองต่างๆ จึงต้องหนีตายกันจ้าละหวั่น หลังจากการรัฐประหาร บรรดาเจ้าถูกกวาดล้างและถูกควบคุมในวัง จะไปไหนอย่างไรต้องรายงานทหารและถูกควบคุม หลังเนวินยึดอำนาจในปี 2505 เจ้าฟ้าเมืองต่างๆ ทุกพระองค์ถูกยึดทรัพย์ และถูกจับกุมตัวไปคุมขังไว้ที่คุกอินเส่ง ในย่างกุ้งเป็นเวลานานเกือบนับ 10 ปีในฐานะนักโทษทางการเมือง เจ้าฟ้าบางพระองค์สิ้นพระชนม์ในคุก หนึ่งในนั้นคือเจ้าฟ้าส่วยแต้ก แห่งเมืองหยองห้วยที่สิ้นพระชนม์จากโรคหัวใจล้มเหลว หลังอยู่ในคุกนานกว่า 8 เดือน เจ้าส่วยแต้กดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศพม่า ในหนังสือ ‘The White Umbrella’ ได้กล่าวไว้ว่า ในงานพิธีศพของเจ้าส่วยแต้กที่จัดขึ้นที่วังหยองห้วยนั้น มีประชาชนจำนวนมาก ทั้งชาวไทใหญ่ ชาวพื้นเมืองที่เดินเท้ามาจากภูเขาอันห่างไกลเป็นเวลาหลายวันเพื่อมาเคารพศพของเจ้าส่วยแต้กเป็นครั้งสุดท้าย ภาพของผู้คนจำนวนมากที่มาร่วมงานศพของเจ้าฟ้าองค์นี้กลายเป็นภาพที่แสดงออกถึงการต่อต้านไม่ยอมรับกองทัพพม่าโดยปราศจากอาวุธ เป็นงานศพเจ้าฟ้าที่จัดอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติและเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นในรัฐฉาน อีกหนึ่งเจ้าฟ้าที่ชีวิตพลิกผันนั่นคือ ‘เจ้าจายหลวงแห่งเมืองเชียงตุง’ เมืองใหญ่สำคัญอันดับต้นๆ ของรัฐฉาน เจ้าจายหลวงที่สำเร็จการศึกษามาจากต่างประเทศและเพิ่งได้ขึ้นบริหารเมืองเชียงตุงเพียง 15 ปี ถูกเนวินจับคุมขังเป็นเวลา 6 ปี ที่คุกอินเส่ง มรสุมชีวิตของท่านยังไม่จบแค่นั้น ถึงแม้ได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระ แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับเชียงตุง ต้องใช้ชีวิตอยู่ที่ย่างกุ้งจนวาระสุดท้าย เจ้าจายหลวงวัย 70 ปี สิ้นพระชนม์ที่ย่างกุ้งเมื่อปี 2540 โดยไม่มีโอกาสได้เห็นบ้านเกิด ปิดฉากเจ้าฟ้าองค์สุดท้ายแห่งเชียงตุง รัฐฉานน้อยใหญ่ทางตอนเหนือของพม่า ที่ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองเป็นพม่า ได้นัดแนะจะรวมชาติเป็นสหภาพแห่งรัฐฉาน แต่ด้วยเล่ห์เหลี่ยมของพม่า ที่ขอให้รัฐฉานมารวมกับพม่า เป็นสหภาพพม่า เพื่อรวมกำลังเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษก่อนแล้วค่อยแยกประเทศ แต่เมื่อได้เอกราชจากอังกฤษ พม่าก็หักหลัง ฉีกสัญญาที่จะให้รัฐฉานเป็นอิสระ ตอนจบของเรื่องนี้ พม่าเสียเมือง สิ้นแสงฉาน แต่สยามยังอยู่ยั้งยืนยงคงเอกราชเอาไว้ได้จนถึงปัจจุบันนี้ ก็เพราะพระบารมี พระปรีชาสามารถ และพระวิริยอุตสาหะในการทนุบำรุงชาติและประชาชนของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ เกิดเป็นไทยแล้ว ต้องรู้คุณแผ่นดิน ต้องรู้คุณพระมหากษัตริย์ไทย อย่าได้ให้ใครมาทำร้ายลูกหลานเหลนโหลนของราชวงศ์จักรี ที่ทุ่มเททุกอย่างให้คนไทยมีแผ่นดินอยู่ เหลียวดูพม่าแล้ว มองกลับมาที่ไทยเรา ใครที่หลอกคนไทย ว่าไทยไร้ซึ่งอิสรภาพ เสรีภาพและความเสมอภาค ถึงแม้ว่าเราจะเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา แต่เราคือหนึ่งในอันดับต้นๆ ของประเทศที่กำลังพัฒนา และเราคือประเทศที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในแหลมทองอินโนจีนแห่งนี้ ประชาชนชาวพม่า ลาว กัมพูชา ผู้น่าสงสารนั้น บ้านเมืองเคยผ่านความไม่สงบสุข เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจนั้นถูกทำลาย จนถึงทุกวันนี้พม่า ประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่และทรัพยากรมากมายมหาศาลยังคงไม่เคยได้รับการพัฒนา เพราะการเมืองที่ขาดคนกลาง อย่างสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจอย่างที่คนไทยมี และถึงแม้จะเปลี่ยนทั้งเมืองหลวงและชื่อประเทศมาหลายครั้ง ก็ยังคงมีปัญหาการเมืองไม่สิ้นสุด ทุกวันนี้เราพบชาวพม่าต้องทิ้งถิ่นที่อยู่ออกมาขายแรงงานอยู่ทั้วไทย แต่ถ้าเรายังขาดสติและปัญญา ปล่อยให้นักการเมืองที่หวังเพียงผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องหลอกลวง ส้กวันเราอาจจะเป็นอย่างพม่า ใช้สติและปัญญาทบทวนให้ดีๆ ว่าใครหวังดี ใครหวังร้ายต่อชาติและประชาชน อัษฎางค์ ยมนาค #ธรรมศาสตร์พิทักษ์ธรรม #ThammasatPitakTham
    ไม่ระบุชื่อ
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    สตีฟ จอบส์ เขียนจริงหรือ
    สตีฟ จอบส์ เสียชีวิตลงในขณะที่เป็นมหาเศรษฐี... กับทรัพย์สินที่มีมูลค่าถึง 7พันล้านเหรียญ (ประมาณ 2แสนกว่าล้านบาท)... ด้วยอายุเพียง 56 ปี ด้วยโรคมะเร็งตับ และนี่คือคำพูดสุดท้ายของเค้า... "ในสายตาของคนอื่น... ชีวิตผมเป็นชีวิตที่ประสบความสำเร็จอย่างเยี่ยมยอด... แต่นอกจากเรื่องงานแล้ว... ผมมีความสุขสนุกสนานน้อยมาก และในที่สุดแล้ว... ความร่ำรวยก็เป็นเพียงแค่ความจริงในชีวิต เพียงรูปแบบเดียวที่ผมมี" "ในตอนนี้... ที่ผมนอนอยู่บนเตียง... ป่วย และระลึกถึงชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมด... ผมตระหนักได้ว่า ชื่อเสียง และเงินทองที่ผมมี ไม่ได้มีค่าใดๆกับผมเลย กับในตอนที่ผมใกล้ถึงวาระสุดท้ายของชีวิตนี้ คุณอาจจะจ้างใครมาขับรถให้คุณนั่งได้... จ้างใครสักคนมาทำเงินให้กับคุณได้... แต่คุณไม่สามารถเช่าใครสักคน ให้มาแบกโรคภัยไข้เจ็บให้กับเราได้ เราอาจจะหาวัตถุสิ่งของทั้งหลายได้... แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เราไม่สามารถหามาเมื่อเราสูญเสียมันไปได้ นั่นก็คือ - "ชีวิต" ♥️ ดูแลตัวเองให้ดี... และชื่นชมยินดีกับผู้อื่น เมื่อเรามีอายุมากขึ้น เราจะฉลาดปราดเปรื่องขึ้น... และเราจะค่อยๆระลึกได้ว่า นาฬิกา ไม่ว่าจะราคาเรือนละ $30 (ประมาณ 900 กว่าบาท) หรือ เรือนละ $300 (ประมาณ 9,000 กว่าบาท) - ต่างก็บอกเวลาเหมือนๆกัน ไม่ว่าเราจะถือกระเป๋าใบละ $30 (ประมาณ 900 กว่าบาท) หรือใบละ $300 (ประมาณ 9,000 กว่าบาท) - จำนวนเงินในกระเป๋าสตางค์ก็ยังมีค่าเท่าเดิม ไม่วาเราจะขับรถคันละ $150,000 (ประมาณ 4ล้านกว่าบาท) หรือรถคันละ $30,000 (ประมาณ 9 แสนกว่าบาท) ถนน และระยะทางก็ยังเท่าเดิม เราไปถึงจุดหมายปลายทางเดียวกันได้ ถ้าเราดืมไวน์ขวดละ $300 (ประมาณ 9,000 กว่าบาท) หรือขวดละ $10 (ประมาณ 300 กว่าบาท) เมาแล้วก็เดินท่าเดียวกัน ถ้าบ้านที่เราอยู่มีขนาด 300 ตารางเมตร กับขนาด 3,000 ตารางเมตร ยังไงก็เหงาเหมือนๆกัน "ความสุขจากภายในไม่ได้มาจากสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆในโลกนี้ 🌍 ไม่ว่าจะบินชั้นเฟิร์สคลาส หรือชั้นประหยัด ถ้าเครื่องบินตก เราก็ตกด้วยกันทั้งลำ" ดังนั้นแล้ว... ผมจึงหวังว่าคุณจะเข้าใจว่า เมื่อคุณมีเพื่อนๆ หรือใครสักคนเอาไว้พูดคุยด้วย - นั่นคือความสุขที่แท้จริง! 💥 5 สิ่งที่เราไม่อาจปฏิเสธได้ 💥 1️⃣ อย่าสอนลูกหลานแค่เรื่องความรวย แต่ให้สอนพวกเค้าให้มีความสุข - เมื่อพวกเค้าเติบโตขึ้น พวกเขาจะรู้คุณค่าของสิ่งต่างๆ... ไม่ใช่แค่เรื่องของราคา 2️⃣ จงกินอาหารให้เป็นยา... ไม่เช่นนั้นแล้ว คุณจะต้องกินยาแทนอาหาร 3️⃣ ใครก็ตามทีรักคุณจริงๆ จะไม่ทอดทิ้งคุณ... แม้ว่าเค้าจะมีเหตุผลเป็นร้อยเป็นพันอย่างที่จะทิ้งคุณไป แต่เค้าก็จะหาเหตุผลเพียงข้อเดียวที่จะอยู่ต่อ 4️⃣ มันมีข้อแตกต่างที่ชัดเจนมากๆ ระหว่างการเป็นมนุษย์ กับการเป็นแค่คนๆหนึ่ง 5️⃣ ถ้าอยากไปได้เร็ว ให้ไปคนเดียว แต่ถ้าอยากไปได้ไกล ให้ไปด้วยกัน (สุภาษิตของชาวแอฟริกัน) และในท้ายสุดนี้ หมอที่ดีที่สุด ทั้ง 6 อย่างในโลกนี้คือ... 1️⃣ Sunlight - แสงอาทิตย์ 2️⃣ Rest - การพักผ่อน 3️⃣ Exercise - การออกกำลังกาย 4️⃣ Diet - การควบคุมอาหาร 5️⃣ Self Confidence - ความมั่นใจในตนเอง 6️⃣ Friends - เพื่อนฝูง จงรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ให้ดีในทุกช่วงของชีวิต และมีความสุขกับชีวิตที่มีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงชีวิตไหนในตอนนี้... เมื่อกาลเวลาผ่าน... เราจะต้องเผชิญหน้ากับวันที่ม่านแห่งชีวิตเราได้ปิดลง ทนุถนอมความรักที่มีต่อครอบครัว... ความรักที่มีต่อคู่สมรส... ความรักที่มีต่อมวลมิตรไว้... ดูแลตัวเองให้ดี ชื่นชมยินดีต่อผู้อื่น ขอบคุณข้อมูลจาก ผู้แปล ก้อ มิซูฟูกะ
    Mrs.Doubt
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    แก้วิธีการรักษา อาการตื่นมาฉี่บ่อย (nocturia) ของผู้สูงอายุ
    ตื่นขึ้นมาปัสสาวะบ่อย รุ่นพี่ที่เคารพท่านหนึ่ง ได้ส่ง VDO link ที่น่าสนใจมาให้ จาก NHK on demand video ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ ส.ว. ทั้งหมด (เกิน 250) แต่คนที่ยังไม่เป็น ส.ว. รู้ไว้ก็ไม่เสียหลาย เพราะอนาคตเราก็จะได้เลื่อนขั้นขึ้นไปกันทุกคนอยู่แล้ว เรื่องที่ว่านั้นก็คือ ปัญหาของการที่ต้องตื่นขึ้นมากลางดึกบ่อยๆ (nocturia) เพื่อไปฉี่ ปัญหานี้ ได้มีการทำวิจัยเมื่อต้นปีนี้เอง (กุมภาพันธ์ -เมษายน) ควบคุมโดย Toromoto Kazumasa อาจารย์หมอทางด้านระบบทางเดินปัสสาวะ (urologist) แห่งมหาวิทยาลัยแพทย์นารา (Nara Medical University) เนื่องจากโควิดมา ผลการวิจัยนี้จึงเพิ่งจะเผยแพร่สู่สาธารณชน เมื่อต้นเดือนธันวาคมนี้เอง การวิจัย ดำเนินการโดยให้ หนุ่ม Terakita เดินทางไปอยู่ที่บ้านคุณลุง Hayashi ทั้งวัน และทำกิจกรรมต่างๆเหมือนกัน โดยฉี่ให้หมดกระเพาะปัสสาวะ (bladder) ในตอนเช้า จากนั้น ให้กินอาหารเหมือนกัน ดื่มน้ำเท่ากัน ออกกำลังกายเหมือนกัน แล้วฉี่ใส่ถ้วยตวง วัดปริมาณเปรียบเทียบกันดู @07:30 เริ่มกินข้าว เป็นอาหารญี่ปุ่น มีน้ำอยู่ในอาหาร 600 mL (คำนวณโดย Yamaguchi Chikage นักโภชนาการ ของ Nara Medical University Hospital) และดื่มน้ำชา 530 mL รวม 1,130 mL ตอนสาย เจ้าหนุ่ม ฉี่ไป 4 รอบ 300+400+300+100 mL ส่วนลุงฉี่แค่ 2 รอบ 100+110 mL @12:30 มื้อกลางวัน เป็นแซนวิช มีน้ำแค่ 140 mL และดื่มน้ำเปล่าอีกคนละ 380 mL ตอนบ่าย ออกกำลังกาย ไปทำสวนด้วยกัน เข้ามาในบ้าน เล่น VDO game ด้วยกัน (ลุงแกเล่นได้ด้วยแฮะ) ตอนบ่าย เจ้าหนุ่มฉี่อีก 3 ครั้ง 350+200+150 mL คุณลุงก็ฉี่ 3 ครั้งเหมือนกัน แต่ปริมาณน้อยกว่า 40+180+70 mL จนเย็น @18:30 ได้เวลาจากกัน หลังจากอยู่ด้วยกันมาทั้งวัน ค่ำคืนนั้น ก่อนเข้านอน เจ้าหนุ่มฉี่อีก 4 ครั้ง 320+150+180+150 mL แต่ลุงฉี่แค่ครั้งเดียว 180 mL หมอใช้ ultrasound ตรวจดูน้ำในกระเพาะปัสสาวะ - เกือบไม่มีทั้งคู่ ก่อนเข้านอนตอนเที่ยงคืน ในวันนั้น น้ำ เข้าไปร่างกาย คนละ 2,730 mL เท่าๆกัน แต่ลุงมีน้ำเหลืออยู่ในร่างกายเยอะมาก ผลก็คือ เจ้าหนุ่มหลับรวด ไม่ได้ตื่นขึ้นมาฉี่ แต่ลุงต้องตื่นไปฉี่ 3 รอบ 130+420+280 mL วันต่อมาจึงรู้สึกเพลีย การที่กลางวันง่วง และต้องงีบบ่อยๆ เพราะกลางคืนตื่นบ่อย (nocturia) เพื่อไปฉี่ เนื่องจากน้ำที่ดื่มระหว่างวันยังค้างอยู่ในร่างกาย แต่น้ำนั้น ... ไม่ได้อยู่ในกระเพาะปัสสาวะ ! เชื่อหรือไม่ว่า มีความลับในร่างกายของเราอย่างหนึ่ง ก็คือ คนเรามีกระเพาะปัสสาวะที่สอง (2nd bladder) !! ในเมื่อน้ำ ไม่อยู่ในกระเพาะปัสสาวะ แล้วมันไปเก็บอยู่ที่ไหน? ที่ตับ (liver) หรือเปล่า เพราะแอลกอฮอล์ก็ยังไปกำจัดที่ตับ น้ำก็น่าจะไปด้วย … ไม่ใช่ ที่ไต (kidney) ใช่ไหม เพราะเป็นด่านแรก ที่น้ำจะต้องผ่าน ก่อนไปที่กระเพาะปัสสาวะ … ไม่ใช่อีก ที่เส้นเลือด (blood vessels) กระมัง เพราะในเลือดมีน้ำ อาจเก็บน้ำเพิ่มขึ้นได้ … ก็ไม่ใช่ แม้แต่ลำไส้ (intestine) ที่น่าจะมีที่เก็บน้ำไว้ได้มากทีเดียว … ไม่ใช่เหมือนกัน เพราะคำตอบที่ถูกคือ - น่อง (calves) ครับ ! เพื่อเป็นการพิสูจน์ เจ้าหน้าที่ได้ทำการวัดรอบน่องของลุง Hayashi ตอนตื่นนอนและก่อนนอน พบว่า น่องโตขึ้นจริงๆ (ขวา 40.5 => 42.7 ซ้าย 41.5 => 45.7 cm) ทีมงาน ได้นำอุปกรณ์วัดทันสมัย ไปที่บ้านลุง Hayashi เพื่อวัดปริมาณน้ำในส่วนต่างๆของร่างกาย แล้ว plot มาเป็นกราฟ พบว่า ช่วงเช้า น้ำในลำตัวและแขน เกือบคงที่ แต่น้ำในขา จะค่อยพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ช่วงบ่าย น้ำในขาเกือบคงที่ แต่ในแขนและลำตัวค่อยๆลด ส่วนตอนค่ำ ก่อนนอน น้ำในลำตัวค่อยๆลด ในแขนคงที่ แต่ในขายังพุ่งขึ้นต่อ สุดท้ายก่อนเข้านอน น้ำในขาของลุง Hayashi มีมากกว่าตอนเช้าถึง หนึ่งลิตรครึ่ง ! ทั้งนี้เพราะ ขาทั้งสองข้าง เป็นเหมือนแท็งค์น้ำ โดยน้ำจะแทรกอยู่ระหว่างกระดูกและผิวหนัง เรียกว่า “interstitium” เมื่อไม่มีน้ำ จะแฟบ พอมีน้ำก็จะพองหนาขึ้น น่อง จึงเหมือนถังน้ำ เก็บไว้ฉี่ทิ้งภายหลัง และนั่นเป็นสาเหตุที่ต้องตื่นขึ้นมาฉี่บ่อย คุณหมอ Sone Atsushi Director, Miyazu Takeda Hospital ยืนยันว่า มีคนไข้เป็นอย่างนี้หลายคน มีคำอธิบาย เขียนเป็นไดอะแกรมง่ายๆ เป็นวงจรของเส้นเลือดแดงจากหัวใจลงมาที่น่อง แล้วก็กลับขึ้นหัวใจทางเส้นเลือดดำ ส่วนกระเพาะปัสสาวะอยู่ตรงกลางระหว่างหัวใจกับน่อง การเต้นของหัวใจ กับการเคลื่อนไหวของน่อง จะเหมือนกับปั๊มสองตัวช่วยกันสูบฉีดน้ำในร่างกาย ถ้าน้ำมากไปก็จะไปปล่อยทิ้งที่กระเพาะปัสสาวะ เมื่ออายุยังน้อย ปั๊มที่น่องก็ยังแข็งแรงดีอยู่ ยิ่งเป็นเด็ก วิ่งกระโดดโลดเต้น น่องจึงแข็งแรง (เพราะฉะนั้น ถึงจะวิ่งไม่ไหว ก็ขยันเดินกันหน่อยนะครับ) แต่เมื่ออายุมากขึ้น น่องไม่ค่อยได้ทำงาน น้ำจึงมาบวมอยู่ที่ขา ด้วยแรงโน้มถ่วงของโลก พอล้มตัวลงนอนตอนดึก น้ำส่วนเกินนี้จึงค่อยๆกลับมาที่กระเพาะปัสสาวะ จนทำให้ต้องลุกไปฉี่บ่อยๆ ดังนั้น ในปีนี้ ทางการแพทย์ที่ญี่ปุ่น จึงมีการปรับแก้วิธีการรักษา อาการตื่นมาฉี่บ่อย (nocturia) ซึ่งไม่มีการแก้ไขมาเลยในรอบสิบปี คุณลุง Ando เป็นคนหนึ่งที่ได้รับการรักษาวิธีหนึ่งในแผนใหม่นี้ สี่ปีมาแล้วที่เขาต้องตื่นมาฉี่ 4~5 ครั้ง ทุกคืน แถมลำบากที่ต้องปีนบันไดขึ้นลง เพราะห้องน้ำอยู่คนละชั้นกับห้องนอน พลาดพลั้งเกิดตกบันไดขึ้นมาก็ยุ่งอีก ชีวิตช่างน่าหดหู่เสียจริงๆ การฉี่บ่อย (nocturia) นำไปสู่ ความรู้สึกหดหู่ และกระดูกหัก !? พูดให้เว่อร์ไปหน่อย ... ความรู้สึกหดหู่ หรือ depression ก็เพราะอดนอน และกระดูกหัก ไม่ใช่เพราะฉี่บ่อยตรงๆ แต่เป็นสาเหตุเกี่ยวเนื่อง โดยเกิดจากการงัวเงียเมื่อตื่นขึ้นมา อาจจะทำให้หกล้ม หรือ ตกบันได แต่กระดูกหักในกลุ่มผู้สูงอายุนี่เรื่องใหญ่นะ วันหนึ่ง ลุง Ando ได้รับ “กล่อง” เพื่อการรักษา หนึ่งเดือนผ่านไป คุณลุงนอนรวดเดียวยันเช้า ไม่ต้องลุกไปฉี่เลย คุณลุง Ando ได้พบ “ทางรอด” แล้ว ที่สามารถจะใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง “ทางรอด” ในกล่องเล็กๆ ที่ทำให้ชีวิตของลุง Ando เปลี่ยนไปเลยนั้น คืออะไร ? คุณ Toshida Masaki Assit. Director, ศูนย์ศึกษาผู้สูงอายุ (แห่ง National Center for Geriatric & Gerontology) มาเฉลยว่า ภายในกล่องนั้น คือ ... “ถุงเท้ารัดน่อง” (compression stockings) ครับ ถ้าสวมมันไว้ตอนกลางวัน จะช่วยทำให้ขาไม่บวม และไม่เก็บน้ำไว้ ทำให้ฉี่ตอนกลางวันมากขึ้น ไม่เก็บไว้ไปฉี่ตอนดึกอีก นอกจากนั้น ยังมีคำแนะนำง่ายๆอีกอย่าง เป็นวิธีการบำบัดข้อที่สอง ที่คุณหมอได้แนะนำให้ลุง Hayashi ที่เข้าร่วมการทดลองในตอนแรก ลองกลับไปทำดู คือการนอนยกขาให้สูงขึ้นหน่อย ประมาณครึ่งฟุต สักครึ่งชั่วโมงในตอนบ่าย แต่อย่างีบหลับไปนะ เดี๋ยวกลางคืนจะนอนไม่หลับอีก คุณลุง Hayashi ได้ลองทำดูประมาณหนึ่งเดือน โดยเริ่มทำตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ด้วยการนอนยกขาพาด อ่านหนังสือ หนึ่งเดือนผ่านไป จากการต้องลุกไปฉี่ 3 หนในตอนก่อน ก็เหลือเพียง 1.5 ครั้งโดยเฉลี่ย การรักษานี้เป็นการบำบัดโดยเปลี่ยนอุปนิสัย (behavior therapy) ดีกว่าการใช้ยา เพราะว่าไม่มีผลข้างเคียง (side effect) คำแนะนำเพื่อการบำบัดดังกล่าว มี 3 วิธี คือ :- • สวมถุงน่องแบบรัด • ยกขา • งดกินเค็ม การงดกินเค็มที่แถมมาด้วยนั้น เพราะ การกินเค็ม นอกจากจะทำให้ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นแล้ว ยังทำให้ร่างกายเก็บน้ำไว้ด้วย ของแถมอีกอย่างที่บางคนอาจจะเมิน คือ หมอเขาแนะนำให้เลิกการ “กรุ๊บๆ กรั๊บๆ” ในตอนเย็น เพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แถมกับแกล้มกินเล่นซึ่งมักจะมีเกลือเยอะ จะช่วยกันเรียกความกระหายให้ร่างกายดื่มน้ำมากขึ้น สังเกตได้ว่าถ้ากินเลี้ยงตอนเย็น คืนนั้นก็จะฉี่มากขึ้น คำถามว่า สวมถุงรัดน่องด้วย พร้อมกับนอนยกขาด้วย ได้ไหม - Dr. Yoshida บอกว่า ไม่มีปัญหา แต่สวมถุงรัดน่องไปกินเลี้ยงตอนเย็นนี่คงไม่ช่วยเท่าไหร่นะ งานนี้ สงสัยจะมีคนขอเลี่ยงบาลีไปดื่มตอนเที่ยงแทน คำแนะนำแนวทางทั้งสามนั้น คงจะเป็นประโยชน์กับศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ส่วนเรื่องถุงรัดน่องนั้น ถ้าไปหาตามร้านขายยา ก็จะมีถึงสามชนิดให้เลือก คือ สูงแค่เข่า ซึ่งสวมง่ายหน่อย ยาวขึ้นมาหน่อยคือสวมทั้งขา และที่ยาวสุดคือ สวมขึ้นมาถึงเอว ชอบแบบไหนก็เลือกได้ตามสะดวกครับ รวมทั้ง น่าจะมีขนาดให้เลือกด้วย และสามารถสวมใส่ได้ทั้งวัน อย่างไรก็ตาม คุณหมอมีคำเตือนสำหรับคนที่เป็นโรคหัวใจหรือเบาหวานว่า ให้ปรึกษาหมอหน่อยก็ดีนะ เรื่องที่จะหาอะไรมารัดน่องนี่น่ะ ที่ง่ายคือการนอน (อย่าหลับ) ยกขาขึ้นมาพาดอะไรที่สูงหน่อยในตอนบ่ายนั้น ก็ต้องบริหารเรื่องเวลาเหมือนกัน ไม่เร็วไป (เพิ่งผ่านเวลาเช้ามาหยกๆ) หรือช้าไป (จะเข้านอนอยู่แล้ว) เพราะจะไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรทั้งคู่ เวลาแดดร่มลมตก นึกถึงเปลญวนขึ้นมาทีเดียว เพราะเป็นเปลที่ขาถูกยกขึ้นมา ไม่ได้นอนราบๆ แต่ไม่มีเปลญวนก็ไม่เป็นไร หาอะไรหนุนขาเอาก็ได้ อย่างไรก็ตาม วันนี้ ผมเลยได้ไอเดีย ที่ทำให้ชีวิตสบายขึ้นเยอะ เพราะว่า ... แทนที่จะนั่งเขียนบทความ บ่ายวันนี้ ผมนอนยกขาเขียนครับ !! ... @_@ ... วัชระ นูมหันต์ 20 ธันวา 63
    Mrs.Doubt
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    เหนือ​จีนคือยิว เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงของหญิงชาวจีนเชื้อสายยิวท่านหนึ่ง ในปี 1992 ตอนที่ฉันตัดสินใจย้ายจากเมืองจีนไปปักฐานใหม่ยังอิสราเอล ลูกชายคนโตอายุ 13 ลูกชายคนที่สองอายุ 12 ส่วนลูกสาวคนเล็ก 10 ขวบ ฉันให้ลูกๆอยู่เมืองจีนไปก่อน ที่ตัดสินใจย้ายไปอิสราเอลในตอนนั้น ก็เพราะทนอยู่ในสภาพเดิมๆไม่ได้แล้ว พ่อของฉันเป็นชาวยิวขนานแท้ ย้ายหนีสงครามโลกครั้งที่ 2 มาอยู่เมืองจีน แต่งงานกับแม่ฉันซึ่งเป็นหญิงจีน หลังฉันเกิดไม่นาน แม่ก็ทิ้งพวกเราสองพ่อลูกไป พ่อฉันเสียตอนฉันอายุ 12 ฉันกลายเป็นเด็กกำพร้าเต็มตัว พอโตขึ้น ฉันได้ทำงานในโรงงานถลุงเหล็ก หลังแต่งงานก็มีลูก 3 คน แต่แล้วสามีก็ทิ้งพวกเราไป มันเป็นความทรงจำที่เต็มไปด้วยความขมขื่น พอดีเป็นช่วงเวลาที่จีนกับอิสราเอลเปิดสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศขึ้นมา ด้วยจิตใจที่อยากหนีให้พ้นๆจากดินแดนแห่งความทุกข์ใจ ฉันเลยกลายเป็นพวกอพยพกลุ่มแรกที่ขอย้ายจากจีนไปอยู่อิสราเอล ตอนถึงอิสราเอลใหม่ๆ ความเป็นอยู่ยากลำบากกว่าอยู่ในเมืองจีนเสียอีก ฉันไม่เข้าใจภาษาฮีบรูยุคใหม่ของอิสราเอลเลย (ภาษาฮีบรูแบบโบราณที่พ่อเคยสอนฉันไว้บ้าง เขาเลิกใช้กันแล้ว) ท่ามกลางหมู่คนที่ฉันไม่รู้จักใครเลย แถมยังเป็นบ้านเมืองที่ฉันไม่คุ้นเคย เลยไม่ทราบว่าจะเริ่มทำมาหากินอะไร เงินที่พกติดตัวไปจากเซี่ยงไฮ้คงพอยาไส้ได้สักสามเดือน แต่ฉันมุ่งมั่นว่าต้องหาวิธีอยู่ให้รอด และจะต้องรับลูกๆมาอยู่กับฉันให้ได้ ฉันเริ่มเรียนภาษาเพื่อสื่อสารให้รู้เรื่อง แล้วฉันก็ตัดสินใจตั้งแผงริมถนนขายเปาะเปี๊ยะทอดยึดเป็นอาชีพไว้ก่อน วันๆจะมีกำไรสิบกว่าซิเกิล (หนึ่งซิเกิลเท่ากับเก้าบาทไทยโดยประมาณ) พอการค้าเล็กๆน้อยๆของฉันพอจะพึ่งพาได้ เดือนพฤษภาคมปี 1993 ฉันรับลูกทั้งสามคนมาอยู่ด้วยกันที่อิสราเอล ตอนอยู่ที่เมืองจีน แม้จะลำบากแค่ไหนก็ตาม แต่ฉันไม่เคยให้ลูกๆต้องลำบากด้วย พอมาอยู่ที่นี่ ฉันก็ยังคงเลี้ยงลูกในแบบเดิมๆ ซึ่งมันก็คงไม่ต่างจากคนจีนทั่วไป ทุกวันหลังลูกๆ ไปโรงเรียน ฉันกขายปอเปียะไป พอตกบ่ายเลิกเรียน พวกเขาก็จะมาหาฉันที่แผง ฉันก็จะเก็บร้านเลิกขาย แล้วเริ่มหุงหาอาหารมื้อเย็นให้ลูกๆได้กินกัน มีอยู่วันหนึ่ง ตอนที่กำลังเตรียมปรุงบะหมี่ให้ลูกๆ เพื่อนบ้านคนหนึ่งเดินมาหาพวกเรา แล้วก็ชี้หน้าลูกชายคนโตพร้อมตำหนิว่า "แกเป็นเด็กโตแล้ว ทำไมไม่ช่วยแม่ทำงานทำการบ้าง อย่าทำตัวเหมือนขยะไร้ค่า" แล้วเธอก็หันมาต่อว่าฉัน "อย่าเอารูปแบบผิดๆที่พกพาจากเมืองจีนมาเผยแพร่ที่นี่ อย่าคิดว่าสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่เป็นความรักที่ถูกต้อง" คำพูดของเธอทำพวกเราตกใจมาก เป็นการทำร้ายจิตใจที่ดูโหดร้าย พวกเรารู้สึกแย่เอามากๆ เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันได้แต่ปลอบลูกชายคนโตว่า "ไม่เป็นไรนะลูก แม่ทนได้ แม่รับไหว แม่มีความสุขที่ได้ดูแลลูกๆทุกคน ขอให้ตั้งใจเรียนหนังสือให้ดีที่สุดก็พอแล้ว” "แต่ว่า...." ลูกชายคนโตพูดอย่างครุ่นคิด "คุณน้าคนนั้นอาจจะพูดถูก ผมคิดว่า ผมน่าจะช่วยแบ่งเบาภาระให้แม่ได้บ้าง" วันถัดมาเป็นวันที่ชาวบ้านไปโบสถ์กัน โรงเรียนเลิกเรียนตอนเที่ยง พอพวกเขามาถึงแผงขายของ ลูกชายคนโตมายืนข้างฉัน แล้วหยิบเอาแผ่นแป้งห่อเปาะเปี๊ยะใส่ไส้แล้วม้วนให้เรียบร้อย นำลงทอดในกระทะจนสุก แม้จะยังดูไม่คล่องแคล่วนัก แต่ความชำนาญก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นในชิ้นต่อๆไป การเปลี่ยนแปลงของลูกชายคนโตเป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อน นอกจากจะช่วยงานที่แผงขายของแล้ว เขายังเสนอว่าให้พวกเขาเอาเปาะเปี๊ยะทอดไปขายให้เพื่อนๆที่โรงเรียน พวกเขาเอาไปคนละ 20 ชิ้น พอเลิกเรียนกลับมา ทุกคนเอาเงิน 10 ซิเกิลมาให้ฉัน บอกตรงๆ ฉันรู้สึกสะเทือนใจมาก ปล่อยให้ลูกๆที่อายุยังน้อยต้องมาช่วยแบกภาระเรื่องทำมาหากิน แต่ว่าการแสดงออกของพวกเขาไม่ได้บ่งบอกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจเลย พวกเขากลับบอกว่ารู้สึกมีความสุขและความภูมิใจกับการรู้จักหาเงินหาทองได้ตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อนบ้านมักจะแวะมาคุยกับฉันบ่อยๆ บอกเล่าถึงวิธีที่ชาวยิวเลี้ยงลูกหลานกันอย่างไร ต้องให้การศึกษาแก่พวกเขาอย่างไร ชาวยิวจะคิดว่า การหาเงินไม่จำเป็นต้องรอตอนโตแล้ว มันช่างแตกต่างจากคนจีนที่มักคิดว่า "ตอนเป็นเด็กมีหน้าที่ศึกษาหาความรู้อย่างเดียว" แต่ชาวยิวคิดว่า "ตอนเป็นเด็กก็ต้องเริ่มศึกษาวิธีหาเงินหาทองกันแล้ว" เพื่อนบ้านบอกฉันว่า ในครอบครัวชาวยิว ไม่มีอาหารฟรี ไม่มีบริการฟรี ทุกอย่างต้องตีค่าเป็นเงิน เด็กทุกคนต้องศึกษาวิธีการหาเงิน เพื่อจะให้ได้มาในสิ่งที่ตนอยากได้ ฉันรู้สึกว่าวิธีการนี้ดูโหดร้ายเกินไป ยอมรับไม่ค่อยได้ แต่ว่า จากสิ่งแวดล้อมต่างๆรอบตัวพวกเรา เด็กๆถูกซึมซับให้ยอมรับความคิดแบบนี้ได้ง่ายกว่าฉันมากมาย ในที่สุด ฉันตัดสินใจเปลี่ยนแปลงรูปแบบที่ฉันเคยดูแลพวกเขา ลองให้พวกเขาปรับเปลี่ยนไปในลักษณะชาวยิวเต็มตัว เราเริ่มจากทุกอย่างในบ้านก่อน ของทุกอย่างในบ้านตีเป็นมูลค่าหมด รวมค่าอาหารและบริการต่างๆที่แม่คนนี้ทำให้ลูกๆ ทุกคนต้องจ่ายค่าอาหาร 100 อาโกรอทต่อมื้อ (100 อาโกรอทเท่ากับ ซิเกิล) ซักเสื้อผ้าครั้งละ 50 อาโกรอท แต่ฉันก็หาโอกาสให้พวกเขามีทางทำมาหากิน ฉันขายเปาะเปี๊ยะทอดให้พวกเขาในราคาขายส่ง ชิ้นละ 30 อาโกรอท แล้วให้พวกเขาไปตั้งราคาขายกันเอง กำไรเป็นของพวกเขา วันแรกที่กลับจากโรงเรียน ถึงจะรู้ว่าทั้งสามคนล้วนมีวิธีการขายที่ไม่เหมือนกันเลย ลูกสาวคนเล็กซื่อหน่อย ขายให้เพื่อนๆในราคา 50 อาโกรอทต่อชิ้น ได้กำไรมาทั้งสิ้น 400 อาโกรอท คนที่สองใช้วิธีขายส่ง เขาขายทั้งหมดให้โรงอาหารของโรงเรียน ราคา 40 อาโกรอทต่อชิ้น ได้กำไรมาแค่ 200 อาโกรอท แต่สิ่งที่ตามมาก็คือ โรงอาหารสั่งให้เขาไปส่งทุกวัน วันละ 100 ชิ้น ส่วนลูกคนโตคิดนอกกรอบกว่าคนอื่น เขาจัดรายการสัมมนาในหัวข้อเรื่อง "มารู้จักประเทศจีนกันหน่อย" เขาเป็นผู้ดำเนินรายการเอง จุดดึงดูดอีกอย่างของงานก็คือ ทุกๆคนที่เข้าร่วมจะได้ลิ้มรสเปาะเปี๊ยะทอดแบบจีน โดยเขาเก็บค่าผ่านประตูคนละ 10 อาโกรอท เปาะเปี๊ยะทอดทุกชิ้นถูกหั่นเป็นสิบชิ้นเล็ก มีผู้เข้าร่วม 200 คนเต็มความจุ เก็บค่าผ่านประตูได้ 2000 อาโกรอท หลังหักค่าสถานที่ให้โรงเรียนไป 500 อาโกรอท เขายังเหลือกำไรสุทธิ 1500 อาโกรอท นอกจากวิธีการของลูกสาวที่อยู่ในความคาดคะเนของฉันแล้ว ต้องยอมรับว่าลีลาของลูกชายทั้งสองอยู่เหนือจินตนาการของฉันจริงๆ ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ในช่วงเวลาสั้นๆนั้น พวกเขาเปลี่ยนแปลงจากเด็กที่ทำอะไรไม่เป็น กลับกลายเป็นเด็กที่มีความคิดในลักษณะพ่อค้าเต็มตัว รู้คุณค่าของเงิน และมุ่งมั่นจะหาเงินให้มากยิ่งขึ้นในรูปแบบที่ถูกต้อง แต่การเรียนของพวกเขาก็ไม่ได้รับการกระทบกระเทือนเลย ลูกชายคนโตได้มีโอกาสเรียนเกี่ยวกับกฏหมายของพวกผู้อพยพเข้าเมือง เขาบอกฉันว่า ครอบครัวที่อพยพเข้ามาในอิสราเอลอย่างบ้านเรา มีสิทธิ์ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล ฉันไม่แน่ใจว่ามันจะเท็จหรือมันจะจริง แต่ก็ลองไปติดต่อทางการดู สุดท้ายก็ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเป็นเงิน 6000 ซิเกิล นี่เป็นเงินจำนวนไม่น้อยสำหรับครอบครัวเรา ลูกชายคนโตบอกฉันว่า เงินจำนวนนี้ได้มาเพราะคำแนะนำของเขาแท้ๆ เขาควรได้รับส่วนแบ่ง 10% ฉันตรึกตรองอยู่นาน สุดท้ายก็ตัดสินใจแบ่งให้เขาไป 600 ซิเกิล หลังได้รับเงิน เขาซื้อของขวัญชิ้นงามให้ฉันและน้องๆคนละชิ้น เงินที่เหลือ เขาบอกว่าจะเอาไปต่อทุนเพื่อหาเงินให้ได้มากยิ่งๆขึ้น เขาใช้เงินจำนวนนั้นไปสั่งซื้อเครื่องเขียนจากเมืองจีนส่งผ่านมาให้ทางไปรษณีย์ ราคาเครื่องเขียนที่จีนถูกกว่าของอิสราเอลมากมาย เขานำมาขายให้เพื่อนๆในโรงเรียน พอได้กำไร เขาก็ยังเดินหน้าค้าขายต่อไป หนึ่งปีผ่านไป ตัวเลขบัญชีในธนาคารของเขาเพิ่มเป็น 2000 ซิเกิล แม้ลูกชายคนโตจะรู้จักหาเงินได้มาก แท้จริงแล้ว ลูกชายคนที่สองมีหัวการค้าแบบชาวยิวไม่แพ้พี่เขา ชาวยิวทั้งหลายมีหลักการง่ายๆว่า " ค้าขายอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องลงทุน จะมีความเสี่ยงน้อยที่สุด ทำอะไรก็ได้ที่คนอื่นยังไม่ได้เริ่มทำ จะมีโอกาสที่ดีที่สุด" ในขณะที่ลูกคนโตกำลังทำเงินกับเครื่องเขียนจากจีน ลูกคนที่สองก็ทำเงินของเขาไปอย่างเงียบๆ เขาใช้หัวคิดจากมันสมองของเขาที่ไม่ต้องลงทุนเป็นตัวเงิน เขาเขียนบทความต่างๆเกี่ยวกับเมืองเซี่ยงไฮ้จากมุมมองของเด็กอายุ 14 คนหนึ่ง เขามีคอลัมน์ประจำในหนังสือพิมพ์ เขียนอาทิตย์ละ 2 บท บทละประมาณ 1000 ตัวอักษร รายได้ตกเดือนละ 8000 อาโกรอท ส่วนลูกสาวคนเล็กนั้น จะเก็บตัวหน่อยตามภาษาเด็กผู้หญิง ไม่ได้แสดงบทบาทเรื่องหาเงินหาทองมากมายนัก แต่จากตัวเธอ ฉันสามารถรับรู้ถึงกลิ่นไอของชาวยิวที่ชอบมองชีวิตความเป็นอยู่แบบสวยงาม เธอหัดชงชาและทำขนม ทุกๆเย็น เธอจะเตรียมชาไว้กาหนึ่ง แล้วก็มีขนมจากฝีมือเธอเองไม่ซ้ำแบบ พวกเราจะได้นั่งล้อมวง ดื่มชา ทานขนมและพูดคุยกัน ขนมของเธอก็มักจะมีกลิ่นไอจากจีนปะปนอยู่ด้วย ทุกคนที่บ้านชอบกันทั้งนั้น แน่นอน มันไม่ใช่ของฟรี พี่ๆต้องจ่ายค่าขนมให้เธอ หักค่าวัตถุดิบแล้ว น้องสาวสุดท้องก็มีรายได้ที่น่าพอใจ ตอนนี้บ้านเราไม่จนแล้ว เรามีเงินเก็บพอประมาณ เลยตกลงกันว่าจะเปิดร้านอาหารจีนขึ้นมาร้านหนึ่ง ฉันถือหุ้น 40% ลูกคนโต 30% คนรอง 20% และคนเล็ก 10% ร้านของเราประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เป็นที่นิยมของเหล่านักชิมทั้งหลาย ผู้หญิงจากประเทศจีนคนนี้ก็เลยกลายเป็นคนที่ถูกสังคมจับตามองโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งฉันได้มีโอกาสเข้าพบนายกรัฐมนตรียิตซัค ราบินของอิสราเอล ฉันกลายเป็นคนโด่งดังในชั่วข้ามคืน ตอนนี้ฉันสามารถใช้ภาษาฮีบรูของอิสราเอลได้อย่างคล่องแคล่ว บวกกับฉันมีภาษาจีนเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ทำให้ฉันถูกทาบทามโดยบริษัทค้าเพชรของรัฐบาลอิสราเอล ให้ไปเป็นตัวแทนคนแรกของบริษัทประจำประเทศจีน พอฉันย้ายกลับไปอยู่ประเทศจีนอีกครั้ง ลูกๆทั้งสามก็ตามฉันไปด้วย พอเอาลูกๆไปเปรียบเทียบกับเด็กทั่วๆไปในจีน ฉันรู้สึกว่าลูกฉันจะดูโดดเด่นกว่าพวกเขาพอสมควร ก่อนจะกลับไปที่จีนเที่ยวนี้ พวกเขาทั้งสามไปกว้านซื้อสิ่งของต่างๆจากอิสราเอลไว้มากมาย พอพวกเขาเข้าเรียนได้ไม่นาน ครูของโรงเรียนแวะมาคุยกับฉัน บอกว่าเด็กๆนำเอาของมากมายจากอิสราเอลไปขายที่โรงเรียน มีตั้งแต่เครื่องประดับ เสื้อผ้า ของเล่น หรือแม้กระทั่งปลอกกระสุนเปล่าก็ไม่เว้น ครูอยากให้ฉันช่วยดูแลเด็กๆให้อยู่ในกรอบหน่อย ฉันบอกครูว่า ฉันไม่สามารถห้ามการกระทำของพวกเขา นี่เป็นวิธีหาเงินเพื่อจ่ายค่าเล่าเรียนของพวกเขาเอง เพราะฉันไม่ได้รับผิดชอบค่าเล่าเรียนของพวกเขาอีกแล้ว ครูทั้งตกใจและแปลกใจ เขาไม่เข้าใจว่าคนมีเงินเดือนสูงในบริษัทข้ามชาติอย่างฉัน จะไม่รับผิดชอบค่าเล่าเรียนของลูกๆ ฉันเชิญครูทานขนมที่ลูกสาวคนเล็กทำไว้ขายในบ้าน ชิ้นละ 2 หยวน ฉันบอกครูด้วยรอยยิ้มว่า "นี่คือผลพลอยได้ของการได้อยู่อิสราเอลในหลายปีนี้ สอนให้เด็กๆได้เรียนรู้วิธีการดำเนินชีวิตของชาวยิว และฉันก็เชื่อว่าพวกเขาทุกคนจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพแน่นอน......." ในที่สุด ลูกคนโตตัดสินใจเข้าเรียนวิทยาลัยเกี่ยวกับการท่องเที่ยว เขาต้องการจะเป็นมืออาชีพของวงการท่องเที่ยวให้ได้ เขาตั้งใจจะไปเปิดบริษัทบริการท่องเที่ยวที่อิสราเอล เพื่อเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญที่สุดเกี่ยวกับการเที่ยวประเทศจีน ลูกชายคนที่สองเข้าเรียนวิทยาลัยเกี่ยวกับภาษาต่างประเทศ เขาตั้งใจจะเป็นคอลัมน์นิสต์ เขาชอบงานขีดๆเขียนๆ ซึ่งสามารถทำเงินให้เขาได้โดยไม่ต้องควักเงินไปลงทุน ลูกสาวคนเล็กอยากไปเรียนทำครัวเกี่ยวกับอาหารจีน เพื่อเป็นเชฟระดับแนวหน้าให้ได้ โดยเฉพาะเป็นมือโปรด้านขนม ตั้งใจจะกลับไปเปิดร้านขนมที่อร่อยที่สุดในอิสราเอล กลับมาประเทศจีนเที่ยวนี้ ฉันรู้สึกว่าพ่อแม่ชาวจีนทั้งหลายมีจิตใจโลเลเกี่ยวกับการเลี้ยงดูบุตรหลานของตน พวกเขาล้วนหวังจะเห็นลูกร่ำรวยมีเงินมีทองเป็นเศรษฐี แต่กลับไม่ได้ให้โอกาสเรียนรู้และลงมือทำ The capacity to learn is a GIFT.
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false