4 คนสงสัย
อย่าแชร์! หายใจให้ถูกวิธีจะช่วยลดอาการข้อเท้าบวม
จากกรณีที่มีผู้โพสต์คลิปให้ความรู้ว่า การหายใจโดยนั่งตัวตรงหรือยืนตรง และเริ่มหายใจออกก่อนโดยโน้มตัวไปข้างหน้า แล้วหายใจเข้าโน้มตัวกลับขึ้นมา ทำแบบนี้ไป 20 – 30 ครั้ง จะช่วยลดอาการข้อเท้าบวม ทางโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า อาการที่คลิปกล่าวถึงเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริงทางการแพทย์ หรือก็คือ วิธีการหายใจตามคลิปนั้น ไม่มีความสัมพันธ์ทั้งทางทฤษฎี หรือทางรายงานการวิจัยกับการลดการบวมของข้อเท้า ทั้งจากการบวมน้ำ การอุดกั้นของหลอดเลือดดำที่ขา หรือจากการอักเสบของข้อเท้าแต่อย่างใด
std48011
 •  1 ปีที่แล้ว
0 ความเห็น

ยาสมุนไพรลดความอ้วน

ยังไม่มีใครตอบ

เพิ่มความเห็นใหม่

กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 1 คนสงสัย
    สวมหน้ากาก = ตายผ่อนส่ง เคยสังเกต ร่างกายตัวเอง กันบ้างไหม ว่าเหนื่อยง่าย ปวดหัวบ่อย นอนไม่ค่อยหลับ ตั้งแต่มีโควิดมา หลายคนเหมารวมว่า เป็นเพราะลองโควิด แต่ไม่มีใครเอะใจเลยสักนิดว่า สาเหตุที่แท้จริงเป็นเพราะอะไร พีเอ็น เมดิคัล (PN Medical) องค์กรที่ทำงานวิจัยและพัฒนาสุขภาพระบบทางเดินหายใจ ในสหรัฐฯ มากว่า 40 ปี ได้ทำการวิจัย กับกลุ่มตัวอย่างในวิชาชีพต่างๆ ถึงผลกระทบ ต่อการสวมหน้ากากอนามัย พบว่า การสวมหน้ากากทำให้ จังหวะการหายใจเปลี่ยนไป การควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย แปรปรวน โดยอาจสังเกตได้จากอุณหภูมิในร่างกาย ที่สูงขึ้น โดยเริ่มต้นจาก ใบหน้า ส่งผลกระทบ ทั้งทาง ร่างกาย และ จิตใจ แม้หลังจากถอดออกแล้ว ไม่ว่าจะใช้ หน้ากากทางการแพทย์ หน้ากากผ้า หรือ แม้แต่ N 95 ก็ตาม ล้วนมีผลให้ระดับออกซิเจน และ ภาวะความเป็นกรด ในเลือดไม่ปกติ ส่งผลกระทบต่างๆ ตามมา เช่น อาการปวดหัว มึนงง หายใจไม่เต็มปอด วิตกกังวล นอนไม่หลับ เหน็บชา ตามมือและ เท้า เป็นต้น การหายใจ ที่มีคุณภาพ คือการหายใจเต็มปอด เพื่อให้กระบังลม ได้ขยายตัวเต็มที่ และ เส้นประสาทบริเวณนั้น ซึ่งช่วยให้ร่างกาย ผ่อนคลายได้ถูกกระตุ้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย หากยังต้องสวมหน้ากาก อยู่ตลอดเวลา ทุกวัน อย่างไรก็ดี หากท่านยัง จำเป็นต้องใช้หน้ากาก ทางพีเอ็น ก็มีข้อแนะนำ ให้สูดหายใจ ให้เต็มปอด 5 ครั้ง ทั้งก่อนการสวม ทันทีที่สวม และ หลังจากสวม โดยการหายใจแต่ละครั้ง ให้ทำตามลำดับดังนี้ - หายใจเข้า 4 วินาที ทางจมูก - หายใจออก 6 วินาที ทางปาก - หยุดพัก 2 วินาที ก่อนเริ่มครั้งถัดไป นอกจากนี้ พึงเตือนสติให้หายใจยาว และ ช้ากว่าปกติเสมอ ตลอดเวลาที่สวมหน้ากาก หากต้องใช้ หน้ากากเป็นเวลานาน ควรหาพื้นที่ปลอดภัย เพื่อถอดหน้ากาก และ ฝึกหายใจ ตามข้างต้น เป็นระยะ ร่างกายมนุษย์ ไม่ได้สร้างเพื่อรองรับ การสวมหน้ากากอนามัย ในระยะยาว เราจึงควรใช้เฉพาะเวลา ที่ไม่สบาย เพื่อป้องกัน การแพร่กระจายไปยังคนอื่นเท่านั้น ไม่ควรจะใช้ตลอดเวลา เพราะ นอกจากหน้ากากอนามัย จะไม่ได้ช่วยป้องกันเรา จากโควิดแล้ว ยังทำร้ายสุขภาพเราแบบ # ตายผ่อนส่ง อีกด้วย
 https://www.pnmedical.com/breather-university/effects-of-wearing-face-mask/
    ไม่ระบุชื่อ
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งไปเติมน้ำมัน ตอนที่รูดเครดิตการ์ดเสร็จแล้วและกำลังจะออกจากปั๊ม ก็มีพนักงานคนหนึ่งเดินมาบอกว่า การ์ดที่รูดมีปัญหาให้เธอรีบลงจากรถและเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ของปั๊มด้วย เพื่อนคนนี้ก็งงมาก เพราะคิดว่าตามปกติ ถ้ารูดบัตรไม่ผ่าน เครื่องจะไม่ออกสลิปให้ แต่นี่ก็ได้สลิปแล้ว จึงเอาสลิปให้พนักงานคนนั้นดูเพื่อยืนยันการจ่าย และบอกว่ามีธุระต้องรีบไป แต่พนักงานคนนั้นก็ยังยืนยันว่าเธอต้องไปคุยกับเจ้าหน้าที่อยู่ดี พูดประมาณว่าจะลงไปคุยดีๆ หรือเปล่า สุดท้ายเพื่อนก็จำใจลงจากรถ เมื่อเข้าไปในสำน้กงานได้ก็โวยใหญ่เลย ว่าจ่ายตังค์แล้ว และพนักงานที่ไปเชิญเขาลงจากรถก็พูดกับเขาไม่ดีด้วย เจ้าหน้าที่ต้องรีบบอกให้เธอใจเย็นๆ และฟังเหตุผลของทางปั๊มก่อน ทางปั๊มบอกว่า ตอนที่เติมน้ำมันรถเธออยู่ เห็นผู้ชายคนหนึ่งแอบเปิดประตูเข้าไปนั่งอยู่ข้างหลังเบาะด้านคนขับ ทางปั๊มเห็นว่าผิดสังเกต ว่าไม่น่าจะเป็นคนที่มาด้วยกัน จึงโทรแจ้งตำรวจให้ และอยากให้เธอออกจากรถก่อน เพื่อความปลอดภัย พอได้ยินแบบนั้น เพื่อนก็ตกใจมาก รีบหันกลับไปดูรถตัวเองทันที จังหวะนั้นก็เห็นผู้ชายคนหนึ่ง กำลังเปิดประตูและลงจากรถตัวเองอยู่พอดี ภายหลังทราบว่า พวกนี้เป็นหนึ่งในรูปแบบของอาชญากรรมแนวใหม่คือเป็นพวกค้าชิ้นส่วนอวัยวะของผู้หญิง โดยจะแอบปีนเข้าไปตอนที่คนขับรถซึ่งเป็นผู้หญิง เอารถแวะเข้าเติมน้ำมัน หรือแวะจอดซึ้อของตามร้านข้างทาง หรือตามห้างสรรพสินค้า วิธีการก็คือพวกนี้จะตัดเอ็นข้อเท้า เพื่อป้องกันไม่ให้เหยื่อหนี จากนั้นจะขับรถของเหยื่อ เพื่อพาเหยื่อไปฆ่า และชำแหละอวัยวะออกเป็นส่วนๆ เมื่อได้อ่านแล้ว ขอให้ช่วยกันส่งต่อไปให้ผู้หญิงทุกคนที่คุณรู้จัก อย่างน้อยอาจช่วยให้พวกเขารู้จักระวังตัว และไม่ตกเป็นเหยื่อรายต่อไป ข้อควรระวัง 1 ให้ล็อครถทุกครั้ง ที่ต้องลงจากรถ แม้ว่าจะเป็นการแวะลงไปทำธุระหรือซื้อของเพียงแค่ไม่กี่นาที 2 สำรวจหาบุคคลแปลกปลอมใต้ท้องรถ และเบาะด้านหลังทุกครั้งก่อนกลับขึ้นรถ 3 หมั่นสังเกตพฤติกรรมของคนรอบข้างอยู่เสมอ เมื่อออกนอกบ้าน โดยเฉพาะเมื่อต้องไปไหนในเวลากลางคืน กรุณาอ่านและส่งต่อไปยังคนที่คุณรักนะคะ
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 เดือนที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    "เหลียวพม่า มองไทย" ย้อนศึกษาประวัติศาสตร์ ช่วยบอกปัจจุบันและอนาคต ตั้งแต่สมัยโบราณ ชาวตะวันตกรู้จักและมีความสนใจแค่ 2 มหาอำนาจในดินแดนตะวันออกไกล ซึ่งก็คืออินเดียและจีน เท่านั้น จุดเริ่มต้นจริงๆ ที่ทำให้ประเทศในดินแดนในแหลมอินโดจีนโดนคุกคาม นั้นมาจากพม่าที่เริ่มต้นไปกระตุกหนวดเสือ เพราะพม่าคิดว่าตัวเองเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ที่มีอิทธิพลอยู่ในแถบนี้ จึงส่งกองทัพไปบุกโจมตีเพื่อจะขยายอำนาจเข้าไปในเบงกอล ซึ่งเป็นที่ตั้งของรัฐอิสระในเขตอิทธิพลของอังกฤษในอินเดีย แต่สงครามจบลงด้วยการพ่ายแพ้อย่างยับเยินของพม่า และที่สำคัญคือการทำให้อังกฤษสนใจจะขยายอำนาจจากอินเดียที่ตนครอบครองอยู่แล้ว เข้ามาสู่พม่าและดินแดนถัดไปในแหลมอินโดจีน ที่มีไทยอยู่ในจุดศูนย์กลาง ก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ พม่าคือชาติมหาอำนาจในดินแดนแถบนี้ แล้วเวลาผ่านไปพม่าก็เริ่มเสื่อมลง แต่พม่ายังคงเข้าใจว่าตัวเองยิ่งใหญ่ เมื่ออังกฤษมีอำนาจเหนืออินเดีย พม่าจึงลองของ หวังจะแสดงฤทธานุภาพ เช่นเดียวกับจีน ที่ ณ เวลานั้นความยิ่งใหญ่จากยุคที่เคยเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกในอดีต ทำให้จีนยังคงลำพอง ทั้งๆ ที่ไม่เคยพัฒนาอะไรใหม่ขึ้นมาเลย ผิดกับชาติตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษที่ปฏิวัติอุตสาหกรรมสำเร็จ จนเป็นผู้นำแห่งเทคโนโลยี เมื่ออังกฤษมาถึง ทั้งจีนและพม่าจึงพ่ายแพ้อย่างยับเยิน เพราะประเมินตัวเองสูง แต่ประเมินอังกฤษไว้ต่ำ ในขณะที่ไทยเรา หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตก แล้วสมเด็จพระเจ้าตากสินมากู้แผ่นดิน ตามต่อมาด้วยพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ที่ตั้งใจทะนุบำรุงบ้านเมือง จากรัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 5 ที่เป็นช่วงเวลาที่ฝรั่งเริ่มขยายอำนาจมาถึง ไทยก็เป็นประเทศที่ก้าวหน้าที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชียไปแล้ว ในหลวงรัชกาลที่ 4 บวชเรียนอยู่หลายสิบปี ศึกษาศิลปวิทยาทั้งไทยและเทศ จนเป็นปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ มีวิสัยทัศน์กว้างไกล เมื่อขึ้นครองราชสมบัติก็จ้างฝรั่งมาทำงาน รวมทั้งจ้างฝรั่งมาสอนภาษาและศิลปวิทยาการสมัยให้กับพระราชโอรสและพระราชธิดา ข้าราชบริพาร เมื่อในหลวงรัชกาลที่ 5 ครองราชย์ และมีอำนาจเต็มเมื่อพระชนมพรรษา 20 ก็ทรงรอบรู้ศิลปวิทยาการสมัยใหม่เรียบร้อยแล้ว จนมีหลักฐานบันทึกไว้ว่า ทรงได้รับการยกย่องจากชาติตะวันตก ว่าพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่สมาร์ทที่สุดในเอเชีย สมาร์ทในที่นี้หมายถึง ความรู้ความสามารถและวิสัยทัศน์ รวมทั้งหมายถึงการแต่งกายและการเข้าสังคมแบบชาวตะวันตก ทรงไม่ได้รับมือ มหาอำนาจของโลกด้วยการทหาร อย่างจีนและพม่า แต่ทรงใช้วิธีพัฒนาประเทศและบุคลากรให้ทันสมัยเทียมหน้าฝรั่ง รวมทั้งทรงใช้ทูตเป็นเครื่องมือในการต่อกรกับมหาอำนาจฝรั่ง ความสามารถทางการทูตของพระองค์เป็นที่ประจักษ์ชัด ทั้งการเดินทางไปเจรจาทางการทูตด้วยพระองค์เอง และทั้งส่งพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการเป็นตัวแทนพระองค์ วันที่พม่าเสียเมือง คณะราชทูตไทย และคณะราชทูตพม่าอยู่ที่อังกฤษเรียบร้อยแล้ว แต่พม่าเดินเกมส์การเมืองผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น ยากจะเยียวยา วันนั้น คณะราชทูตพม่า ประเทศที่เคยเป็นศัตรูสู้รบกันมาหลายร้อยปี ยังไม่ทันมีโอกาสจะเข้าเจรจาการทูต เพราะพม่าเสียเมืองให้อังกฤษไปเสียก่อนแล้ว จึงมาขอเข้าพบเพื่อปรับทุกข์กับคณะราชทูตของไทย คณะราชทูตพม่าต้องมานั่งร้องไห้เสียใจกับคณะราชทูตของไทย กับการเสียเมืองในคราวนั้น ในอดีต พม่าประกอบด้วยชนชาติต่าง ๆ กว่า 135 ชนชาติ จนกระทั่งตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ และได้แบ่งการปกครองในพม่าออกเป็น 2 ส่วน คือ เขตพม่าแท้และเขตภูเขา โดยเขตพม่าแท้อยู่ทางตอนกลางของประเทศ เขตภูเขามี 7 รัฐ คือ ฉาน กะเหรี่ยง มอญ กะยา กะฉิ่น ชิน ยะไข่ โดยเฉพาะ “รัฐฉาน” มี 34 เมืองแต่ละเมืองมีเจ้าฟ้าปกครองดูแล รัฐฉาน หรือเมืองไต เป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุด มีพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของประเทศพม่า ภูมิประเทศเป็นผืนป่าและภูเขาสูง เป็นรัฐที่ร่ำรวยไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ตั้งแต่ในอดีตเรื่อยมาจนถึงปี 2502 รัฐฉานได้ปกครองด้วยระบบเจ้าฟ้า หรือคล้ายๆ กับเจ้าเมืองปกครอง โดยเจ้าฟ้าสืบทอดเชื้อสายในตระกูล ในบันทึกประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคมของอังกฤษ รัฐฉานมีเจ้าฟ้าปกครองทั้งสิ้น 34 หัวเมือง อังกฤษบอกว่าถ้าต้องการได้รับเอกราชจากอังกฤษ ต้องรวมการปกครองให้เป็นหนึ่งเดียวเสียก่อน เขตพม่าแท้จึงชักชวนเขตภูเขาให้มารวมตัวเป็นประเทศเดียวกันเป็นการชั่วคราว หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง นายพลอองซาน บิดาของนางอองซาน ซูจี ได้หันมาโน้มนาวให้รัฐต่างๆ รวมถึงรัฐฉานร่วมกับพม่าเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ ด้วยความที่ไม่เชื่อใจพม่ามาตั้งแต่ต้น ทางเจ้าฟ้าจึงได้ขอให้มีการทำข้อตกลงกันไว้ที่เมืองป๋างโหลง ทางใต้ของรัฐฉานเมื่อปี 2490 ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า “สัญญาป๋างโหลง” ซึ่ง 1 ใน 9 ข้อตกลงนั้นระบุไว้ว่า หลังได้รับเอกราชจากอังกฤษและอยู่ร่วมกับพม่าครบ 10 ปี รัฐฉาน รัฐชินและรัฐคะฉิ่นที่เข้าร่วมลงนามสัญญาป๋างโหลงมีสิทธิ์แยกตัวออกจากพม่าไปตั้งประเทศได้ตามที่ต้องการ ในรัฐธรรมนูญฉบับแรกของพม่าก็มีการเขียนไว้ด้วยว่า ‘รัฐฉานสามารถเป็นอิสระจากพม่าได้ในปี 2501’ หลังได้รับเอกราชจากอังกฤษ รัฐต่างๆ และพม่าได้รวมตัวก่อตั้งเป็นสหภาพพม่าขึ้น มีประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีและใช้ระบบสภา แต่อาจกล่าวได้ว่า การรวมกันเป็นสหภาพนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากแนวคิดของนายพลอองซาน มาตั้งแต่ต้น แต่มาจากริเริ่มของเจ้าฟ้าไทใหญ่ ที่พยายามก่อตั้งสหภาพขึ้นขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ 2488 โดยในตอนแรกมีแนวคิดจะร่วมกับรัฐคะฉิ่นและรัฐชิน แต่ไม่รวมกับพม่า หลังจากพม่ารวมประเทศ "เจ้าฟ้าส่วยแต๊ก" แห่งเมืองหย่องห้วย (ยองห้วย) รัฐฉาน ได้รับการแต่งตั้งเป็นเป็นประธานาธิบดีคนแรกของพม่า มีนายอองซานได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมานายอองซานถูกลอบสังหาร นายอูนุจึงเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อ จนกระทั่งครบ 10 ปี รัฐต่าง ๆ จึงขอแยกตัวเป็นอิสระตามข้อตกลงใน “สัญญาปางโหลง” แต่นายอูนุ ไม่ยอมเนื่องจากกลัวว่าจะสูญเสียรายได้จำนวนมากที่ได้จากทรัพยากรธรรมชาติในดินแดนของรัฐต่างๆ ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งกันอย่างต่อเนื่อง ความพยายามขอแยกตัวออกมาจากพม่ายังไม่ประสบความสำเร็จ ในปี 2502 เจ้าฟ้าถูกขอให้สละอำนาจ ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกับพม่า แต่ความไม่ชอบมาพากลเริ่มเกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว เมื่อกองทัพพม่าได้ส่งทหารพม่าเข้ายึดครองพื้นที่ต่างๆ ของรัฐฉาน โดยใช้ข้ออ้างเข้ามาปราบปรามทหารก๊กมินตั๋งที่ถอยร่นมาจากประเทศจีน แต่ฝันร้ายที่สุดของรัฐฉานเกิดขึ้นจนได้ในปี 2505 เมื่อนายพลพม่านามว่า ‘เนวิน’ ได้ยึดอำนาจและปกครองประเทศโดยระบอบเผด็จการทหาร จากความอ่อนแอของรัฐบาลชุดนายอูนุ ทำให้นายพลเนวิน ผู้บัญชาการทหารบกของพม่าขณะนั้น ปฏิวัติยึดอำนาจในปี พ.ศ.2505 ประกาศยุบสภา ส่งผลให้สัญญาปางโหลงกลายเป็นโมฆะไป บรรดาพระเทวี เจ้าชาย เจ้าหญิง ตามเมืองต่างๆ จึงต้องหนีตายกันจ้าละหวั่น หลังจากการรัฐประหาร บรรดาเจ้าถูกกวาดล้างและถูกควบคุมในวัง จะไปไหนอย่างไรต้องรายงานทหารและถูกควบคุม หลังเนวินยึดอำนาจในปี 2505 เจ้าฟ้าเมืองต่างๆ ทุกพระองค์ถูกยึดทรัพย์ และถูกจับกุมตัวไปคุมขังไว้ที่คุกอินเส่ง ในย่างกุ้งเป็นเวลานานเกือบนับ 10 ปีในฐานะนักโทษทางการเมือง เจ้าฟ้าบางพระองค์สิ้นพระชนม์ในคุก หนึ่งในนั้นคือเจ้าฟ้าส่วยแต้ก แห่งเมืองหยองห้วยที่สิ้นพระชนม์จากโรคหัวใจล้มเหลว หลังอยู่ในคุกนานกว่า 8 เดือน เจ้าส่วยแต้กดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศพม่า ในหนังสือ ‘The White Umbrella’ ได้กล่าวไว้ว่า ในงานพิธีศพของเจ้าส่วยแต้กที่จัดขึ้นที่วังหยองห้วยนั้น มีประชาชนจำนวนมาก ทั้งชาวไทใหญ่ ชาวพื้นเมืองที่เดินเท้ามาจากภูเขาอันห่างไกลเป็นเวลาหลายวันเพื่อมาเคารพศพของเจ้าส่วยแต้กเป็นครั้งสุดท้าย ภาพของผู้คนจำนวนมากที่มาร่วมงานศพของเจ้าฟ้าองค์นี้กลายเป็นภาพที่แสดงออกถึงการต่อต้านไม่ยอมรับกองทัพพม่าโดยปราศจากอาวุธ เป็นงานศพเจ้าฟ้าที่จัดอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติและเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นในรัฐฉาน อีกหนึ่งเจ้าฟ้าที่ชีวิตพลิกผันนั่นคือ ‘เจ้าจายหลวงแห่งเมืองเชียงตุง’ เมืองใหญ่สำคัญอันดับต้นๆ ของรัฐฉาน เจ้าจายหลวงที่สำเร็จการศึกษามาจากต่างประเทศและเพิ่งได้ขึ้นบริหารเมืองเชียงตุงเพียง 15 ปี ถูกเนวินจับคุมขังเป็นเวลา 6 ปี ที่คุกอินเส่ง มรสุมชีวิตของท่านยังไม่จบแค่นั้น ถึงแม้ได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระ แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับเชียงตุง ต้องใช้ชีวิตอยู่ที่ย่างกุ้งจนวาระสุดท้าย เจ้าจายหลวงวัย 70 ปี สิ้นพระชนม์ที่ย่างกุ้งเมื่อปี 2540 โดยไม่มีโอกาสได้เห็นบ้านเกิด ปิดฉากเจ้าฟ้าองค์สุดท้ายแห่งเชียงตุง รัฐฉานน้อยใหญ่ทางตอนเหนือของพม่า ที่ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองเป็นพม่า ได้นัดแนะจะรวมชาติเป็นสหภาพแห่งรัฐฉาน แต่ด้วยเล่ห์เหลี่ยมของพม่า ที่ขอให้รัฐฉานมารวมกับพม่า เป็นสหภาพพม่า เพื่อรวมกำลังเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษก่อนแล้วค่อยแยกประเทศ แต่เมื่อได้เอกราชจากอังกฤษ พม่าก็หักหลัง ฉีกสัญญาที่จะให้รัฐฉานเป็นอิสระ ตอนจบของเรื่องนี้ พม่าเสียเมือง สิ้นแสงฉาน แต่สยามยังอยู่ยั้งยืนยงคงเอกราชเอาไว้ได้จนถึงปัจจุบันนี้ ก็เพราะพระบารมี พระปรีชาสามารถ และพระวิริยอุตสาหะในการทนุบำรุงชาติและประชาชนของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ เกิดเป็นไทยแล้ว ต้องรู้คุณแผ่นดิน ต้องรู้คุณพระมหากษัตริย์ไทย อย่าได้ให้ใครมาทำร้ายลูกหลานเหลนโหลนของราชวงศ์จักรี ที่ทุ่มเททุกอย่างให้คนไทยมีแผ่นดินอยู่ เหลียวดูพม่าแล้ว มองกลับมาที่ไทยเรา ใครที่หลอกคนไทย ว่าไทยไร้ซึ่งอิสรภาพ เสรีภาพและความเสมอภาค ถึงแม้ว่าเราจะเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา แต่เราคือหนึ่งในอันดับต้นๆ ของประเทศที่กำลังพัฒนา และเราคือประเทศที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในแหลมทองอินโนจีนแห่งนี้ ประชาชนชาวพม่า ลาว กัมพูชา ผู้น่าสงสารนั้น บ้านเมืองเคยผ่านความไม่สงบสุข เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจนั้นถูกทำลาย จนถึงทุกวันนี้พม่า ประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่และทรัพยากรมากมายมหาศาลยังคงไม่เคยได้รับการพัฒนา เพราะการเมืองที่ขาดคนกลาง อย่างสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจอย่างที่คนไทยมี และถึงแม้จะเปลี่ยนทั้งเมืองหลวงและชื่อประเทศมาหลายครั้ง ก็ยังคงมีปัญหาการเมืองไม่สิ้นสุด ทุกวันนี้เราพบชาวพม่าต้องทิ้งถิ่นที่อยู่ออกมาขายแรงงานอยู่ทั้วไทย แต่ถ้าเรายังขาดสติและปัญญา ปล่อยให้นักการเมืองที่หวังเพียงผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องหลอกลวง ส้กวันเราอาจจะเป็นอย่างพม่า ใช้สติและปัญญาทบทวนให้ดีๆ ว่าใครหวังดี ใครหวังร้ายต่อชาติและประชาชน อัษฎางค์ ยมนาค #ธรรมศาสตร์พิทักษ์ธรรม #ThammasatPitakTham
    ไม่ระบุชื่อ
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 2 คนสงสัย
    ข่าวปลอม อย่าแชร์! หายใจให้ถูกวิธีจะช่วยลดอาการข้อเท้าบวม
    ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลในสื่อออนไลน์เรื่องหายใจให้ถูกวิธีจะช่วยลดอาการข้อเท้าบวม ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบ โดยโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ จากกรณีที่มีผู้โพสต์คลิปให้ความรู้ว่า การหายใจโดยนั่งตัวตรงหรือยืนตรง และเริ่มหายใจออกก่อนโดยโน้มตัวไปข้างหน้า แล้วหายใจเข้าโน้มตัวกลับขึ้นมา ทำแบบนี้ไป 20 – 30 ครั้ง จะช่วยลดอาการข้อเท้าบวม ทางโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า อาการที่คลิปกล่าวถึงเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริงทางการแพทย์ หรือก็คือ วิธีการหายใจตามคลิปนั้น ไม่มีความสัมพันธ์ทั้งทางทฤษฎี หรือทางรายงานการวิจัยกับการลดการบวมของข้อเท้า ทั้งจากการบวมน้ำ การอุดกั้นของหลอดเลือดดำที่ขา หรือจากการอักเสบของข้อเท้าแต่อย่างใด
    std46688
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    น้ำมันงาช่วยรักษาข้ออักเสบได้จริงไหม
    โรคข้ออักเสบ การศึกษาชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับประสิทธิภาพของน้ำมันงาในการบรรเทาอาการที่เกิดจากโรคข้ออักเสบพบว่าการรับประทานน้ำมันงา 1 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุกวันต่อเนื่องนาน 28 วัน มีประโยชน์ในการช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระและสารเคมีที่ก่อการอักเสบในร่างกายของผู้ป่วย อีกทั้งยังช่วยเพิ่มการผ่อนคลายของของหลอดเลือดแดงเอออร์ตา และมีแนวโน้มที่จะลดการบวมของเท้าด้านหลัง ซึ่งประโยชน์เหล่านี้ส่งผลดีต่อตัวผู้ป่วยเอง ทั้งนี้งาดำจะนำมาใช้รักษาผู้ป่วยโรคข้ออักเสบได้จริงหรือไม่คงต้องรอผลการศึกษาในอนาคตที่แน่นอนกว่านี้ต่อไป
    Wantanee Chiansunan
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ▪︎เราต้องเดินทุกวัน ตั้งแต่ตื่นนอนไปจนถึงเข้านอน และวันหนึ่งๆ เราต้องเดินลงน้ำหนักบนขาทั้ง 2 ข้างของเราหลายชั่วโมง ●ข้อมูลจาก American Podiatric Medical Association รายงานว่า โดยเฉลี่ยมนุษย์เดินวันละ 8,000-10,000 ก้าว ซึ่งเท่ากับว่าตลอดชีวิตเราจะต้องเดินประมาณ 207,000 กิโลเมตร หรือเป็นระยะทางเท่ากับเส้นรอบวงของโลกถึง 4 รอบ ● การเดินของมนุษย์มีกลไกที่ซับซ้อนมาก ☆ไม่ใช่เพียงแค่การก้าวเท้าไปข้างหน้า ☆ แต่ต้องอาศัยการทำงานของกล้ามเนื้อหลายมัด ☆ศีรษะ ข้อกระดูกสันหลัง ข้อไหล่ ข้อสะโพก ข้อเข่า และข้อเท้า เพื่อให้ร่างกายทรงตัวอยู่ได้ ●ยิ่งเดินมาก ยิ่งทำให้ข้อเสื่อม จริงหรือ(?) ▪︎ใครว่ายิ่งเดินมาก ยิ่งทำให้ข้อเสื่อม ต้องบอกเลยว่า ความเชื่อนี้เชยไปแล้วค่ะ ● จากงานวิจัยทางการแพทย์สมัยใหม่พบว่า 🔺️การเดินหรือวิ่งอย่างถูกต้อง และต่อเนื่องจะช่วยป้องกันข้อเสื่อม 🔺️ส่วนการไม่เดินไม่วิ่ง หรือขาดการออกกำลังกายกลับเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้อเสื่อม ● เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น 🔺️คำตอบคือ การเดินหรือวิ่งก่อให้เกิดแรงกดที่กระดูกอ่อนผิวข้อ ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายฟองน้ำคอยรับแรงกระแทกในข้อ แรงกดและปล่อยอย่างเป็นจังหวะจากการเดินและวิ่ง จะเป็นการเพิ่มการหมุนเวียนของน้ำหล่อเลี้ยงภายในข้อ ▪︎น้ำหล่อเลี้ยงภายในข้อมีความสำคัญ เพราะสารอาหารของเซลล์กระดูกอ่อนไม่มีเลือดมาเลี้ยง ▪︎จึงได้รับสารอาหารและออกซิเจนจากน้ำหล่อเลี้ยงข้อเท่านั้น ▪︎ การเคลื่อนไหวข้อที่ทำให้เกิดแรงกดที่กระดูกอ่อนอย่างเหมาะสม และสม่ำเสมอ ▪︎จึงเป็นการให้สารอาหารแก่กระดูกอ่อน กระตุ้นการสร้างและซ่อมส่วนที่สึกหรอ ช่วยลดความเสี่ยงข้อเสื่อมได้ 🔺️วันนี้หมอมีเคล็ด (ไม่) ลับของการเดิน ที่จะช่วยลดความเสื่อม และป้องกันการบาดเจ็บของข้อเข่า และกระดูกสันหลังมาฝากค่ะ (one).ปรับท่าเดินให้ถูกต้อง เพราะท่าเดินที่ถูกต้องจะช่วยให้บุคลิกดีขึ้นและดูสง่างาม โดย ● ตามองตรง ไม่ก้มศีรษะ เพราะการก้มศีรษะจะไปเพิ่มการลงน้ำหนักที่กระดูกสันหลังบริเวณคอและหลัง ทำให้มีอาการปวดคอ บ่า ไหล่ และหลังตามมาได้ ●ไม่เกร็งระหว่างเดิน ผ่อนคลายตั้งแต่มือ ข้อนิ้วมือ อาจจะงอข้อศอกเล็กน้อย และก้าวเท้าให้เหมาะสม ไม่ยาว ไม่สั้นจนเกินไป จะลดอาการปวดเกร็งของเข่า และกล้ามเนื้อต้นขาได้ ● ขณะที่เดินให้ลงน้ำหนักที่ส้นเท้าก่อน ตามมาด้วยเหยียบเท้าให้เต็มฝ่าเท้า ส่วนเท้าอีกข้างให้ยกส้นเท้าขึ้นก่อนเช่นกัน จะเป็นการช่วยบริหารกล้ามเนื้อหน้าแข้ง (two)เลือกรองเท้าให้เหมาะสม ▪︎โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องเดินไกลๆ ควรเลือกรองเท้าหุ้มส้นที่สวมสบาย โดยควรลองสวมรองเท้าเดินก่อนที่จะเดินทางไกล (three)หลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าส้นสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสวมรองเท้าที่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่งเพราะเมื่อสวมส้นสูงจะทำให้หลังงอ และมีการโน้มตัวไปด้านหน้า ร่างกายจึงพยายามรักษาสมดุลด้วยการต้าน หรือเกร็งไม่ให้ลำตัวและแผ่นหลังเอนไปข้างหน้ามากเกินไป ส่งผลให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลัง ● หากมีพฤติกรรมนี้เป็นเวลานานๆ ก็จะทำให้กระดูกเคลื่อนไปกดทับเส้นประสาทได้ (four).แขม่วพุงหรือแขม่วท้องเวลาเดิน เป็นการฝึกบริหารกล้ามเนื้อหลังมัดลึก ทำได้ดังนี้คือ ● ขั้นที่ 1 หายใจเข้าและออกให้สุด จำความรู้สึกไว้ว่าการหายใจเข้าและออกแบบลึกสุดๆ คิดเป็นการหายใจแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ● ขั้นที่ 2 หายใจเข้าประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ แขม่วท้องค้างไว้ นับ 1-10 แล้วหายใจออก คลายหน้าท้อง โดยขณะเกร็งหรือแขม่ว ให้ผ่อนคลายในระดับที่สามารถพูดคุยโต้ตอบกับผู้อื่นได้ ●การแขม่วพุงยังมีประโยชน์อีกมากมาย เช่น เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ลดแรงกระทำ และช่วยกระจายแรงกระทำต่อกระดูกสันหลัง เพิ่มความมั่นคงให้กระดูกสันหลัง ป้องกันการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุบริเวณหลังส่วนล่าง ทำให้ประสิทธิภาพการหายใจดีขึ้น กระชับหน้าท้อง ทำให้หน้าท้องแบนราบ บุคลิกภาพดี (five)ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ● คนที่น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 10 กิโลกรัม จะมีแรงกดต่อข้อเข่าเพิ่มขึ้น 40 กิโลกรัม หรือ 4 เท่าของน้ำหนักตัวทุกๆ ย่างก้าวที่เดิน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงการเกิดอาการปวดจากโรคข้อเข่าเสื่อม ●โดยน้ำหนักตัวที่เหมาะสมสำหรับชาวไทย คือ ค่าดัชนีมวลกาย ระหว่าง 19-25 กิโลกรัมต่อตารางเมตร (six)ไม่ควรหิ้วหรือถือของหนัก โดยเฉพาะของที่มีน้ำหนักมากกว่า 20 กิโลกรัม เพราะถึงแม้ว่าน้ำหนักตัวจะไม่มาก แต่ดันหิ้วของหนักมาก โดยเฉพาะกระเป๋าถือของผู้หญิง ก็จะเพิ่มแรงกดต่อกระดูกเช่นกัน (seven)หมั่นบริหารกล้ามเนื้อต้นขา ด้วยการเหยียดเข่าให้ตรงและเกร็งค้างไว้ครั้งละ 5 วินาที ประมาณวันละ 10-20 ครั้ง หรืออาจเข้ายิมเล่นเวต เพื่อเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า และด้านหลัง สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีสะโพกกว้าง ซึ่งมีแนวโน้มเกิดปัญหาปวดเข่าได้ง่าย การออกกำลังกายด้วยวิธีดังกล่าว จะสร้างกล้ามเนื้อให้ช่วยรั้งกระดูกสะบ้าเข้าด้านใน เพื่อลดปัญหาปวดเข่าในระยะยาว (eight)หลีกเลี่ยงการขึ้น-ลงบันไดบ่อยเกินไป เช่น เดินขึ้น-ลง บ้าน 3 ชั้น มากกว่าวันละ 5 ครั้ง ควรวางแผนการหยิบของใช้ให้ดีเพื่อหลีกเลี่ยงการเดินขึ้น-ลง (nine)หลีกเลี่ยงการยืนพักขาลงน้ำหนักไปที่ขาข้างเดียว ●การยืนที่ถูกต้อง ควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆ กัน โดยยืนแยกขาให้กว้างเท่าช่วงสะโพก จึงจะเกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย (one)(zero)เป็นคนช่างสังเกต ▪︎โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการเจ็บปวดหลังการเดิน ▪︎ ควรสังเกตว่าเรามีอาการเจ็บตรงไหน เพื่อตรวจสอบว่า ตรงไหนที่เราอาจจะมีปัญหา จะได้รีบแก้ไข ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามจนแก้ไขไม่ได้ 🔺️การเดินเป็นการออกกำลังกายที่ง่าย ทำได้ทุกเวลา โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ●แนะนำให้เดินอย่างน้อยวันละ 10,000 ก้าว หรือเดินอย่างน้อยวันละ 30 นาที สะสมให้ได้สัปดาห์ละ 150 นาที ⭐ขอให้คุณผู้อ่านเดินอย่างมีความสุข สุขภาพแข็งแรงกันทุกๆ ท่านเลยนะคะ 🔺️พันเอกหญิง รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงสุมาภา ชัยอำนวย (คุณหมอยุ้ย)
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    นศ.หนุ่มวัย 19 เป็นลมหมดสติกะทันหัน พอผลการวินิฉัยของคุณหมอออกมา ทุกคนตกใจจนเข่าแทบทรุด เว็บไซต์ต่างประเทศ ได้รายงานว่าในช่วงเช้าของวันหนึ่ง มีนักศึกษาหนุ่มหลายคนพาเพื่อนอายุ 19 ปี ที่เป็นลมหมดสติกะทันหัน มาที่โรงพยาบาล พวกเขาตะโกนเรียกหมอว่า “คุณหมอครับ ช่วยเขาที เขาเป็นลมหมดสติกะทันหันครับ” หลังจากถามอาการของคนไข้จากเพื่อน ๆอที่พามาส่งก็พบว่า คนไข้มีอาการขาซ้ายปวดและบวมในตอนตื่นนอน เพื่อน ๆที่นอนในห้องเดียวกันต่างคิดว่า เป็นเพราะเขาเหนื่อยและนอนหลับไม่ดี จึงมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากทุกคนแต่งตัวเสร็จ และกำลังจะไปกินอาหารเช้าก็พบว่าเขายังไม่ได้ลุกจากที่นอน และได้ยินเขาบอกว่าเขาปวดขาซ้ายมาก ๆ ให้ทุกคนช่วยส่งเขาไปโรงพยาบาลหน่อย และในระหว่างทางไปโรงพยาบาล เขาก็เป็นลมหมดสติไปทันที หมอตรวจพบว่าเขาเป็นโรคหลอดเลือดดำอุดตันอโรคหลอดเลือดดำอุดตัน เกิดจากลิ่มเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดดำ อาการนี้พบมากในบริเวณขาซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดหรือบวมของขาข้างนั้น ๆ ตั้งแต่น่องจนมาถึงต้นขาได้ เพื่อน ๆ ของเขาฟังแล้วรู้สึกตกใจ จึงรีบถามหมอว่า เหตุใดเขาถึงได้เป็นโรคนี้ หมออธิบายว่า สาเหตุก็เพราะว่า เขานั่งนานเกินไป การนั่งนาน ๆ นั้นจะทำให้กล้ามเนื้อไม่ได้ขยับติดต่อกันเป็นเวลานานและเลือดไม่สามารถไหลเวียนออกจากขาขึ้นมาสู่หัวใจได้ ทำให้เส้นเลือดดำในขาและเท้าเกิดการอุดตัน นักศึกษาคนนี้ชื่อ เซียว เขาติดเล่นเกม นั่งเล่นแทบไม่ขยับไปไหน ทุกคืนต้องเล่นยันตีสองตีสาม ถึงจะยอมไปนอน ส่วนสาเหตุที่เขาเป็นลมหมดสติ หมออธิบายว่า การที่เขานั่งเล่นเกมนาน ๆ ทำให้เป็นโรคหลอดเลือดดำอุดตัน และมีอาการหายใจไม่ออก สุดท้ายก็เป็นลมหมดสติไป พอหมออธิบายเสร็จ เพื่อนคนหนึ่งที่พามาส่งก็ต้องตกกะใจว่า “ผมเองก็ติดเล่นเกมเช่นกัน หลังจากนี้ไปคงไม่กล้านั่งเล่นนาน ๆ แบบนี้อีกแล้วล่ะ ภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน เป็นภาวะที่เป็นอันตราย มันสามารถหลุดไปยังบริเวณปอด ทำให้เกิดภาวะ ลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด ซึ่งมีอันตรายถึงชีวิต อาการของลิ่มเลือดอุดตันในปอด คืออาการหายใจไม่สะดวกเฉียบพลัน แน่นหน้าอกและเจ็บหน้าอกเป็นต้น การนั่งอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ เช่นการเดินทางบนเครื่องบิน หรือบนรถ สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ หมออธิบายต่อว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคลิ่มเลือดอุดตันในปอด มี 90% เกิดจากภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน และมีผู้ป่วย 80% เป็นโรคลิ่มเลือดอุดตันในปอด โดยจะเริ่มจากไม่มีอาการอะไรเลย โดยประมาณ 25% ของโรคลิ่มเลือดอุดตันในปอด พบว่ามีการเสียชีวิตเฉียบพลันก่อนที่จะได้รับการวินิจฉัย ลิ่มเลือดอุดตันในปอด เป็นภาวะแทรกซ้อนที่ต้องระวังให้มากที่สุด เกิดจากลิ่มเลือดกระจายไปอุดตันที่เส้นเลือดในปอดซึ่งส่วนมากมาจากเส้นเลือดดำที่ขา ภาวะนี้อันตรายถึงชีวิต ถ้าไม่ได้รับการรักษา โชคดีที่เพื่อน ๆ ส่งตัว เซียว มาโรงพยาบาลทันเวลา หลังจากได้รับการรักษาเขาก็เริ่มฟื้นตัว พอรู้อาการของตัวเองเข้า เขาถึงกับต้องตะลึงจนพูดซ้ำ ๆ ว่า “แม่เจ้า เกือบไปแล้ว หลังจากนี้ไปผมคงไม่กล้านั่งนาน ๆ อีก และก็ไม่กล้าเล่นเกมดึกอีกแล้ว” หมอแนะนำว่า ไม่ว่าจะทำงานหรือเรียน ควรหาเวลาพักผ่อน และออกกำลังกายด้วย จะได้มีสุขภาพที่แข็งแรง แต่สำหรับคนที่ต้องนั่งนาน ๆ ควรลุกขึ้นยืนและเดินทุก ๆ 2 ชั่วโมง ดื่มน้ำมาก ๆ ไม่ควรนั่งนานเกินไปและไม่ควรให้ร่างกายขาดน้ำ เพราะจะทำให้เลือดอุดตันได้ นอกจากนี้แล้วการนั่งนาน ๆ อาจจะส่งผลทำให้เกิดโรคพวกนี้ได้ : 1. การนั่งนานเกินไปจะทำให้เจ็บสะโพก โดยมีอาการตึงและขยับไม่ค่อยได้ เนื่องจากกล้ามเนื้อหดและตึงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้การเคลื่อนไหวสะโพกลำบากนี่เองที่เป็นสาเหตุสำคัญ ทำให้ผู้สูงอายุ ล้มได้ง่าย 2. เมื่อร่างกายอยู่นิ่งเป็นเวลานาน ๆ เลือดและออกซิเจนจะไหลเวียนผ่านสมองน้อยลง ส่งผลให้สมองทำงานช้าลง คนที่นั่งนาน ๆ จึงรู้สึกสมองตื้อ เฉื่อยชา เหนื่อยล้านอนไม่หลับ ความจำเสื่อม 3. การนั่งนานเกินไปทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง ก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่นท้องผูก จุกแน่น แสบร้อนหน้าอก ท้องอืดหรืออาจทำให้น้ำ หนักตัวเพิ่มขึ้นได้ 4. การนั่งจะสร้างแรงกดที่กระดูกสันหลัง มากกว่าการยืน และสุขภาพแผ่นหลังจะยิ่งแย่ หากคุณนั่งหลังค่อมหน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ 5. การนั่งนาน ๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ เต้านม และเยื่อบุโพรงมดลูก แม้กระบวนการเกิดยังไม่ทราบแน่ชัด ซึ่งอาจเกิดจากตับอ่อนผลิตอินซูลินมากเกินไป และไปกระตุ้นให้เซลล์เจริญเติบโต แต่ข้อเท็จจริง ก็คือ การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ จะกระตุ้นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ให้คอยกำจัดอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดเซลล์มะเร็ง ขอบคุณ:‭http://www.liekr.com/post_159433.htmlา
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ยึดเมืองหลวงคืนจากโควิดด้วยวัคซีนได้จริงหรือ วีระศักดิ์ จงสู่วิวัฒน์วงศ์ 17 กรกฎาคม 2564 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมบอกว่าการระบาดในประเทศใช้เวลาสามสัปดาห์ก็จะเพิ่มจำนวนรายงานผู้ป่วยเท่าตัว และคาดว่าจะถึงอย่างน้อยหมื่นรายต่อวันในตอนปลายเดือน วันนี้เพิ่งพ้นกลางเดือนวันหวยออกได้วันเดียว ยอดติดเชื้อก็ทะลุไปเป็นตัวเลขห้าหลักอย่างว่าแล้ว ผมคาดคะเนว่าเวลาเพิ่มจำนวนของจำนวนตายจากโควิดจะเพิ่มเท่าตัวโดยใช้เวลาเพียงสัปดาห์เศษ ๆ วันนั้นดูเหมือนตัวเลขอยู่แถวห้าสิบตอนนี้ตัวเลขก็ทะลุเป็นเลขสามหลักเป็น 141 แล้ว สรุปแล้วผมคาดผิด ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะวันนี้ตัวเลขสวิงขึ้นสูงโดยบังเอิญ ถ้าเป็นเช่นนั้นพรุ่งนี้มะรืนนี้ตัวเลขจะลดกลับลงไป อีกส่วนหนึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าเวลาที่ใช้ในการเพิ่มเท่าตัวสั้นกว่าเมื่อเดือนที่แล้วจริง ๆ เราเพิ่งจะล็อคดาวน์กันมาไม่กี่วัน ผลของการตรวจพบเชื้อในวันนี้มาจากการแพร่เชื้อติดเชื้อก่อนหน้านี้ 4-5 วัน ส่วนจำนวนตายน่าจะเป็นผลจากการติดเชื้อแพร่เชื้อเมื่อสองสามสัปดาห์ที่แล้ว ถ้ากระบวนการล็อคดาวน์ได้ผล เราจะเห็นตัวเลขการติดเชื้อหยุดเพิ่มก่อน คงอีกราว 1 สัปดาห์ และกว่าตัวเลขคนตายจะหยุดเพิ่มอาจจะต้องใช้เวลาราว 3 สัปดาห์ขึ้นไป กล่าวกันว่า กทม. เป็นศูนย์กลางของการระบาด ความเร็วในการเพิ่มเท่าตัวก็สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ ผมมีข้อสังเกตสองสามประการสำหรับผู้รับผิดชอบและประชาชน ฝากพวกเราตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วย นอกจากจังหวัดภูเก็ตซึ่งประชาชนได้รับวัคซีนสองเข็มไปกว่า 70% แล้ว สถิติต่าง ๆ บ่งบอกว่าอันดับสองของความครอบคลุมการรับวัคซีน คือ กทม. ถ้าเอาจำนวนคนฉีดวัคซีนใน กทม. หารด้วยประชากรในทะเบียนบ้าน จะได้ค่าระหว่าง 40-60% ซึ่งระดับนี้ถือว่าน่าพอใจ และวันนี้ได้ข่าวว่าตั้งเป้าจะฉีดให้ได้วันละหนึ่งแสนโดส ถ้าได้อย่างนี้จริงจะช่วยเสริมแรงการล็อคดาวน์ได้มาก เพราะถ้าไม่ฉีดวัคซีนให้มากพอ ตอนคลายล็อคก็จะเกิดการระบาดอีก ปรกติถ้าฉีดวัคซีนได้ถึง 50% ขึ้นไป เราจะเห็นการระบาดชะลอลง แต่ทำไมใน กทม. ที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ทำไมเราไม่เห็นแบบนั้น ผมมีคำอธิบายอื่น ๆ ซึ่งอาจจะถูกบ้างผิดบ้าง โปรดช่วยกันตรวจสอบครับ ผมคิดว่าที่ผ่านมาไม่มีใครรู้ว่าประชากร กทม. ที่แท้จริงอยู่ที่กี่ล้านคนเพราะปริมณฑลและเมืองบริวารกว้างขวางมาก ผู้คนเดินทางเข้า ๆ ออก ๆ การฉีดวัคซีนในกทม. อาจจะไม่ได้จำกัดเฉพาะคนที่มีทะเบียนบ้านอยู่ กทม. ทำให้คนรอบนอกเดินทางเข้ามาฉีดได้โดยไม่ยาก ถ้าคนที่ได้วัคซีนไปเป็นคนรอบนอกเสียเยอะ วัคซีนที่ฉีดไปก็คงจะไม่มีค่อยมีผลป้องกันกลุ่มเป้าหมายใน กทม. กลุ่มเป้าหมายหลักของระบบสาธารณสุข มีชื่อย่อ ๆ ว่า 607 หมายถึงคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปและมีโรคเรื้อรังประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ฯลฯ 7 โรค ปรากฏว่ากลุ่มนี้ฉีดวัคซีนได้ต่ำกว่าเป้าทั่วประเทศ แม้แต่จังหวัดภูเก็ตที่ได้ชื่อว่าฉีดวัคซีนได้มาก ก็ครอบคลุมผู้สูงอายุได้เพียง 10% เท่านั้น (เพราะช่วงนั้นฉีดวัคซีนไซโนแวค ต้องอายุต่ำกว่า 60 ปี) จังหวัดที่ฉีดวัคซีนครอบคลุมผู้สูงอายุได้ดีที่สุด คือ สมุทรสาคร ก็ได้เพียง 15% ส่วน กทม. ฉีดผู้สูงอายุได้เพียง 3.14% และ กลุ่ม 7 โรคเรื้อรังได้เพียง 3.8% ของเป้าหมายเท่านั้น ตัวเลขที่ฉีดวัคซีนประชากรได้ดูเหมือนมาก แต่ ฉีดกลุ่มเป้าหมายหลักได้เพียงนิดเดียว น่าจะอธิบายสาเหตุของไอซียูและเครื่องช่วยหายใจไม่พอได้ระดับหนึ่ง ถ้ายังคงใช้ยุทธวิธีที่สะดวกแบบเดิมอยู่แบบนี้เพียงอย่างเดียว วัคซีนคงไม่ช่วยทำให้คลายล็อควัคซีนได้เท่าไรนัก การเปิดให้จองโดยระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต สะดวก รวดเร็วทั้งผู้รับและผู้ให้บริการ แต่ต้องเป็นผู้รับบริการที่รอบรู้ หูไวตาไว ใช้แอปเก่ง ๆ หรือที่เรียกว่า The Have Net ส่วนพวกที่ช้าหน่อยเข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสารและเท็คโนโลยี หรือที่เรียกว่า The Have Not ก็จะไม่ค่อยได้รับวัคซีน The Have Net จากรอบนอกเข้าถึงวัคซีน The Have Not ในกทม.เอง เข้าไม่ถึง เราก็แก้ปัญหา กทม. ไม่ได้ เวลาพวกเราคนต่างจังหวัดพูดถึง กทม. เรานึกถึง พื้นที่เศรษฐกิจที่มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ภาพพวกนั้นปิดบังกลุ่มคนยากจนที่อยู่ตามหลืบ ซอกซอย ชุมชนคนกลุ่มน้อย คนขายแรงงาน แคมป์คนงานก่อสร้าง ฯลฯ คนพวกนี้ คือ The Have Not ซึ่งเป็น Social Pathology หรือสภาพสังคมที่เจ็บป่วยอมโรคของเมืองหลวง ผมเชื่อว่าคนพวกนี้เข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสาร บริการสาธารณสุขโดยเฉพาะการฉีดวัคซีนซึ่งต้องการการแข่งขันอย่างสูง เมื่อป่วยก็จะไม่สามารถร้องเรียนกับผู้ใดได้ การแยกตัวของสมาชิกออกจากครัวเรือนไม่ให้แพร่โรคน่าจะลำบากมาก เป็นที่น่ายินดีที่ทางราชการจะได้จัดหน่วยเคลื่อนที่ออกไปยังชุมชน ไปเยี่ยม The Have Not เหล่านี้ และคงเอาวัคซีนไปฉีดให้เป้าหมาย 607 ด้วย แต่ก็คงไม่ง่ายนักที่จะฉีดให้ได้จำนวนมาก ๆ เพราะอาจจะหาสถานที่ที่เหมาะสมในการฉีดวัคซีนได้ลำบาก การจัดพยาบาลเข้าฉีดวัคซีนตามบ้านจะมีต้นทุนด้านเวลาสูงมาก เป้าหมายที่ตั้งว่าจะได้วันละแสนคนไม่น่าจะทำได้จริง หน่วยสาธารณสุขเคลื่อนทีเก่ง ๆ เหมือนหน่วยซีลทางทหาร คือ รบได้ทุกภูมิประเทศ ทั้งอากาศ ทะเล และ บนบก แต่ไม่สามารถยึดพื้นที่ได้ หน่วยแบบนี้จึงมีข้อจำกัด เมื่อ ห้าสิบปีที่แล้ว ในชนบทเราก็มีหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เอาไว้ปฏิบัติการจิตวิทยา (ปจว) แสดงว่าทางการไม่ทอดทิ้งประชาชน มีความเมตตากรุณาสงสาร แต่ปัจจุบันนี้ เราสาธารณสุขปฐมภูมิครอบคลุมทุกพื้นที่ มีเครือข่าย อสม. โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล (สถานีอนามัยเดิม) ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ประจำถึง 4-5 คน นี่คือ กองร้อยทหารราบที่ประจำการ ปกป้องโรคภัย เขาดูแลตัวเองกันได้ ไม่ต้องรอความเมตตาจากคนนอก ผมไม่แน่ใจว่าเครือข่ายแบบนี้ในเมืองหลวงทำได้ดีเพียงไร การทำงานของหน่วยราชการโดยเฉพาะการควบคุมการระบาดของโควิดและการระดมฉีดวัคซีนโดยไม่มีประชาชนช่วยจัดตั้งน่าจะทำไม่ได้ผล ในช่วงล็อคดาวน์ เราต้องใช้ทหารราบ พลเดินเท้า และหน่วยประจำการทางสาธารณสุขจำนวนมหาศาล ทำงานสร้างพลัง (empower) ให้ประชาชนในชุมชนยากไร้ในเมืองหลวง ลุกขึ้นยืนหาทางช่วยตัวเองร่วมมือกับทางราชการแก้ปัญหาต่าง ๆ โดยเฉพาะฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุด เพื่อยึดเมืองหลวงคืนจากโควิดให้ได้
    ไม่ระบุชื่อ
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false