1 คนสงสัย
ทานมังสวิรัติเคร่งครัด ดีต่อสุขภาพ
admin
 •  4 ปีที่แล้ว
meter: false
1 ความเห็น
ช่วยระบุหมวดหมู่ของข้อความนี้ให้หน่อย
เลือกให้น้อยที่สุด (ถ้าเป็นไปได้)
admin เลือกให้ข้อความนี้❌ มีเนื้อหาที่หลอกลวง

เหตุผล

การทานมังสวิรัติอย่างเคร่งครัดเสี่ยงต่อการขาดแคลเซียมและวิตามินดี จะกินมังสวิรัติ ให้ได้สารอาหารเพียงพอ ควรทานให้หลากหลายตื่นเช้าออกกำลังกาย

ที่มา

https://www.dailynews.co.th/article/753930

เพิ่มความเห็นใหม่

กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 1 คนสงสัย
    คนปลูกเห็ดไม่กินเห็ด คนขายเห็ดไม่กินเห็ด เห็ดมีอันตรายจริงหรือ
    คนชอบกินเห็ดต้องอ่านให้จบ คนปลูกเห็ดไม่กินเห็ด ? คนขายเห็ดไม่กินเห็ด ? เห็ดนานาชนิด ที่เรารู้จักและคนก็ชอบกิน เพราะรสชาติที่อร่อยกินง่าย และเรารู้แต่ประโยชน์ที่มีอยู่ในเห็ดมากมาย แต่เราไม่เคยรู้ถึง....ผลเสียของเห็ด หมายเหตุ เห็ดที่พูดถึงนั้นไม่ได้หมายถึง ทุกโรงเพาะเห็ดหรือเห็ดทั้งหมด แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า เห็ดชนิดใดที่ปลอดภัย จึงอยากให้ทุกคนโปรดใคร่ครวญพิจารณา ยังไม่มีนักวิชาการคนใด พูดถึงผลเสียของเห็ด เราจะรู้กันแต่ประโยชน์ของเห็ด โดยเฉพาะถ้าเรากินเห็ด 3 ชนิดจะช่วยป้องกันมะเร็งและมีผลดีต่อสุขภาพ แต่เราไม่เคยรู้ที่มาที่ไป จากผลเสียที่ติดมากับเห็ดเลย จนมาวันนี้ ได้คุยกับคนขายเห็ดโดยเฉพาะเห็ดนางฟ้า วันนี้เรื่องราวที่จะมาเล่า. คำพูดคือความจริงทุกคำ ถ้าผู้อ่านช่วยส่งต่อเอาบุญ จะเป็นประโยชน์อย่างมาก ขอให้ทุกคนที่ชอบกินเห็ด ได้ป้องกันที่ตัวเรา ว่าเราควรจะกินเห็ดต่อไปหรือจะเลิกกินเห็ด จะได้ป้องกันตนเองจากโรคร้ายที่จะตามมาจากรูปแบบที่เราคาดไม่ถึง จากการได้คุยเปิดใจ กับคนขายเห็ดหรือคนเพาะเห็ดขาย คุณมนัสมีอาชีพขายเห็ด ขายส่งต่อกับพ่อค้าแม่ค้าต่าง ๆ ทั่วประเทศ ทำมาจนเข้าปีที่ 20 สิ่งหนึ่งที่รู้ในใจคือ จะไม่ให้ลูกและครอบครัวตัวเองกินเห็ดที่ขายเลย จนกระทั่งผลที่สุด....ร่างกายตัวเองทรุด หมดเรี่ยวหมดแรง ทั้งที่ไม่มีโรคประจำตัว เป็นมาแบบนี้มาเป็นเดือน ๆ จนไปให้หมอตรวจร่างกาย หมอบอกว่ามีเชื้อมะเร็งในกระแสเลือด แต่หาจุดที่เป็นไม่เจอ แต่ฟังจากหมอพูดว่า มะเร็งถ้าเป็นระยะที่ 1 หรือที่ 2 คงไม่พบ นี่อาจจะเป็นระยะ 3 หรือ 4 แต่หมอก็ยังเช็คไม่ได้ว่าเป็นตรงไหน คุณมนัสก็กลับบ้านมาด้วยใจหดหู่หมดกำลังใจ แต่มีลูกที่น่ารักถึง 7 คน มีภรรยาที่น่ารัก แม่พ่อและญาติที่รักอีกหลายชีวิต ที่จะทำให้ต้องสู้กับโรคร้าย จนกระทั่งคุณมนัสได้เปิดใจ เล่าให้ฟังถึงเรื่องราวที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อนเลยคือ สาเหตุที่ทำให้เป็นมะเร็ง คือน่าจะมาจากสาเหตุ จากการสูดดมสารในตัวเห็ดที่ตัวเองต้องทำขายทุกวันนั้นเอง เราถามว่าทำไมถึงทำให้คิดอย่างนั้น คุณมนัสเลยเล่าให้ฟังว่า การปลูกเห็ดนางฟ้าหรือเห็ดเข็ม จะต้องใช้ยาฆ่าหนอนหรือยาฆ่าแมลง และต้องใช้เป็นจำนวนมากทุกรอบ ที่ต้องการผลผลิตที่มากและดี ต้องไม่ให้มีหนอนและแมลง แล้วคุณมนัสไม้รู้หรือถึงได้เอามาขาย คุณมนัสตอบรู้ครับ เลยไม่ให้คนในครอบครัวกินเลย รวมทั้งเพื่อนพ้องที่ตัวเองรักก็ไม่แนะนำให้กิน เพื่อนบางคนถามผมว่า ทำไมไม่เอาเห็ดมาฝากบ้าง ทั้งที่มีอาชีพขายส่งเห็ด ในใจผมรู้แต่ไม่รู้จะตอบเพื่อนว่าไง แต่ไม่เคยเอาเห็ดนางฟ้าไปฝากใครเลย จนมาวันนี้เหมือนกับว่า สิ่งที่เจอจะเป็นเวรกรรมที่เราไม่ได้ตั้งใจหรือไม่ ที่มาทำให้เป็นมะแร็ง ทั้งที่ไม่ได้กินเห็ดนางฟ้า ครอบครัวก็ไม่เคยกินเห็ดนางฟ้าหรือเห็ดเลย แต่ส่งขายให้คนกินทั้งประเทศ เวรกรรมจะมาย้อนที่หรือไม่ จึงถามไปว่าทำไมถึงคิดอย่างนั้น คุณมนัสเล่าต่อว่า ก่อนที่จะเป็นแบบนี้ เขาได้เห็นเจ้าของโรงเพาะเห็ด ที่ส่งเห็ดมาให้เป็นประจำ เป็นมะแร็งเต้านมและตัดเต้านมไปแล้ว และก็ไม่รู้ว่าจะหายหรือไม่ และลูกน้องที่ทำงานกับโรงเพาะเห็ด ก็มีอาการเจ็บป่วยไปทีละคนสองคนอย่างต่อเนื่อง และทุกคนที่ทำงานโรงเพาะเห็ด แต่ละคนมีสุขภาพไม่ดีกันเกือบทุกคน คุณมนัสไม่ได้เพาะเห็ดเอง แต่ผมเป็นผู้รับมาจำหน่ายต่อ ซึ่งล่าสุดก็มาพบเชื้อมะเร็งในกระแสเลือด จากนั้นจึงตั้งคำถามไปว่า เพราะอะไรที่ทำให้ทุกคนที่ทำงานตรงจุดนี้ จึงมีร่างกายไม่แข็งแรง คุณมนัสเลยเล่าให้ฟังว่า การเพาะเห็ดต้องใช้ยาสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหนอนอย่างมาก อาจจะเป็นเพราะเจ้าของโรงงานเพาะเห็ดและลูกน้อง ต้องสูดดมสารเคมีเหล่านั้น ถึงแม้คนปลูกเห็ดจะไม่กินเห็ด คนขายเห็ดไม่กินเห็ด แต่การสูดดมสารพิษพวกนี้ทุก ๆ วัน. มันก็สะสมในร่างกาย พอสะสมมาก ๆ ทุกวัน ๆ เลยมาแสดงอาการตอนมันเต็มที่แล้ว เมื่อขายเห็ดให้คนกินทั้งประเทศ แล้วผลเสียที่มีต่อคนอื่นต่อประชาชนคนที่ไม่รู้ เราก็จะเป็นบาปโดยที่ไม่รู้ตัวไหม เลยย้อนถามคุณมนัสว่า คุณมนัสเชื่อเรื่องเวรกรรมไหม โดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวร คุณมนัสตอบมาวันนี้เข้าใจและเชื่อเรื่องเวรเรื่องกรรม หลังจากเจอด้วยตัวเอง และคุณมนัสฝากบอกมาว่า ให้ประชาชนทุกคนจงรู้ว่า เห็ดถึงมีประโยชน์มาก แต่ก็มีโทษที่แอบแฝงมามากเช่นกัน เพราะถ้าคนที่เพาะเห็ดขายเพื่อหาผลกำไรมาก หรือต้องการกำไรมาก ก็จะใช้ยาฉีดที่เป็นอันตรายมากต่อสุขภาพ โดยเฉพาะคนที่ชอบกินเห็ด เริ่มแรกอาจมีผลข้างเคียง แต่นานไปถ้าสะสมมาก ๆ ก็จะเป็นเหมือนเจ้าของโรงเพาะเห็ดและคุณมนัสผู้ขายส่งต่อ หรือคนใกล้ชิดที่ทำอาชีพนี้ ซึ่งแต่ละคนก็มีสุขภาพที่ย่ำแย่กันทุกคน เรื่องราวที่เล่าให้ฟังนี้ ขอให้ประชาชนผู้บริโภค ได้เตรียมพร้อมและรู้ทัน ว่าควรกินเห็ดต่อหรือควรหลีกเลี่ยงการกินเห็ด เนื่องจาก คนปลูกเห็ดไม่กินเห็ด คนขายเห็ดไม่กินเห็ด เพราะแบบนี้นี่เองหรือ โปรดส่งต่อเป็นวิทยาทาน
    Mrs.Doubt
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ลองดู สัก 1 เดือนไม่เสียเงิน / กลุ่มแพทย์ชาวญี่ปุ่น ยืนยันว่า "น้ำอุ่น"มีประสิทธิภาพ ในการแก้ปัญหาสุขภาพได้ 100% เช่น: 1 ไมเกรน 2 ความดันโลหิตสูง 3 ความดันโลหิตต่ำ 4 อาการปวดข้อ 5 เพิ่มขึ้นและลดลง ของการเต้นของหัวใจ อย่างฉับพลัน 6 โรคลมชัก 7 เพิ่มระดับคอเลสเตอรอล 8 ไอ 9 ไม่สบายตัว 10 หอบหืด 11 ไอแบบช่วง 12 การอุดตันของหลอดเลือดดำ 13โรคที่เกี่ยวข้องกับมดลูกและปัสสาวะ 14 ปัญหาในกระเพาะอาหาร 15 การย่อยอาหารไม่ดี 16 โรคที่เกี่ยวข้องกับดวงตา หู และลำคอ 17 ปวดศีรษะ #ใช้น้ำอุ่นอย่างไร# ลุกขึ้นในตอนเช้า และดื่มน้ำอุ่นประมาณ 4 แก้ว เมื่อท้องว่างเปล่า คุณอาจจะไม่สามารถที่จะทำให้ได้ 4 แก้วในตอนที่เริ่มต้น แต่ไม่ช้าคุณจะทำได้..... #หมายเหตุ: อย่าพึ่งกินอะไรตามหลังจากดื่มน้ำผ่านไป 45 นาที การบำบัดด้วยน้ำอุ่นจะช่วยแก้ปัญหาสุขภาพภายใน หรืออาการทัองผูก เช่น ○โรคเบาหวาน ภายใน 30 วัน ○ความดันโลหิต ใน 30 วัน ○ปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ใน 10 วัน ○มะเร็งทุกชนิด ภายใน 9 เดือน ○การอุดตันของเส้นเลือด ใน 6 เดือน ○การย่อยอาหารไม่ดี ใน 10 วัน ○มดลูกและโรคที่เกี่ยวข้อง ใน 10 วัน ○ปัญหาจมูกหูและลำคอ ใน 10 วัน ○ปัญหาผู้หญิง ใน 15 วัน ○โรคหัวใจ ใน 30 วัน ○ปวดหัว / ไมเกรน ใน 3 วัน ○คอเลสเตอรอล ภายใน 4 เดือน ○โรคลมชักและอัมพาตอย่างต่อเนื่อง เป็นเวลา 9 เดือน ○หอบหืด ภายใน 4 เดือน #พึงระลึกไว้เสมอว่า น้ำเย็นจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณ หากน้ำเย็นไม่ส่งผลต่อคุณในวัยเด็ก ก็จะเป็นอันตรายต่อคุณในวัยชรา #น้ำเย็นจะปิด 4 หลอดเลือดดำของหัวใจและทำให้หัวใจวาย เครื่องดื่มเย็นเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดอาการหัวใจวาย #นอกจากนี้ยังสร้างปัญหาในตับ ทำให้ไขมันติดอยู่กับตับ คนส่วนใหญ่รอการปลูกถ่ายตับเป็นเหยื่อของการดื่มน้ำเย็น #*น้ำเย็นส่งผลกระทบต่อผนังภายในของกระเพาะอาหาร มีผลต่อลำไส้ใหญ่ และส่งผลต่อมะเร็ง ##โปรดอย่าเก็บข้อมูลนี้ไว้ เพื่อตัวคุณเอง บอกให้ใครบางคนซึ่งอาจช่วยชีวิตคนอื่นได้น
    ไม่ระบุชื่อ
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    แพทย์หลายท่านชี้ว่าคนวัยเกษียณ (ผู้สูงวัย) ควรจะพูดคุยให้มากขึ้น เพราะขณะนี้ยังไม่มีทางรักษาและป้องกันรักษาโรคความจำเสื่อมได้เลย ทางเดียวที่ช่วยได้คือ การพูดคุยสนทนาให้มากขึ้น
    LINE กลุ่มคนแก่ชักสำคัญขึ้นมาแล้ว แพทย์หลายท่านชี้ว่าคนวัยเกษียณ (ผู้สูงวัย) ควรจะพูดคุยให้มากขึ้น เพราะขณะนี้ยังไม่มีทางรักษาและป้องกันรักษาโรคความจำเสื่อมได้เลย ทางเดียวที่ช่วยได้คือ การพูดคุยสนทนาให้มากขึ้น... การพูดคุยมีประโยชน์ต่อผู้สูงวัยอย่างน้อย 3 ประการ ประการแรก การพูดกระตุ้นและทำให้สมองมีความคล่องแคล่ว เพราะภาษากับการคิดจะสื่อสารระหว่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาพูดเร็วซึ่งส่งผลโดยธรรมชาติให้เกิดปฏิกริยาการคิดที่เร็วขึ้นและเพิ่มความจำ บรรดาผู้สูงวัยทั้งหลายที่ไม่พูดคุยมีแนวโน้มสมองเสื่อม ประการที่สอง การพูดช่วยคลายความเครียดได้มากที่เดียว ช่วยไม่ให้เป็นโรคจิตและลดความเครียด บ่อยครั้งเราไม่พูดแต่จะเก็บกดไว้ในใจเรา นี่เป็นความจริง ด้วยเหตุนี้จะเป็นการดีที่จะให้โอกาสผู้สูงวัยทั้งหลายได้พูดมากขึ้น ประการที่สาม การพูดช่วยให้กล้ามเนื้อบนใบหน้า ทรวงอกได้ขยับตัวออกกำลังและเพิ่มสมรรถภาพของปอด ในขณะเดียวกันการพูดลดความเสี่ยงของการเสื่อมในดวงตาและหู รวมถึงความเสี่ยงที่แฝงมาเช่น ทำให้เวียนศรีษะและหูหนวก สรุปสั้น ๆ ได้ว่าสำหรับ คนวัยเกษียณหรือบรรดาผู้สูงวัยทั้งหลาย ทางเดียวที่จะป้องกัน โรคอัลไซเมอร์ คือ การได้พูดคุยสนทนากับผู้คนเท่าที่จะมากได้ และสนทนาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ไม่มีวิธีอื่นใดจะรักษาโรคนี้ได้เท่ากับการพูดคุย ดังนั้น ขอให้เราพูดคุยกันมากขึ้นและกระตุ้นให้ผู้สูงวัยท่านอื่น ๆ พูดคุยสนทนากับญาติมิตรและคนรอบข้างมากขึ้น ข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์และดีต่อสุขภาพ ส่งผลดีต่อชีวิตและคุณภาพประชากรสูงวัยของชาติต่อไป กรุณาส่งให้ผู้สูงวัยท่านอื่น ๆ ด้วยจ้า Cr : ขอขอบพระคุณ ดร.บรรจง ชมภูวงศ์
    Mrs.Doubt
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    หัวไชเท้า ❤ เมื่อทานผักผลไม้และสมุนไพรได้ อาหารเสริมจึงไม่ได้มีความจำเป็นอีกต่อไป เพราะอาหารเสริมก็สกัดมาจากพืชผัก ผลไม้และสมุนไพรเช่นเดียวกัน ตามคำนิยามที่ว่า ทานอาหารเป็นยานั่นเอง สำหรับหัวไชเท้านี้เป็นอาหารทางการแพทย์ที่มีมากเป็นอันดับสองของโลก เป็นผักตระกูลกระหล่ำ ความพิเศษและแตกต่างจากไม้ตระกูลกะหล่ำที่เหลือคือ หัวไชเท้ามีองค์ประกอบสองส่วน คือมีรากและหัวไชเท้าช่วยเติมเต็มระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อเราทานเข้าไป กำมะถันที่มีอยู่ในหัวไชเท้าจะขับไล่เชื้อโรคทุกชนิดและทำหน้าที่เป็นมูลไส้เดือน มันจะช่วยฆ่าหนอนพยาธิในลำไส้และปรสิตอื่น ๆ ทั้งหมดได้อีกด้วย หัวไชเท้ามีส่วนประกอบของ ออร์กาโนซัลเฟอร์ช่วยให้หลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำสะอาดและสร้างเกราะป้องกันในตัวเพื่อป้องกันไม่ให้คราบจุลินทรีย์เกาะติดกับเยื่อบุ หัวไชเท้าช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยป้องกันโรคหัวใจและปัญหาหลอดเลือดหัวใจอื่น ๆ ได้ดี เพราะหัวไชเท้าช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอล ชนิดที่ดี และลดคอเลสเตอรอล ชนิดที่ไม่ดี หัวไชเท้าช่วยขับไล่มะเร็งได้เกือบทุกชนิด เพราะสามารถฟื้นฟูไต ตับ ตับอ่อน และม้ามได้เป็นอย่างดี ใบของหัวไชเท้าไม่ต้องทิ้งเพราะเป็นหนึ่งในอาหารรักษาร่างกาย ที่ดีมาก เช่นกัน เพราะใบไม้หัวไชเท้าเป็นพรีไบโอติกที่มีประสิทธิภาพมากเป็นอันดับสองรองจาก บลูเบอร์รี่ป่า เลยทีเดียว ทั้งหัวไชเท้าและใบและมีสารอาหารจำนวนมาก เช่น วิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ ไฟโตเคมิคอล และอัลคาลอยด์ ต้านมะเร็ง และมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ช่วยซ่อมแซมลำไส้ใหญ่ และส่วนอื่น ๆ ของลำไส้ที่สูญเสียความสามารถในการดูดซึมสารอาหาร สารอาหารของมันนั้นถูกดูดซึมโดยระบบย่อยอาหารที่ทำงานผิดปกติมากที่สุด และดูดซึมได้ดีกว่าอาหารอื่น ๆ เนื่องจากมีเอนไซม์สูง จริง ๆ แล้ว ใบหัวไชเท้าเป็นอาหารป่า แม้ว่าจะปลูกในสวนหรือในฟาร์มก็ตาม ใบไม้เหล่านี้ช่วยกำจัดสารพิษทั้ง 4 อย่างออกจากร่างกาย คือ กำจัดดีดีที รังสี โลหะหนัก ไวรัส ทานได้ทั้งสดและต้มใส่ซุบน้ำก๋วยเตี๋ยวต้มจืดหรือแกงส้ม ส่วนทานสดโดยจิ้มน้ำพริกหรือทานกับชูชิ ปั่นดื่มจะดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำความสะอาดโลหะหนักในระดับที่รุนแรง และกำจัดสารปรอท ตะกั่ว สารหนู และอะลูมิเนียมออกจากร่างกาย มีพลังเกือบเท่าผักชี ใบและหัวไชเท้าช่วยป้องกันโรคทางระบบประสาทรวมถึงโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง เอแอลเอส ( ALS ) และโรคไลม์ ( Lyme ) ทางระบบประสาท หัวไชเท้าจึงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผักใบที่ทรงพลังที่สุดสำหรับสุขภาพของผู้คนนั่นเอง โดย Boos Day ❤
    ไม่ระบุชื่อ
     •  6 เดือนที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    (มะนาว)(มะนาว)(มะนาว)(มะนาว)(มะนาว)(มะนาว) ที่บ้าน ท่านปลูก มะนาวหรือยัง ศ.นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ อดีตคณบดีเเพทย์ศิริราช.ได้แนะวิธีทำน้ำด่างทานง่ายๆ (น้ำมะนาวแช่ใส่น้ำเย็น/โซดา ) ตัดชิ้นบางๆของมะนาว🍋ใส่ในแก้ว(มะนาว)หรือโถ แล้วดื่มมันจะกลายเป็นน้ำที่มีความเป็นด่างสูงมาก เชื้อโรคในร่างกายไม่สามารถเติบโตในสภาพที่มีความเป็นด่าง ดังนั้น การทานน้ำด่างทุกวัน จึงช่วยทำลายเชื้อโรค ดื่มน้ำด่างจะทำให้มีสุขภาพดีขึ้นมาก สถาบันทางวิทยาศาตร์อนามัย ระบุว่า นี่คือยาที่มีผลต่อมะเร็งดีเยี่ยมล่าสุดของโลก มะนาว(มะนาว)(มะนาว)เป็นผลไม้ที่มหัศจรรย์มากที่สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้เป็น 1หมื่นเท่ามากกว่า-เคโมเทอราฟี .. ทำไมเราไม่รู้เรื่องนี้เลย เพราะว่า ปฏิบัติการห้องแล็บส่วนใหญ่นั้นไม่ยอมพูดเรื่องนี้เพราะมันจะทำให้สูญเสียผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ไป เราท่านทั้งหลายสามารถช่วยเพื่อนท่านได้ ในการบอกให้เขาหรือเธอเหล่านั้น ว่า (มะนาว)น้ำมะนาวนั้น มีประโยชน์ยิ่งในการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ มีรสชาติที่ดี และไม่มีผลข้างเคียงเหมือนการฉีดคีโมฯ คนมากมายอาจตาย ในขณะที่ความลับที่ป้องกันมะเร็งนี้ได้ถูกเก็บงำเอาไว้ เพื่อไม่ให้ต้องการทำลายผลประโยชน์ นับล้านๆ ของบริษัทยาใหญ่ๆ ทราบไหมว่า (มะนาวแป้น มะนาวทุกชนิด) ท่านจะกินมะนาวเหล่านี้ในวิธีต่างๆก็ได้ เช่น กินเปลือก กินน้ำ หรือคั้น หรือเตรียมเป็นเครื่องดื่มใดๆ ก็ตาม แต่ที่เราชอบ และมันทำได้หลายอย่าง แต่ถ้าดื่มน้ำ(มะนาว)มะนาวผสมกับโซดาจะทำให้น้ำมะนาว ดูดซึมเข้าร่างกายได้ดียิ่งขึ้น ที่น่าสนใจ คือ มันขจัด ซีสต์ได้ (ก้อนเนื้อร้าย) .. ผลไม้ชนิดนี้ พิสูจน์แล้วว่า สามารถต่อต้านมะเร็งได้ อย่างดีเยี่ยม มีคนกล่าวไว้ว่า (มะนาว)มันมีผลประโยชน์ในการกำจัดมะเร็งหลายชนิด (มะนาว)ป้องกันการอักเสบของเชื้อแบตทีเรีย เชื้อราได้ (มะนาว)สามารถที่จะต่อต้านพาราไซส์ที่อยู่ข้างใน (มะนาว)ทำให้เกร็ดลือดที่สูงเกินไปหรือต่ำเกินไป เข้าสู่ภาวะปกติ (มะนาว)ทำให้คลายเครียด (มะนาว)ต่อต้านโรคประสาท (มะนาว)ป้องกันโรคฟุ้งซ่าน ข่าวสารเรื่องนี้มาจากบริษัทผลิตยาขนาดใหญ่มากกว่า 20 บริษัทในโลกได้ทำการทดลองเรื่องนี้ผลการทดลองเปิดเผยออกมาได้ว่า (มะนาว)มะนาวสามารถทำลาย มะเร็งเนื้อร้ายที่รุนแรงได้ถึง 12 ชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง - มะเร็งลำไส้เล็ก - มะเร็งเต้านม - มะเร็งต่อมลูกหมาก - มะเร็งปอด - มะเร็งตับอ่อน (มะนาว)ส่วนผสมของไซทัสหรือมะนาว มีความสามารถในการทำลายมะเร็งได้มากกว่ายาที่ใช้การทำคีโมทำให้การเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งหยุดอยู่กับที่(คงที่) นอกจากนี้มันยังเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจมากในการรักษาด้วยมะนาวนี้ สามารถทำลายต่อต้านมะเร็งได้อย่างรุนแรง โดยไม่มีผลข้างเคียง มาดื่มน้ำมะนาวกันเถอะ ส่งให้คนที่รักนะ แต่ถึงเกลียดก็ส่งเถอะได้บุญใหญ่หลวงนะ
    ไม่ระบุชื่อ
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    จริงหรือไม่? "ดื่มน้ำอัดลมมาก เสี่ยงฟันผุ"
    จริงหรือไม่? "ดื่มน้ำอัดลมมาก เสี่ยงฟันผุ" กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้เตือนคนไทยดื่มน้ำอัดลมมาก จะส่งผลต่อสุขภาพช่องปาก เป็นต้นเหตุของการเกิดฟันสึกกร่อนมากที่สุด และเสี่ยงเกิดโรคฟันผุและโรคอ้วนตามมาได้ แนะนำควรดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน ดีที่สุด พร้อมแปรงฟันด้วยสูตร 2-2-2 เพื่อสร้างสุขภาพช่องปากที่ดี นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำจะส่งผลเสียต่อร่างกาย ได้แก่ ฟันสึกกร่อน ฟันผุ อ้วน กระดูกพรุน และกระดูกเปราะ เนื่องจากน้ำหวานชนิดอัดลมมีกรดคาร์บอนิกค่อนข้างมาก ซึ่งสารดังกล่าวจะกีดขวางการดูดซึมแคลเซียมของกระดูก และยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ เพราะร่างกายจะหลั่งสารอินซูลินออกมามากเกินจำเป็น ซึ่งในระยะยาวร่างกายจะผลิตอินซูลินได้น้อยลง จนทำให้ร่างกายเกิดโรคเบาหวานโดยไม่รู้ตัว ซึ่งน้ำอัดลม 1 กระป๋อง (ขนาด 325 ซีซี) มีปริมาณน้ำตาล 8-12 ช้อนชา จะเท่ากับน้ำตาลในลูกอม จำนวน 17 เม็ด หากกินรวมกันหลายอย่างอาจทำให้ได้รับน้ำตาลมากเกินความต้องการของร่างกาย และเกินมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนดว่าร่างกายควรได้รับน้ำตาลไม่เกิน 24 กรัมต่อวัน หรือปริมาณ 6 ช้อนชา นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า น้ำอัดลมยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดฟันสึกกร่อนได้มากที่สุด เพราะนอกจากน้ำอัดลมจะมีกรดคาร์บอนิกแล้ว ยังมีส่วนประกอบคือน้ำตาลกับน้ำ หากไม่มีการทำความสะอาดช่องปากและฟันจะก่อให้เกิดฟันผุได้ จากผลการสำรวจสภาวะทันตสุขภาพประเทศไทยครั้งที่ 8 พ.ศ. 2560 พบว่า เด็กเล็กอายุ 5 ปี มีฟันน้ำนมผุร้อยละ 75.6 เด็กวัยเรียนอายุ 12 ปี มีฟันแท้ผุ ร้อยละ 52.0 และกลุ่มอายุ 15 ปี มีฟันแท้ผุ ร้อยละ 62.7 สาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการดูแลอนามัยช่องปาก และพฤติกรรมการบริโภคของเด็กที่นิยมกินอาหารหรือขนมที่หาซื้อได้ง่าย เช่น น้ำอัดลม ขนมกรุบกรอบ นอกจากจะทำให้เกิดปัญหาฟันผุแล้ว ยังก่อให้เกิดความเจ็บปวด การติดเชื้อและสร้างปัญหาการบดเคี้ยวอาหาร มีผลต่อน้ำหนัก การเจริญเติบโตและบุคลิกภาพ รวมถึงมีผลกระทบต่อการเรียนด้วย ที่สำคัญ ปัญหาฟันผุยังนำไปสู่การสูญเสียฟันที่เริ่มต้นในวัยเด็กและสะสมจนกลายเป็นการสูญเสียฟันทั้งปากจนไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้ในวัยสูงอายุ ทั้งนี้ เครื่องดื่มที่ดีที่สุดและเหมาะสมกับร่างกายก็คือน้ำเปล่า เพราะในน้ำเปล่ามีส่วนช่วยให้ร่างกายสดชื่น เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ปรับสมดุลของร่างกาย ช่วยชะลอความแก่ เพิ่มความชุ่มชื่นแก่ผิว ช่วยให้ระบบย่อยในกระเพาะอาหารทำงานได้ดีขึ้น ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ไตแข็งแรง โดยใน 1 วัน ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อสุขภาพที่ดีและควรหลีกเลี่ยงอาหารชนิดอื่น ๆ ที่มีการเติมน้ำตาลอีกด้วย เช่น ขนมหวาน ลูกกวาด เพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับน้ำตาลในแต่ละวันเกินจำเป็นจนก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้ นอกจากนี้ ควรแปรงฟันให้สะอาดทั่วถึงทั้งในตอนเช้า หลังอาหารกลางวัน และก่อนนอน ด้วยสูตร 2 2 2 คือ แปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ให้ทั่วทุกซี่ทุกด้านนานอย่างน้อย 2 นาที แปรงอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน และไม่ควรกินอาหารหลังแปรงฟันอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพื่อให้เวลาช่องปากสะอาดนานที่สุด และยังเป็นการป้องกันโรคฟันผุในระยะยาวอีกด้วย ข้อมูล : ณ วันที่ 18 มิถุนายน 2564 ที่มา : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เครือข่าย : มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
    อีสานโคแฟค
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    การนอนดึกเป็นการตั้งใจทำร้ายตนเอง อย่างร้ายแรงที่สุด(ถึงกับทำให้เป็นมะเร็งได้ จริงหรือ
    🙋‍♀️อดีตนอนดึกมาตลอด ปัจจุบันนอนไม่เกิน 4 ทุ่มครึ่ง อย่าให้สายเกินแก้ รีบปฎิบัติด่วน ❤️ด้วยรักและหวังดีอย่างจริงใจครับ ● บ้านไหนมีคน นอนดึก จำเป็นต้องอ่านบทความนี้นะครับ ● เพราะอะไร ? เพราะการนอนดึกๆ ทำให้ "อวัยวะสำคัญๆ" ของร่างกาย เช่น สมอง หัวใจ หลอดเลือด ต่อมไร้ท่อ เช่น ต่อมไธรอยด์ และภูมิคุ้มกันร่างกายเสียหาย จึงเป็นเรื่องที่ต้องไม่ประมาท มาฟังหมอด้านเวชศาสตร์ชลอวัย อธิบายให้เข้าใจกัน 🔷️ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เล่าให้ฟังถึง ● ผลเสียของการนอนดึก ▪️ใครที่นอนเกิน 5 ทุ่มครื่ง จะมีผลทำให้ 5 อวัยวะหลักเสื่อมโทรมเร็วขึ้น ทั้ง 1▪️ สมอง 2▪️ หัวใจ 3▪️ หลอดเลือด 4▪️ ต่อมไร้ท่อ เช่น ต่อมไธรอยด์ และ 5 ▪️ ภูมิคุ้มกันร่างกาย 🔷️ แต่ถ้าปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตมาเป็นคนนอนเร็วขึ้น ตั้งแต่ 4 ทุ่มไม่เกิน 5 ทุ่มครึ่งซึ่งเป็นนาทีทองของการนอน ก็จะช่วยให้มีสุขภาพดีขึ้นถึง 10 ประการ ดังนี้ :- 1. สมองสร้างเคมีสุข อย่างที่รู้ว่า สมองเป็นหัวเรือใหญ่ในการแจกงานให้อวัยวะต่างๆ แม้แต่เวลานอนก็ยังมอบรางวัลให้ร่างกาย ทั้ง ▪️ เคมีนิทรา (เมลาโทนิน) ▪️ เคมีสุข (ซีโรโทนิน) ▪️และฮอร์โมนเพศ ▪️แถมยังมีเคมีบำรุงร่างกายออกมา ช่วยควบคุมระบบในตัวเราให้ทำงานราบรื่น ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น สร้างเกราะป้องกันอาการป่วยเจ็บได้ด้วย 2. สร้างเคมีหนุ่มสาวปกติแล้ว เคมีหนุ่มสาวที่เรียกว่า โกรทฮอร์โมน จะค่อย ๆ ลดลงตามวัย รวมทั้งการนอนดึกก็ทำให้โกรทฮอร์โมนน้อยลงไปด้วย ☆แต่ถ้าเราเข้านอนเร็ว สักราว 4 ทุ่ม ไม่เกิน 5 ทุ่มครึ่ง ☆สมองจะช่วยผลิตโกรทฮอร์โมนธรรมชาติให้ ☆สรุปว่ายิ่งเราหลับไว หลับสนิท ☆ เราก็ยิ่งดูอ่อนเยาว์ ☆เพราะโกรทฮอร์โมน จะหลั่งในช่วงเวลา 00.00-01.30 น. รวมเวลา 1 ชม.ครึ่งเท่านั้น ซึ่งจะช่วยซ่อมเสริมภูมิต้านทานโรค ให้มีพลังร่างกายที่มีความสมบูรณ์มากขึ้น 3. ความจำดีขึ้น การศึกษาจากสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (APA) ระบุว่า ☆คนที่นอนหลับได้ในช่วง 4 ทุ่ม ถึง 5 ทุ่ม ปรากฏผลงานวิจัยติดตาม พบว่า ☆ มีผลต่อความจำ ความมีสมาธิ อย่างมีนัยสำคัญ ☆และ ลดอุบัติเหตุลงได้มากขึ้น ☆นั่นก็เพราะเวลาเรานอน สมองจะมีกลไกช่วยจัดระเบียบ คล้ายกับการแยกอีเมลขยะออกไป ☆แต่ถ้าเราอดนอน เราจะรู้สึกมึน ลืมง่าย หรือ ไม่ก็ลิ้นพันกัน คิดอย่างพูดอย่าง หรือ อาจเผลอเรอได้ง่ายๆ ดังนั้น ต้องนอนให้เต็มอิ่ม จะได้เป็นการชาร์จแบตให้สมอง พร้อมรับความจำใหม่ๆ ได้ดี 4. คุมความดันโลหิตได้ การนอนหลับเร็ว ☆จะช่วยให้ระบบประสาทอัตโนมัติทั้งหลาย และกลไกทางชีวิวิทยา ที่เป็นเหมือนฟันเฟืองขนาดจิ๋ว ที่ทำงานซับซ้อน ☆ช่วยควบคุมหัวใจ และความดันโลหิตให้สงบลง ไม่แกว่งขึ้นลงง่ายเหมือนกับตอนตื่นนอน 5. ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนสึกหรอ คนก็เหมือนเครื่องยนต์ ทำงานมาหนัก ก็ต้องหยุดพักบ้างจริงไหม ☆ซึ่งการนอนก็เหมือนเข้าอู่ซ่อมรถ ช่วยซ่อมแซมร่างกายที่สึกหรอ ☆ช่วยให้สมองได้พักผ่อน ☆กล้ามเนื้อคลายตัว ☆หัวใจสงบขึ้น ☆ความดันลดลง โดยเฉพาะ ☆ถ้าหลับลึกได้ในช่วง 00.00 - 01.30 น. ในแต่ละคืน สุขภาพย่อมแข็งแรง เสมือนย้อนไปในช่วงที่อยู่ในวัยเบญจเพศได้ 6. ลดความเสี่ยงโรคอ้วน ☆ถ้าเรานอนเร็ว จะทำให้เราไม่หิวกลางดึก อันเป็นต้นเหตุที่ทำให้อ้วน ☆นอกจากนั้น ยังมีกลไกดับหิวด้วยการสร้างเคมีดับหิวขึ้นมา ทำให้การนอนเร็วช่วยคุมน้ำหนักตัวได้ดีกว่า ☆อีกทั้งยังกระตุ้นเตาเผาในร่างกาย ให้ทำงานได้ดี ☆ ช่วยให้ไม่อ้วนง่าย ไม่สร้างเคมีเก็บไขมันมากด้วย 7. มีความสุขง่ายขึ้น ☆ยิ่งอดนอนมาก สมองของเราก็ยิ่งอึมครึม ทำให้ขาดสมาธิ ความจำก็ไม่ดี อะไรมากระทบนิดกระทบหน่อย ก็หงุดหงิดอา รมณ์เสียแล้ว แล้วจะมีความสุขได้อย่างไรล่ะ ☆ แต่ถ้าเราลองนอนให้เร็วขึ้น เราจะได้นอนอย่างเต็มอิ่ม ร่างกายและสมองได้พักผ่อน ความจำดี มีสมาธิ มองอะไรก็มีความสุขได้ง่ายขึ้นจริง ๆ นะ 8. ได้ล้างพิษ เวลาที่เรานอน จะเป็นช่วงเวลาที่อวัยวะอย่าง ตับ ไต ลำไส้ ซึ่งเป็นอวัยวะที่ช่วยล้างพิษทำงานได้ดีขึ้น ลองสังเกตดูสิ ถ้าใครชอบอดนอน หรือ นอนดึก นอกจากหน้าตาดูหม่นหมองแล้ว ยังมีปัญหาท้องผูกด้วย นั่นเพราะส่วนหนึ่งของพิษมาจากการนอนดึก เพราะฉะนั้นสาวๆ ที่ชอบปวดรอบเดือนบ่อย ๆ ให้แก้ไขด้วยการนอนให้เร็วขึ้น จะช่วยคุมเคมีปวดได้มากขึ้น 9. ไม่เสี่ยงโรคกำเริบ เครื่องยนต์ที่ทำงานเกินเวลา ก็เสียได้ นับประสาอะไรกับมนุษย์ที่ไม่ยอมพักผ่อน ไม่ยอมหลับยอมนอน ☆ความเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย ก็อาจทำให้โรคที่พกอยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ พากันแผลงฤทธิ์ขึ้นได้ ☆โดยเฉพาะโรคหัวใจ ☆โรคหลอดเลือดสมอง ☆ความดันสูง ☆ เบาหวาน ☆ ภูมิแพ้ ☆โรคเครียด ☆โรคซึมเศร้า ☆ และโรคมะเร็ง เป็นต้น 10. ช่วยป้องกันการแก่ให้ช้าลง ☆ไม่อยากแก่ รีบชวนกันนอนตั้งแต่ 4 ทุ่ม หรือ สูงสุด ไม่เกิน 5 ทุ่มครึ่ง ☆ เพราะ การนอนไม่ดึกมาก จะช่วยเสริมสร้างความเป็นหนุ่มสาว ☆ และช่วยให้หลับสนิทได้ง่ายขึ้น ☆ ไม่ทำร้ายร่างกายให้แก่ก่อนวัยอันควร ☆เพราะ จะช่วยป้องกันความเสื่อมชราให้ช้าลงได้ด้วย . 🔷️อยากมีสุขภาพที่ดีในระยะยาวอย่างยั่งยืน ต้องเปลี่ยนที่พฤติกรรม ฝึกให้เป็น นิสัย 🔷️ทานอาหารที่เป็นประโยชน์ 🔷️ ออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ ▪️ จะทำให้เรามีภูมิต้านทานที่ดี หลายๆ คนบอกรู้แต่บางครั้งก็ยังทำไม่ได้ มาลองจัดระเบียบชีวิตกัน (บอกตัวเองด้วย ^^) เพราะไม่มีใครสามารถให้ สุขภาพ ที่ดีกับเราได้ ยกเว้นเราต้องทำให้ตัวเอง และร่างกายคือบ้านที่เราต้องรักษาเพื่อดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นสุข การป้องกันดีกว่าการซ่อมแซม เราคงไม่อยากเอาเงินที่หามาได้ไปแลกกับความเจ็บป่วยและค่ารักษาพยาบาลที่แพงขึ้นทุกวัน . ด้วยรักและปรารถนาดี ❤️ ❤️
    Mrs.Doubt
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    จริงหรือไม่ ถ้ามีเล็บพระจันทร์เสี้ยวที่นิ้วชี้หรือนิ้วกลางหมายความว่าไตมีปัญหา
    โรคของคนมีเล็บพระจันทร์เสี้ยว 1. ถ้าคุณไม่มีเล็บพระจันทร์เสี้ยวเลย: ขอแสดงความยินดีด้วย เพราะตอนนี้สุขภาพของคุณแข็งแรงดี 2. ถ้าคุณมีเล็บพระจันทร์เสี้ยวอยู่เฉพาะที่หัวแม่มือ: แสดงว่าร่างกายของคุณยังเป็นปกติ ไม่ได้เจ็บป่วยเป็นโรคร้ายใดๆ 3. ถ้าคุณมีเล็บพระจันทร์เสี้ยวที่นิ้วชี้หรือนิ้วกลาง: เราว่ามันถึงเวลาที่คุณต้องไปตรวจสุขภาพอย่างจริงจังที่โรงพยาบาลแล้วล่ะ ว่าตอนนี้อาการของคุณเป็นอย่างไรบ้าง เพราะการที่คุณมีเล็บพระจันทร์เสี้ยวที่นิ้วชี้หรือนิ้วกลาง นั่นหมายความว่าไตของคุณมีปัญหา ควรงดของที่มีรสหวานจัดและเค็มจัดได้แล้ว แต่ก็ยังไม่ต้องตกใจไป บางทีคุณอาจจะเป็นไม่หนักมาก ถ้าหากเราตรวจพบว่ามีอาการเจ็บป่วยในช่วงที่อาการยังไม่รุนแรง การแพทย์สมัยใหม่สามารถรักษาคุณให้หายขาด หรือประคองอาการเอาไว้ ไม่ให้เป็นหนักกว่าเดิมได้ ขอเพียงคุณทานยาและปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด 4. ถ้าคุณมีเล็บพระจันทร์เสี้ยวมากกว่า 8 นิ้ว: ตามตำรากล่าวว่า ถ้าผู้ใดมีเล็บพระจันทร์เสี้ยวมากกว่า 8 นิ้ว นั่นเป็นสัญญาณเตือนของร่างกาย ที่ต้องการสื่อสารกับเจ้าของร่างว่าตอนนี้คุณเครียดมากเกินไปแล้ว และมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจสูง ดังนั้น คุณควรปล่อยวางเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตลงเสียบ้าง หาเวลาพักผ่อนให้เพียงพอ และทานอาหารที่มีประโยชน์ นอกจากนี้การออกกำลังกายก็จะทำให้ร่างกายของคุณดีขึ้น ถ้าหากมีเวลา ก็ควรแวะไปให้คุณหมอตรวจร่างกายอย่างละเอียดที่โรงพยาบาลด้วยเช่นกัน 5. ถ้าเล็บพระจันทร์เสี้ยวของคุณมีความยาว 1/5 ของความยาวเล็บ: นั่นแปลว่าตอนนี้คุณกำลังมีปัญหาเรื่องระบบทางเดินอาหาร ต้องระวังเรื่องประเภทของอาหารที่จะรับประทานให้มากขึ้น 6. ถ้าเล็บพระจันทร์เสี้ยวของคุณมีความยาวมากกว่า1/5 ของความยาวเล็บ: แสดงว่าระบบไหลเวียนโลหิตและเส้นประสาทของคุณทำงานผิดปกติแล้ว โดยสาเหตุอาจจะมาจากความเครียด หรือสาเหตุอื่นๆ ก็เป็นได้
    nitch_junki
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    จริงหรือไม่ แคลเซียมไม่ได้ทำให้ตัวสูง
    แคลเซียมเพิ่มความสูงได้จริงหรือไม่? แร่ธาตุที่สำคัญต่อระบบร่างกายของเรา ถือว่าเป็นแร่ธาตุที่สำคัญ ที่ส่งผลต่อสุขภาพที่ดี เราจำเป็นต้องบริโภค แคลเซียม เพื่อช่วยให้กระดูกแข็งแรง และทำให้สารสื่อประสาทระหว่างสมอง และอวัยวะต่าง ๆ ทำงานได้ปกติ แคลเซียมในรูปแบบของอาหารเสริม นำมากินเพื่อที่จะเพิ่มความสูง ซึ่งแท้จริงแล้ว การบริโภค แคลเซียมอย่างเดียวนั้น ไม่ได้ทำให้ส่วนสูงเพิ่มขึ้น แต่จะต้องทานร่วมกับโปรตีน และจะต้องเป็นโปรตีนที่ได้จากพืชตระกูลถั่วเท่านั้น รวมถึงการออกกำลังกายร่วมด้วย จึงจะทำให้สูงขึ้นได้ โปรตีน และแคลเซียม มีบทบาทสำคัญต่อร่างกายเป็นอย่างมาก เราจำเป็นต้องรับประทานโปรตีนให้เพียงพอต่ตอความต้องการของร่างกาย และถ้าอยากสูงและมีร่างกายที่แข็งแรง ควรควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อผลลัพธ์ที่ดี และสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
    PYU4 kunticha
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    "จิงจูฉ่าย" เป็นผัก มหัศจรรย์ สามารถใช้รักษามะเร็งได้ !
    "จิงจูฉ่าย" เป็นผัก มหัศจรรย์ สามารถใช้รักษามะเร็งได้ ! ———————————— “ผม..นิกกี้ อิทธิเกษม KU37 อดีตนายกสมาคมม.เกษตรฯแห่งอเมริกา จะขอเล่าประสบการณ์ที่เคยสัมผัสมากับตัวเองเมื่อปี 2007 เพื่อเป็นcaseตัวอย่างและเป็นทางออกให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งทั้งหลาย        ผมมีร้านอาหารอยู่ในเขต N.Hooywood วันหนึ่งกลางปี 2007 ผมได้มีโอกาสเจอลูกศิษย์เก่าที่เคยมาเรียนแจกไพ่ที่ร้าน ถามทุกข์สุขกันไปมา ถึงได้รู้ว่าเขาเคยเป็นมะเร็งที่คอ 1 ครั้ง,มะเร็งที่ต่อมลูกหมาก 1 ครั้ง ปัจจุบันหายเป็นปลิดทิ้ง รวมทั้งพี่น้องญาติอีก8คนที่เป็นมะเร็งภายในเวลา5 ปี ทุกคนหายหมด ผมจึงเกิดความกระตือรือร้นที่จะถามว่า มีวิธีรักษากันอย่างไร?  วันนั้นคุณแม่เขามาด้วยจึงอธิบายให้ฟังว่า "ฉันมีต้นจิงจูฉ่ายอยู่ในสวนหลังบ้านเยอะ ปกติก็จะใส่ในแกงจืดให้ลูกๆกินเป็นประจำ เพราะคนจีนบอกต่อๆกันมาถึงสรรพคุณช่วยฟอกเลือดและขับสารพิษออกจากร่างกายทำ ให้ลูกๆไม่ค่อยเป็นอะไร วันหนึ่งลูกฉันไปตรวจหมอกลับมา บอกว่าเป็นมะเร็ง อีก 2 เดือนต้องไปฉายแสง ฉันจึงลองเอาจิงจูฉ่าย1กำมือมาตำ จะได้น้ำออกมาแก้ว(เล็ก)หนึ่ง ให้เขากินตอนเช้าทุกวัน 2 เดือน ถัดมาไปตรวจหมอ หมอถามไปทำอะไรมา ทุกอย่างปกติหมด มะเร็งได้หายไปแล้ว"         หลังจากคุยกันพักหนึ่ง ผมก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า คน8คนเป็นมะเร็งในที่ต่างกัน กินน้ำจิงจูฮวยฉ่าย 2-3 เดือน ทุกคนหายหมด(ไม่มีใครต้องทำคีโมเลย) ผมจึงเกิดความเชื่อถือขึ้นมาระดับหนึ่ง         ก่อนหน้านั้น พี่สะใภ้ผม 2 คน (ปี2006) เป็นมะเร็งที่เต้านม,มดลูก คนหนึ่งต้องทำคีโม ใช้วิธี"นั่งสมาธิ"ทุกวัน 8 เดือน หายเป็นปกติ         ต่อมาผมได้ต้นจิงจูฉ่ายมา1 ต้น จากคุณแม่ของลูกศิษย์ จึงรีบนำมาเพาะขยาย ปลายปี 2008 ผมได้รู้ว่าแม่ค้าที่เช่าที่ในร้านผมคนหนึ่งเป็นมะเร็งเต้านมขั้น 3 หน้าคล้ำ เดินตัวแข็งแล้ว ผมรีบเชิญมานั่งคุยเล่าเรื่องจิงจูฉ่ายให้ฟังและเรื่องพี่สะใภ้นั่งสมาธิ ก็เลยแนะนำให้ทำ 2 อย่างควบคู่กันไป เชื่อไหมว่า 3 เดือนถัดไป หายเป็นปลิดทิ้ง (ผมให้เขาไปเพียง1ต้นไปปลูกและ เด็ดใบทานเลยวันละ1ใบ เพราะมีน้อย ก็ยังได้ผล)         ปี 2009 ผมมีต้นจิงจูฉ่ายมากขึ้นและแจกจ่ายให้กับคนรู้จักหลายคน ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่าง 3 เดือน ทุกคนอาการดีขึ้นหมด ถ้าเราอยากช่วยผู้ที่เรารักและห่วงใยซึ่งกำลังเผชิญกับโรคร้ายนี้ ผมแนะนำวิธีนี้ ถ้าคุณต้องทำคีโมก็ทำไป กินใบจิงจูฉ่ายและนั่งสมาธิผมว่าคุณมีโอกาสหาย         ผมพยายามหาข้อมูลเพิ่มเติม พบว่าผักชนิดนี้ แพมย์จีนโบราณเรียกว่า"ยาเย็น"เป็น"หยิน"ช่วยฟอกเลือด,ขับสารพิษ..ฆ่าเชื้อ ไวรัสทุกชนิด.. เพื่อนku37 คนหนึ่งลองให้ลูกกิน เนื้องอกที่คอก็ยุบลง      เนื่องจากที่ LA.เรามีน้อยมาก ถ้าเกิดใครต้องการมากๆ (จริงๆต้องทานวันละ1กำ )ลองคุยกับคุณน้อยที่สวนคุณน้อย จ.เชียงใหม่ เขาขายกก.ละ 35 บาท     ใครเป็นมะเร็งลองดูซิครับ ทานแล้วยังไงก็ไม่มีผลข้างเคียง แต่ คุณมีโอกาสหายครับ. ใครที่เคยสั่ง "เกาเหลาเลือดหมู" มาทาน เคยสงสัยกันไหมว่า ในชามเกาเหลาของเราจะมีผักสีเขียวชนิดหนึ่ง ที่ไม่ใช่ผักกาดหอม ขึ้นฉ่าย หรือใบตำลึงใส่ชามมาด้วย หลายคนไม่ทราบว่าเจ้าผักชนิดนี้มีชื่อเรียกว่าอะไร แล้วมีสรรพคุณอย่างไร เอ้า...ใครที่ไม่รู้ ตามกระปุกดอทคอมมาเลยค่ะ          เจ้าผักชนิดนี้เรียกว่า "จิงจูฉ่าย" ค่ะ หรือที่ชาวต่างชาติเรียกว่า "เซเลอรี่" (Celery) เป็นผักสมุนไพรชนิดหนึ่งของจีน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Apium graveolens L. ลักษณะต้น "จิงจูฉ่าย" จะเป็นกอคล้ายใบบัวบก สามารถเจริญงอกงามได้ดีในที่ที่มีแสงแดดรำไร ชื้น ดินโปร่งแต่ไม่แฉะ ชอบอากาศเย็นมากกว่าอากาศร้อน  คุณค่าทางโภชนาการของ "จิงจูฉ่าย" มีไม่น้อยทีเดียวค่ะ เพราะ "จิงจูฉ่าย" 100 กรัม ให้พลังงาน 392 กิโลแคลอรี ประกอบด้วยสารอาหารนานาชนิด คือ โปรตีน, ไขมัน, คาร์โบไฮเดรต, เส้นใย, แคลเซียม, เหล็ก, ฟอสฟอรัส, วิตามินเอ, วิตามินบี6, วิตามินซี และวิตามินอี          มาที่สรรพคุณทางยากันบ้างดีกว่า จุดเด่นของ "จิงจูฉ่าย" คือมีกลิ่นหอม คล้าย ๆ กับตั้งโอ๋ ยิ่งโดนความร้อนจะยิ่งหอม และยิ่งเพิ่มสรรพคุณมากขึ้น โดยกลิ่นหอมของ "จิงจูฉ่าย" มาจากน้ำมันหอมระเหยที่มีอยู่ในลำต้นและใบนั่นเอง ประกอบด้วยสารไลโมนีน ซิลนีน และสารกลัยโคไซด์ที่มีชื่อว่า อะปิอิน ซึ่ง สารเหล่านี้มีสรรพคุณช่วยปรับสมดุลความดันโลหิต จึงเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเรื่องความดัน แถมยังช่วยขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ด้วย ส่วนต้นสด และเมล็ดของ "จิงจูฉ่าย" มีโซเดียมต่ำ จึงดีต่อผู้ป่วยโรคไต           นอกจากนี้ ในทางการแพทย์เชื่อว่า "จิงจูฉ่าย" เป็นยาเย็น จึงช่วยบำรุงปอด ช่วยฟอกเลือด เลือดลมหมุนเวียนได้สะดวก คนจีนจึงนิยมนำผักชนิดนี้มาปรุงเป็นอาหารรับประทานในหน้าหนาว เพื่อช่วยในเรื่องการไหลเวียนของโลหิต ปรับสมดุลให้ร่างกายได้ดีนั่นเอง  ส่วนที่หลายคนสงสัยว่า ทำไมเราจึงมักเห็น "จิงจูฉ่าย" อยู่ในเกาเหลาเลือดหมู นั่นก็เพราะ "จิงจูฉ่าย" มีสรรพคุณช่วยดับกลิ่นคาวเลือดได้ดีด้วยค่ะ แต่จริง ๆ แล้ว "จิงจูฉ่าย" ไม่ได้ใช้ทำอาหารได้เพียงแค่ต้มเลือดหมูเท่านั้นนะ เพราะอาหารประเภทแกงจืดทั้งหลาย หรือผัดผัก ผัดฉ่าก็สามารถใช้ "จิงจูฉ่าย" เป็นส่วนผสมที่ลงตัวน่ารับประทานไม่แพ้กันจิงจูฉ่าย  ในรูปแบบชา  คัดวัตถุดิบใบจิงจูฉ่ายคุณภาพ  ปลอดสาร ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน สะอาดปลอดภัย ไม่มีสารปนเปื้อน รสชาติหอมหวานไม่ขม ดื่มง่าย โดยกระบวนการหมัก นวดอย่างพิถีพิถัน และอบด้วยไฟอ่อนเพื่อให้คงคุณค่าทางโภชนาการ และสรรพคุณทางยา  ชาจิงจูฉ่ายจึงมีประโยชน์มากมาย  และเนื่องจากเป็๋นสมุนไพรจึงไม่มีผลข้างเคียง ในกรณีที่บริโภคเป็นปริมาณมากอยกได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากเพื่อนในเวปค่ะLiked By: PinKen มะเร็งระยะสุดท้าย 2 ปี ไม่เข้ารับรักษา ค่ามะเร็งล…: https://youtu.be/uITAm2Gi5mQ
    Mrs.Doubt
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false