1 คนสงสัย
เริมที่ปากแก้ได้ด้วยการดื่มน้ำจากเปลือกไข่ไก่
โรคเริมจัดเป็นโรคติดเชื้อที่ผิวหนังและเยื่อบุ ซึ่งสามารถติดต่อได้ เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes simplex virus (HSV) โดยมีอาการแสดงหลักคือผื่นที่มีลักษณะเป็นตุ่มน้ำพองใส หลังจากนั้นจะแตกออกเป็นแผลตื้น อาจมีอาการเจ็บหรือปวดแสบปวดร้อนในบริเวณนั้น แผลจะค่อย ๆ แห้งและตกสะเก็ดในที่สุด
อาการร่วมอื่น ๆ ที่พบ ได้แก่ อาการไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามร่างกาย ต่อมน้ำเหลืองโต อาการทางผิวหนังมักหายในเวลาประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน การรักษาตามอาการจัดเป็นการรักษาหลัก ได้แก่ การดูแลแผล การรับประทานยาลดไข้แก้ปวด การพักผ่อนให้เพียงพอ เนื่องจากเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสจึงสามารถหายได้เอง แต่สามารถกลับเป็นซ้ำได้ การรักษาเฉพาะ คือ การให้ยาต้านเชื้อไวรัส เช่น Acyclovir Valacyclovir หรือ Famciclovir ซึ่งผู้ป่วยควรพบแพทย์เพื่อประเมินอาการก่อนได้รับยา
เปลือกไข่มีลักษณะแข็ง ประกอบด้วยคอลลาเจน (Collagen) และผลึกหินปูน (แคลเซียมคาร์บอเนต) เป็นส่วนใหญ่ มีสารแมกนีเซียมฟอสเฟตและแมกนีเซียมคาร์บอเนตอยู่เพียงเล็กน้อย ซึ่งส่วนประกอบดังกล่าวไม่มีคุณสมบัติในการยับยั้งหรือฆ่าเชื้อไวรัส จากข้อมูลดังกล่าวจึงเห็นว่าไม่มีประโยชน์ในการนำเปลือกไข่มารักษาการติดเชื้อเริม
Fang Orawan
 •  1 ปีที่แล้ว
0 ความเห็น
ช่วยระบุหมวดหมู่ของข้อความนี้ให้หน่อย
เลือกให้น้อยที่สุด (ถ้าเป็นไปได้)

ยังไม่มีใครตอบ

เพิ่มความเห็นใหม่

กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 1 คนสงสัย
    โควิด ติดแล้ว ปอดจะทำงานไม่เหมือนเดิมตลอดไป จริงหรือไม่
    Don't mean to scare you, folks, but be very cautious, be protective & be safe to you all. ********************************************************** บอย วรพล สิงห์เขียวพงษ์ December 29, 2020 at 4:55 PM โควิด-19 เป็นแล้วโอกาสตายน้อยกว่าห้าเปอร์เซ็นต์ จริงครับ > แต่หายแล้ว ปอดอาจพังตลอดชีวิต > ลิเดีย-แข็งแรง เหลือปอดทำงาน หกสิบเปอร์เซ็นต์ > ล่าสุด...31 ธันวาคม 2563 ผู้ว่าจังหวัดสมุทรสาครน่าจะเป็นเคสนี้ครับ บทความนี้ถูกส่งต่อกันมา ผมพอทราบว่ามีส่วนจริง แต่ให้แน่ใจ จึงส่งไปถามเพื่อนที่เป็น...’หมอ’ ! เขาตอบว่า...จริง !!! > โควิด-19 เป็นแล้วตายก็จบไป แต่ถ้าไม่ตายก็ต้องลุ้น ! > คุยกันครั้งใด เขาบอกผม...พี่อย่าให้เป็นนะ อายุเยอะแล้ว ตายก็ลำบากก่อนตาย ไม่ตายก็แย่ไปตลอดชีวิต ยกมา > "ผมกลัว" ที่จะติดเชื้อ Covid-l9 ผมจึงทำตามที่รัฐบาลบอก คือ "อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ" และจะออกจากบ้าน เมื่อจำเป็นจริง ๆ ผมบอกว่า ผมเชื่อว่าใครที่ติดเชื้อ Covid-l9 จะไม่มีวันกลับไป "ปกติ" เพราะปอดจะไม่ทำงานเต็มร้อยอีกแล้ว > แต่...แต่ก่อนที่จะเสียชีวิต หากคุณติดเชื้อ รู้ไหมว่ามันทรมานแค่ไหน > คุณรู้ไหมว่า การรักษาโรคปอดติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2ol9 หรือ Covid-19 มันไม่ใช่แค่ใส่หน้ากากออกซิเจน แล้วนอนอ่านหนังสือ หรือเล่นโทรศัพท์ อยู่บนเตียงสบาย ๆ ในโรงพยาบาล > เพราะเครื่องช่วยหายใจสำหรับผู้ป่วย Covid-19 (บางคน-ไม่ทุกคน) มันสร้างความเจ็บปวด ต้องสอดท่อลงไปในลำคอและคาไว้ จนกว่าจะหาย หรือตายภายใน 2-3 สัปดาห์ โดยแทบไม่สามารถขยับตัว > การรักษานี้ คนไข้จะถูกจับให้นอนคว่ำกลับหัว มีท่อหายใจต่อจากปากขึ้นไปที่เครื่องช่วยหายใจ ไม่สามารถพูด กิน หรือขับถ่ายได้ตามปกติ แถมเจ็บปวดตลอดเวลา > สิ่งที่แพทย์ช่วยได้ก็คือ ให้ยานอนหลับและยาแก้ปวด เพื่อให้แน่ใจว่าคนไข้สามารถทนต่อความเจ็บจากการใส่ท่อช่วยหายใจ เหมือนอยู่ในอาการโคม่าเทียม > ผ่านไป 20 วัน ผู้ป่วยจะสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ สี่สิบเปอร์เซนต์ และมีแผลในปากหรือหลอดลม เช่นเดียวกับปอด เกิดภาวะแทรกซ้อนของหัวใจ > นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้คนแก่ หรือผู้ป่วยโรคอื่น เช่น ความดัน หัวใจ ไม่สามารถทนการรักษาได้ และอาจตายในที่สุด >>> ย้ำ..นี่ไม่ใช่ไข้หวัดใหญ่ ! การให้อาหารเหลวใส่หลอดเข้าไปในท้องของคุณ ไม่ว่าจะผ่านจมูกหรือเส้นเลือด การที่ต้องมีพยาบาลมาช่วยขยับแขนขาทุกสoงชั่วโมง เพื่อป้องกันแผลกดทับ และต้องนอนบนเตียงน้ำที่เย็น เพื่อช่วยลดอุณหภูมิ 40 องศาของคุณ "มันไม่ใช่เรื่องสนุก" และคนที่บ้านเป็นทุกข์แน่ ๆ นี่คือหนึ่งในเหตุผล ที่ชาติตะวันตก ปล่อยให้ตาย ไม่รับรักษา เพราะสิ้นเปลือง > ผมกลัว...ผมจึงอยู่บ้าน ถ้าคุณไม่กลัว ก็ตามสบายนะครับ ไม่สวมหน้ากากตอนออกจากบ้าน ไม่รักษาระยะห่าง ไปในที่สุ่มเสี่ยง เป็นเรื่องความรับผิดชอบที่คุณมีต่อครอบครัวของคุณเอง > ที่เล่ามาทั้งหมด ก็เพื่อคนที่คุณรัก เพื่อคนที่รักคุณ และ เพื่อตัวคุณเอง #เรียบเรียงบางส่วนจาก LIND ใครจะหาว่าผมตื่นตูม ก็ตามสะดวก แต่ผมว่าเราต้อง ‘ตื่นตัว’ แม้คนที่เป็น ไม่ทุกคนที่จะมีสภาพนี้ แต่ก็มีไม่น้อยที่หายแล้วปอดไม่เต็มร้อย > ผมว่าปอดพังเร็วมาก ยิ่งกว่าสูบบุหรี่ซะอีก > แชร์ได้ ไม่ต้องขอครับ > รักใคร ห่วงใคร ก็แชร์กันไป ถ้าคุณได้รับแชร์นี้มาแสดงว่ามีคนรักคุณ
    Mrs.Doubt
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ข่าวปลอม อย่าแชร์! เล่นมือถือนาน ๆ ทำให้หน้าเบี้ยวผิดรูป
    ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลเตือนภัยในสื่อสังคมออนไลน์ เกี่ยวกับประเด็นเรื่องเล่นมือถือนานๆ ทำให้หน้าเบี้ยวผิดรูป ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ จากกรณีที่มีการเตือนภัยว่าการเล่นมือถือเป็นระยะเวลานาน จนทำให้พักผ่อนน้อย ส่งผลให้ปลายประสาทที่เลี้ยงใบหน้าอักเสบ หน้าผิดรูป ทางกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขได้ชี้แจงว่า การพักผ่อนน้อย หรือการเล่นโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานๆ ไม่ใช่สาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดโรคกล้ามเนื้อใบหน้าอัมพาตครึ่งซีก และปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคนี้ที่ชัดเจน โดยเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ทำหน้าที่เลี้ยงกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า เมื่อมีความผิดปกติของเส้นประสาทจะทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง หรือมีลักษณะขยับไม่ได้ เช่น หลับตาไม่สนิท มุมปากตก ยิ้มไม่ขึ้น มักเป็นใบหน้าครึ่งซีกใดซีกหนึ่ง สาเหตุการเกิดมีหลายปัจจัย เช่น เกิดตามหลังอุบัติเหตุบริเวณเส้นประสาทโดยตรง, การติดเชื้อบริเวณต่อมน้ำลายใกล้ๆเส้นประสาท, การพบเนื้องอกกดเบียดเส้นประสาท หรือเกิดจากการอักเสบของตัวเส้นประสาทเอง (Bell’s palsy) เป็นต้น สำหรับภาวะเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 อักเสบ หรือ Bell’s palsy นั้น การอักเสบของเส้นประสาทดังกล่าวเกิดขึ้นเอง โดยไม่ได้มีสาเหตุที่สรุปได้ชัดเจน แต่อาจสัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัสเริม หรืองูสวัด ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์ด้วยอาการกล้ามเนื้อใบหน้าอัมพาตครึ่งซีกที่เกิดขึ้นเร็วระยะเวลาภายใน 48 ชั่วโมง เช่นกล้ามเนื้อใบหน้าครึ่งซีกใดซีกหนึ่งอ่อนแรง ขยับไม่ได้ เช่น หลับตาไม่สนิท มุมปากตก รับประทานอาหารและดื่มน้ำลำบาก ร่วมกับอาจมีอาการหูข้างนั้นได้ยินเสียงก้องกว่าปกติ รับรสผิดปกติ เป็นต้น เมื่อมีอาการผิดปกติที่สงสัยภาวะดังกล่าว ควรรีบมาพบแพทย์ โดยการรักษาโรคนี้ประกอบด้วยการรักษาด้วยยาหากผู้ป่วยมาพบแพทย์ในช่วงแรกที่มีอาการ ซึ่งจะทำให้การฟื้นตัวดีขึ้น ร่วมกับการทำกายภาพบำบัดกล้ามเนื้อใบหน้าในระยะยาว ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆและเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกรมการแพทย์ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.dms.go.th หรือโทร 02 5906000 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : การเล่นโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน ๆ การพักผ่อนน้อย ไม่ใช่สาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดโรคกล้ามเนื้อใบหน้าอัมพาตครึ่งซีก เนื่องจากปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคนี้ที่ชัดเจน หน่วยงานที่ตรวจสอบ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข AFNCAFNCTHAILANDข่าวปลอมศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมหน้าเบี้ยวเล่นมือถือโทรศัพท์มือถือ ข่าวอื่นๆที่เกี่ยวข้อง website 2378 ข่าวปลอม อย่าแชร์! กินเม็ดชานมไข่มุก ทำให้เป็นโรคมะเร็ง ข่าวปลอม ผลิตภัณฑ์สุขภาพ 2 กรกฎาคม 2566 | 16:30 น. website 2374 ข่าวปลอม อย่าแชร์! อาหารอุ่นไมโครเวฟ อันตรายแถมเสี่ยงมะเร็ง ข่าวปลอม ผลิตภัณฑ์สุขภาพ 2 กรกฎาคม 2566 | 13:30 น. ข่าวล่าสุด website 2384 ข่าวปลอม อย่าแชร์! ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชวนลงทุนหุ้น รับปันผล 30,000 บาทต่อเดือน การเงิน-หุ้น website 2383 ข่าวปลอม อย่าแชร์! กรมการจัดหางาน เปิดโครงการ “ไม่เลือกงาน ไม่ยากจน” ให้คนไทยมีรายได้เสริม นโยบายรัฐบาล-ข่าวสาร website 2382 สธ. เปิดตัวรถฟอกไตเคลื่อนที่นวัตกรรมต้นแบบคันแรกของไทย จริงหรือ? นโยบายรัฐบาล-ข่าวสาร website 2381 ข่าวปลอม อย่าแชร์! เพจ SAO Trading ในเครือของ AOT เปิดให้ลงทุนเริ่มต้น 1,000 บาท การเงิน-หุ้น website 2380 ข่าวปลอม อย่าแชร์! กรมพัฒนาธุรกิจฯ รับสมัครพนักงานนำเที่ยว รายได้ 1,500 บาท/วัน นโยบายรัฐบาล-ข่าวสาร เมนูหลัก หน้าแรก แจ้งเบาะแสข่าวและติดตาม คลังความรู้ ข่าวสาร ดาวน์โหลดคู่มือประชาชน เกี่ยวกับการใช้งาน ตัวช่วยเหลือในการเข้าถึงเว็บไซต์ นโยบายรักษาความลับข้อมูลส่วนตัว line facebook twiter twiter twiter call สายด่วน : 1111 ต่อ 87 Logo Copyright © 2023 ANTI-FAKE NEWS CENTER THAILAND ขออนุญาตใช้คุกกี้เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอเนื้อหาที่ดีให้กับท่าน ทั้งนี้ ท่านมั่นใจได้ว่าเราจะดูแลและรักษาความปลอดภัยข้อมูลของท่านเป็นอ
    สุริยนต์ พักแดงพันธ์
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ได้รับแชร์ จาก ผู้ใหญ่ที่นับถือ (ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์ ) จึงเป็นข้อมูล ที่น่าเชื่อถือค่ะ เลยอยากแชร์ให้ทุกท่านค่ะ ลองอ่านดู นะ คะ (white heart)(hearts)(white heart)(hearts)(hearts)(white heart)(hearts)(white heart) โควิด-19 มีความถี่ต่ำ ทำอย่างไรไม่ติดโรค ขณะนี้เป็นปีที่พลังงานอัลตร้าไวโอเล็ตจากดวงอาทิตย์ตกต่ำ เหมือนปีที่ H1N1 ระบาด อัตราการติดเชื้อไวรัสจึงสูง งานวิจัยจากรัสเซีย พบว่า ทุกสิ่งมีความถี่ ไวรัสโควิดมีความถี่ 2-7 Hz ผู้คนที่อยู่ในอาคาร ออฟฟิศ ห้างสรรพสินค้า ตลาด รถใต้ดิน รถไฟฟ้า สถานเริงรมย์มีความถี่ต่ำกว่า 7 Hz ถ้าได้รับไวรัส เชื้อไวรัสจะเติบโตได้ง่าย จึงควรหาเวลาออกไปอยู่นอกอาคาร ตากแดด เพื่อปรับความถี่ของตัวเองให้สดใสมีพลัง อารมณ์ผู้คนมีผลต่อการสั่นสะเทือนของร่างกาย อารมณ์ลบเศร้าหมองความถี่ต่ำ ถ้าสัมผัสไวรัสไวรัสจะเติบโตได้ดี ความรัก ความเผื่อแผ่ ความเมตตามีความถี่สูง ถ้าเจ้าของร่างได้รับไวรัส พบว่าไวรัสเติบโตไม่ได้ นักวิทยาศาสตร์บอกว่า น้ำช่วยร่างกายในการป้องกันการติดเชื้อของโควิดท-19 ได้ ให้ดื่มน้ำมากๆ ยิ่งถ้าเป็นน้ำที่รับพลังงานดี ๆ บรรจุไว้ เช่น น้ำในขวดแก้วที่ตากแดด น้ำฟังเสียงสวดมนต์ น้ำแช่ดอกไม้ ตามการศึกษาของ ดร. อิโมโต ดังนั้น ทำใจให้ผ่องใส ออกมาใกล้ชิดธรรมชาติ ตากแดดบ้าง สวดมนต์ ภาวนา ผ่อนคลาย เลี่ยงสถานที่ความถี่ต่ำ (อาคารที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเยอะ หรือผู้คนทุกข์ร้อน เครียด) และดื่มน้ำประจุพลังงานดี ๆ รักษากาย ให้เลี่ยงอาหารหวาน แป้ง และผลไม้ ที่เป็นสาเหตุของอาการอินซูลินสูง ก็จะพอหลบหลีกการตกเป็นเหยื่อของการระบาดรอบนี้ นะ คะ ไม่อยากเชื่อว่า เรื่องเช่นนี้ตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ แต่มันก็เป็นไปแล้ว โลกปัจจุบันเป็น The brave new world จริง ๆ เหมือนครายออนว่า จากนี้การดูแลร่างกายจะเป็นยุคของการใช้คลื่น ไม่ใช่ยุคยาเคมีอีกต่อไป รศ.ดร.กรณ์กาญจน์ ภมรประวัติ เรียบเรียงเผยแพร่ได้ (white heart)(white heart)(white heart)(white heart)(white heart)(white heart)(white heart)(white heart)
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    เมื่อติดแล้ว ประเด็นไม่ได้อยู่ที่หายหรือไม่หายน่ะครับ มันจะอยู่ที่ ตายหรืออยู่อย่างลำบากไปตลอดชีวิต ดังนั้นพยายามห้ามติดครับ โควิด-l9 เป็นแล้วโอกาสตายน้อยกว่าห้าเปอร์เซ็นต์ จริงครับ แต่หายแล้ว ปอดอาจพังตลอดชีวิต ลิเดีย-แข็งแรง เหลือปอดทำงาน หกสิบเปอร์เซ็นต์ ล่าสุด...31 ธันวาคม 2563 ผู้ว่าจังหวัดสมุทรสาคร น่าจะเป็นเคสนี้ครับ บทความนี้ถูกส่งต่อกันมา ผมพอทราบว่ามีส่วนจริง แต่ให้แน่ใจ จึงส่งไปถามเพื่อนที่เป็น...’หมอ’ ! เขาตอบว่า...จริง !!! โควิด-I9 เป็นแล้วตายก็จบไป แต่ถ้าไม่ตาย ก็ต้องลุ้น ! คุยกันครั้งใด เขาบอกผม... พี่อย่าให้เป็นนะ อายุเยอะแล้ว ตายก็ลำบากก่อนตาย ไม่ตายก็แย่ไปตลอดชีวิต "ผมกลัว" ที่จะติดเชื้อ Covid-l9 ผมจึงทำตามที่รัฐบาลบอก คือ "อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ" และจะออกจากบ้าน เมื่อจำเป็นจริงๆ ผมบอกว่า ผมเชื่อว่าใครที่ติดเชื้อ Covid-l9 จะไม่มีวันกลับไป "ปกติ" เพราะปอดจะไม่ทำงานเต็มร้อยอีกแล้ว แต่...แต่ก่อนที่จะเสียชีวิต หากคุณติดเชื้อ รู้ไหมว่า มันทรมานแค่ไหน คุณรู้ไหมว่า การรักษาโรคปอดติดเชื้อไวรัส โคโรนา 20l9 หรือ Covid-19 มันไม่ใช่แค่ ใส่หน้ากากออกซิเจน แล้วนอนอ่านหนังสือ หรือเล่นโทรศัพท์ อยู่บนเตียงสบายๆในโรงพยาบาล เพราะเครื่องช่วยหายใจสำหรับผู้ป่วย Covid-l9 (บางคน-ไม่ทุกคน) มันสร้างความเจ็บปวด ต้องสอดท่อลงไปในลำคอและคาไว้ จนกว่าจะหาย หรือตายภายใน 2-3 สัปดาห์ โดยแทบไม่สามารถขยับตัว การรักษานี้ คนไข้จะถูกจับให้นอนคว่ำกลับหัว มีท่อหายใจต่อจากปากขึ้นไปที่เครื่องช่วยหายใจ ไม่สามารถพูด กิน หรือขับถ่ายได้ตามปกติ แถมเจ็บปวดตลอดเวลา สิ่งที่แพทย์ช่วยได้ก็คือ ให้ยานอนหลับและยาแก้ปวด เพื่อให้แน่ใจว่าคนไข้สามารถทนต่อความเจ็บจากการใส่ท่อช่วยหายใจ เหมือนอยู่ในอาการโคม่าเทียม ผ่านไป 20 วัน ผู้ป่วยจะสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ สี่สิบเปอร์เซนต์ และมีแผลในปากหรือหลอดลม เช่นเดียวกับปอด เกิดภาวะแทรกซ้อนของหัวใจ นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้คนแก่ หรือผู้ป่วยโรคอื่น เช่น ความดัน หัวใจ ไม่สามารถทนการรักษาได้ และอาจตายในที่สุด ย้ำ..นี่ไม่ใช่ไข้หวัดใหญ่ ! การให้อาหารเหลวใส่หลอดเข้าไปในท้องของคุณ ไม่ว่าจะผ่านจมูกหรือเส้นเลือด การที่ต้องมีพยาบาลมาช่วยขยับแขนขาทุกสองชั่วโมง เพื่อป้องกันแผลกดทับ และต้องนอนบนเตียงน้ำที่เย็น เพื่อช่วยลดอุณหภูมิ 40 องศาของคุณ "มันไม่ใช่เรื่องสนุก" และคนที่บ้านเป็นทุกข์แน่ๆ นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ชาติตะวันตก ปล่อยให้ตาย ไม่รับรักษา เพราะสิ้นเปลือง ผมกลัว...ผมจึงอยู่บ้าน ถ้าคุณไม่กลัว ก็ตามสบายนะครับ ไม่สวมหน้ากากตอนออกจากบ้าน ไม่รักษาระยะห่าง ไปในที่สุ่มเสี่ยง เป็นเรื่องความรับผิดชอบที่คุณมีต่อครอบครัวของคุณเอง ที่เล่ามาทั้งหมด ก็เพื่อคนที่คุณรัก เพื่อคนที่รักคุณ และ เพื่อตัวคุณเอง ใครจะหาว่าผมตื่นตูม ก็ตามสะดวก แต่ผมว่าเราต้อง ‘ตื่นตัว’ แม้คนที่เป็น ไม่ทุกคนที่จะมีสภาพนี้ แต่ก็มีไม่น้อยที่หายแล้วปอดไม่เต็มร้อย ผมว่าปอดพังเร็วมาก ยิ่งกว่าสูบบุหรี่ซะอีก รักใคร ห่วงใคร ก็แชร์กันไป ถ้าคุณได้รับแชร์นี้มาแสดงว่ามีคนรักคุณ
    ไม่ระบุชื่อ
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนทุกกรณี..! ความเพียรของคุณฉลาดและระมัดระวังตนเองอย่างถูกวิธี ด่วน!... FDA (อย.สหัฐ) และ Pfizer แพ้คดี ไฟเซอร์ถูกบังคับให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีนให้เปิดเอกสารผลข้างเคียง 9 หน้า ทั่วโลกตกตะลึง !... เนื่องด้วยคำตัดสินของศาล ทำให้บริษัทผู้ผลิตพัฒนาวัคซีน Pfizer จะต้องรายงาน ซึ่งเดิมทีมีกำหนดจะนำข้อมูลออกให้ประชาชนรู้ในปี 2085 คืออีก 63 ปีข้างหน้า รายงานนี้เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร PHPMPT ฟ้อง FDA ในเขต Northern District of Texas เมื่อเดือนกันยายน ปีที่แล้ว โดยตั้งคำถามกับ FDA เรื่องการปกปิดข้อมูลจริงเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีนต่อมนุษย์จากบริษัทยาเช่น ไฟเซอร์ FDA ได้ปฏิเสธว่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 55 ปี ในการเปิดเผยตามกฎหมาย แต่ตอนรับเรื่องจากบริษัท Pfizer และอนุมัติ ใช้เวลาไม่ถึงสัปดาห์ ดังนั้น ด้วยการพ่ายแพ้ต่อศาลนี้ จึงทำให้บริษัท Pfizer จะต้องเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดต่อสาธารณะเป็นชุดๆ หลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาให้ FDA แพ้คดี (ไม่งั้นก็เข้าคุก) นี่เป็นผลข้างเคียงของวัคซีน (Vaccine Side Effect) ที่เผยแพร่ครั้งแรกต่อสายตาชาวโลก ซึ่งเป็นข้อมูลที่น่ากลัวมาก โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข้าไปแล้ว ไม่มีทางแก้ไข รอผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดกับบุคคล เพราะในเอกสารข้อมูลระบุชัดว่า ทางบริษัท Pfizer ได้ใส่เชื้อไวรัส อันก่อให้เกิดโรคเข้าไป เพื่อให้ประชาชนเจ็บป่วย เพื่อจะได้ขายยารักษาโรคนั้นๆ ในอนาคต ไวรัสที่ผสมในวัคซีนและฉีดให้ผู้คนได้แก่ ไวรัสที่กระตุ้นโรค ดังนี้ - โรคลูปัสผิวหนังเฉียบพลัน, - โรคไข้สมองอักเสบเฉียบพลัน, - การบาดเจ็บที่ไตเฉียบพลัน, - จอประสาทตา macular ภายนอกเฉียบพลัน, - cardiomyopathy เฉียบพลัน, - ระบบทางเดินหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน, - vasculitis บริเวณที่ฉีด, - อาการชัก, - ผมร่วงเป็นหย่อมๆ, - อาการช็อกจากภูมิแพ้, - แอนาฟิแล็กซิสของการตั้งครรภ์, - โรคโลหิตจางชนิดอะพลาสติก, - ภาวะโรคลิ่มเลือด, - หัวใจเต้นผิดจังหวะ หอบหืด, - หลอดลมหดเกร็ง, - หัวใจหยุดเต้น, - หัวใจล้มเหลว, - ไม่สบายแน่นหน้าอก, สำลัก, -glomerulonephritis แพ้ภูมิตัวเองเรื้อรัง, - โรคลูปัสผิวหนังเรื้อรัง erythematosus, - ลมพิษที่เกิดขึ้นเองเรื้อรัง, - โรคโลหิตจาง hemolytic, - อาการลำไส้ใหญ่บวม, - โรคผิวหนัง, - โรคเบาหวาน, - งูสวัดกระจาย, - เส้นเลือดอุดตันในสมอง, - ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ, - อาการคัน, ตาบวม, - ใบหน้าอัมพาต, - เริมที่อวัยวะเพศ, - อัมพาตเส้นประสาท - glossopharyngeal, - vasculitis ริดสีดวงทวาร, - ปากมดลูกอักเสบ, - โรคลูปัส โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ, - โรคลูปัส โรคไข้สมองอักเสบ, - หลายเส้นโลหิตตีบ, - myasthenia gravis ทารกแรกเกิด, - โรคไขข้อ, - โรคหูน้ำหนวกไม่ติดเชื้อ, - ไทรอยด์อักเสบ, - โรคตับอักเสบ... ตัวอย่างไวรัสดังกล่าวยังไม่หมด นี้เป็นเพียงข้อมูล 10 แผ่นที่เปิดเผยออกมาจากทั้งหมด 85,000 แผ่น ที่จะทะยอยออกมาตามคำสั่งของศาล เชื้อไวรัสที่ผสมในวัคซีน ดังปรากฏข้างต้นมีปฏิกิริยามากกว่าหนึ่งพันแบบ ไม่จำกัดเฉพาะผลข้างเคียง/อาการไม่สบายกายที่หลายคนจะมี เป็นพฤติกรรมทางเลือกที่ทำร้ายตัวเองเพราะกลัว... จากการทดสอบ 46,000 คน 42,000 คนมีอาการไม่พึงประสงค์ ! เสียชีวิต 1,200 ราย CR :: AFP, Reuter, CNN
    ไม่ระบุชื่อ
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน!* * ความเพียรของคุณ ฉลาดและถูกต้องอย่างยิ่ง! ** ด่วน!...FDA (อย.สหัฐ) และ Pfizer แพ้คดี !! ไฟเซอร์ถูกบังคับให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีน! เปิดเอกสารผลข้างเคียง 9 หน้า! ทั่วโลกตกตะลึง!... เนื่องด้วยคำตัดสินของศาล ทำให้บริษัทผู้ผลิตพัฒนาวัคซีนPfizer จะต้องรายงาน ซึ่งเดิมที่มีกำหนดเดิมจะนำข้อมูลออกให้ประชาชนรู้ในปี 2085 คืออีก 63 ปีข้างหน้า รายงานนี้เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร PHPMPT ฟ้อง FDA ในเขต Northern District of Texas เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว โดยตั้งคำถามกับ FDA เรื่องการปกปิดข้อมูลจริงเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีนต่อมนุษย์จากบริษัทยาเช่น ไฟเซอร์ FDA ได้ปฏิเสธว่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 55 ปีในการเปิดเผยตามกฎหมาย แต่ตอนรับเรื่องจากบริษัทPfizer และอนุมัติ ใช้เวลาไม่ถึงสัปดาห์ ดังนั้น ด้วยการพ่ายแพ้ต่อศาลนี้ จึงทำให้บริษัทPfizer จะต้องเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดต่อสาธารณะเป็นชุดๆ หลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาให้ FDA แพ้คดี(ไมงั้นก็เข้าคุก) นี่เป็นผลข้างเคียงของวัคซีน(Vaccine Side Effect) ที่เผยแพร่ครั้งแรกต่อสายตาชาวโลก ซึ่งเป็นข้อมูลที่น่ากลัวมาก โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข้าไปแล้ว ไม่มีทางแก้ไข รอตายอย่สงเดียว !!! เพราะในเอกสารข้อมูลระบุชัดว่า ……… ทางบริษัท Pfizer ได้ใส่เขื้อไวรัส อันก่อให้เกิดโรคเข้าไป เพื่อให้ประชาชนเจ็บป่วย เพื่อจะได้ขายยารักษาโรคนั้น ๆ ในอนาคตไวรัสที่ผสมในวัคซีนและฉีดให้ผู้คนได้แก่ ไวรัสที่กระตุ้นโรค ดังนี้ โรคลูปัสผิวหนังเฉียบพลัน, โรคไข้สมองอักเสบเฉียบพลัน, การบาดเจ็บที่ไตเฉียบพลัน, จอประสาทตา macular ภายนอกเฉียบพลัน, cardiomyopathy เฉียบพลัน, ระบบทางเดินหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน, vasculitis บริเวณที่ฉีด, อาการชัก, ผมร่วงเป็นหย่อม, อาการช็อกจากภูมิแพ้, แอนาฟิแล็กซิสของการตั้งครรภ์, โรคโลหิตจางชนิดอะพลาสติก, ลิ่มเลือด, หัวใจเต้นผิดจังหวะ หอบหืด, หลอดลมหดเกร็ง, หัวใจหยุดเต้น, หัวใจล้มเหลว, ไม่สบายหน้าอก, สำลัก, glomerulonephritis แพ้ภูมิตัวเองเรื้อรัง, โรคลูปัสผิวหนังเรื้อรัง erythematosus, ลมพิษที่เกิดขึ้นเองเรื้อรัง, โรคโลหิตจาง hemolytic, อาการลำไส้ใหญ่บวม, โรคผิวหนัง, โรคเบาหวาน, งูสวัดกระจาย เส้นเลือดอุดตันในสมอง, ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ, อาการคัน, ตาบวม, ใบหน้าอัมพาต, เริมที่อวัยวะเพศ, อัมพาตเส้นประสาท glossopharyngeal, vasculitis ริดสีดวงทวาร, ปากมดลูกอักเสบ, โรคลูปัสโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ, โรคลูปัสโรคไข้สมองอักเสบ, หลายเส้นโลหิตตีบ, myasthenia gravis ทารกแรกเกิด, โรคไขข้อ, โรคหูน้ำหนวกไม่ติดเชื้อ, ไทรอยด์อักเสบ, โรคตับอักเสบ... ตัวอย่สงไวรัสดังกล่าวยังไม่หมด นี้เป็นเพียงข้อมูล 10 แผ่นที่เปิดเผยออกมาจากทั้งหมด 85,000 แผ่น ที่จะทะยอยออกมาตามคำสั่งของศาล เชื้อไวรัสที่ผสมในวัคซีน ดังปรากฏข้างต้นมีปฏิกิริยามากกว่าหนึ่งพันแบบ ไม่จำกัดเฉพาะผลข้างเคียง/อาการไม่สบายกายที่หลายคนจะมี เป็นพฤติกรรมทางเลือกที่ทำร้ายตัวเองเพราะกลัว... จากการทดสอบ 46,000 คน 42,000 คนมีอาการไม่พึงประสงค์! เสียชีวิต 1200 ราย! CR :: AFP, Reuter, CNN เครือข่ายข้อมูล :: US168 2022-03-05 02:17
    ไม่ระบุชื่อ
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    สมุนไพรไทย " พลูคาว" ใช้ต้านไวรัสโควิด 19 ได้ จริงหรือ
    พลูคาวมีประวัติใช้เป็นยาสมุนไพรมาอย่างยาวนาน มีบันทึกทั้งในตำราการแพทย์ของจีนและไทย นิยมใช้ในการรักษาการอักเสบ ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน รักษาโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส จากการวิจัยเราพบว่าพลูคาวมีสารต้านเชื้อไวรัสได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัสก่อโรคเริม เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ เชื้อไวรัสโรคเอดส์ เชื้อโรคซาร์ส รวมทั้งไข้หวัดนกที่ระบาดในช่วงปี 2546-2549 เราได้ทดลองนำไปใช้กับผู้ป่วยหลายราย ผลปรากฏออกมาว่าใช้ลดการติดเชื้อได้ ส่วนการนำมาใช้กับโควิด-19 นายอุดม รินคำ เภสัชกรและนักวิชาการ อิสระ ผู้ทำวิจัยสมุนไพรพลูคาว เผยว่า ช่วงที่ผ่านมา นพ.มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้รับการติดต่อจากจีนและอีก 20 สถาบันจากทั่วโลกที่มีงานวิจัยเรื่องสรรพคุณของพลูคาว นำไปทดลองใช้กับผู้ป่วยในหลายประเทศแล้วปรากฏว่าใช้ได้ผลดี
    naydoitall
     •  5 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    "สะเดา" หวานเป็นลมขมเป็นยา
    "สะเดา" หวานเป็นลมขมเป็นยา ถ้าพูดถึง”สะเดา” เราคงนึกถึงสมุนไพรรสขมที่มีประโยชน์ และคิดถึงเมนูสูตรเด็ด ”สะเดาน้ำปลาหวาน” ที่กินคู่กับปลาดุกย่างที่แสนอร่อย ข้อมูลของกรมอนามัยกระทรวงสาธารณสุข เผยว่า สะเดาเป็นผักสมุนไพรพื้นบ้านที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ โปรตีน แร่ธาตุและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆในร่างกาย สรรพคุณทางยาของสะเดา 1. ดีท็อกซ์สารพิษตกค้างในร่างกาย ใบสะเดาเมื่อนำมาต้มในน้ำร้อน ใช้จิบอย่างน้อยวันละครั้ง ล้างพิษในกระแสเลือด กระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น 2. รักษาโรคผิวหนัง สารเกดูนิน (Gedunin) และ นิมโบลิดี (Nimbolide) ในใบและเมล็ดมีประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อรา แบคทีเรียและเชื้อไวรัสสูง ไม่ว่าจะเป็นเชื้อราตามเท้า เล็บมือ เล็บเท้า กลาก-เกลื้อน หิด เริม แผลจากโรคสะเก็ดเงิน (เชื้อแบคทีเรีย) หัด ลมพิษ ผดผื่นคัน หูด และอีสุกอีใส 3. แก้ไข้มาเลเรีย สารเคมีกลุ่มลิโมนอยด์ (Limonoids) ได้แก่ สารเกดูนิน และ นิมโบลิดี ในใบและเมล็ดสะเดา สามารถยับยั้งเชื้อฟัลซิปารัม (P.Falciparum) ซึ่งเป็นเชื้อไข้มาลาเรียดื้อยาชนิดหนึ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4. รักษาโรคไขข้อ ขอบใบสะเดา เมล็ดสะเดา และเปลือกต้น เป็นส่วนที่นำมาใช้เป็นยารักษาโรคไขข้อได้ โดยช่วยลดอาการปวด บวมในข้อ ซึ่งอาจนำมาสกัดเป็นน้ำมันใช้ทาในบริเวณที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ และอาการปวดหลังช่วงล่าง หรือนำใบมาต้มเป็นน้ำดื่มเพื่อรักษาอาการของโรครูมาตอยด์ โรคเกาต์ โรคกระดูกพรุน 5. ช่วยย่อยอาหาร ใบสะเดา สามารถนำมาทำเป็นเมนูเรียกน้ำย่อยได้ เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำดี ช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารได้ดีขึ้น อีกทั้งน้ำดีที่ถูกกระตุ้นสร้างออกมานั้นจะช่วยย่อยอาหารประเภทไขมันได้ดีขึ้นด้วย 6. บำรุงสุขภาพช่องปาก บำรุงเหงือกและฟัน นิยมนำมาสกัดเป็นส่วนผสมในยาสีฟันทั่วไป ช่วยรักษาโรครำมะนาด โรคเลือดออกตามไรฟัน โรคเหงือก และลดอาการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก 7. ลดความเสี่ยงการเกิดเนื้องอก และมะเร็งมีผลวิจัยบางชิ้นเผยว่า สารพอลิแซ็กคาไรด์ (Polysaccharides) และสารลิโมนอยด์ (Limonoids) ที่พบในเปลือก ใบ และผลสะเดา มีคุณสมบัติช่วยลดความเสี่ยงการเกิดเนื้องอก และมะเร็ง 8. คุมกำเนิด ใช้น้ำมันสะเดาเพื่อคุมกำเนิดในผู้หญิงและผู้ชาย โดยใช้วิธีต่างกัน ผู้หญิงนั้นจะใช้น้ำมันสะเดาชุบสำลีทาบริเวณปากในช่องคลอด ส่วนผู้ชายจะใช้ฉีดน้ำมันสะเดาบริเวณท่อนำอสุจิ 9. บำรุงข้อต่อ สะเดาช่วยบำรุงกระดูกและข้อต่อต่าง ๆ ในร่างกาย 10. ช่วยรักษาโรคเบาหวาน โดยจะยับยั้งการผลิตอินซูลินได้กว่าร้อยละ 50 และยังช่วยปรับสมดุลความอยากอาหาร 11. ดีท็อกซ์สารพิษในกระแสเลือด ทำให้มีปริมาณเลือดดีหมุนเวียนในร่างกายมากขึ้น 12. ต้านมะเร็งสารพอลิแซ็กคาไรด์ และสารลิโมนอยด์ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อร้าย 13. ลดการติดเชื้อราในช่องคลอด 14. บำรุงหัวใจ ผลของต้นสะเดา หากนำมาต้ม ใช้จิบอย่างน้อยวันละครั้ง มีคุณสมบัติช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดเป็นปกติ อย่างไรก็ตาม ควรรับประทานอาหารที่หลากหลายและครบ 5 หมู่ เพื่อสุขภาพร่างกายที่สมดุลและแข็งแรง ขอบคุณข้อมูลจาก แนวหน้า และ กรมอนามัยกระทรวงสาธารณสุข
    Mrs.Doubt
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ข่าวปลอม หมักผมด้วย "กระเทียม" รักษาผมร่วง
    เรื่องจริงของกระเทียม แม้จะใช้หมักผมเพื่อรักษาผมร่วงไม่ได้ แต่มีประโยชน์อื่นที่ไม่ควรมองข้าม ตามที่ได้มีการเผยแพร่ข้อมูล เรื่อง หมักผมด้วยกระเทียม เพื่อรักษาผมร่วง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข พบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ โดยการแชร์สูตรหมักผมด้วยกระเทียม ระบุสรรพคุณว่าช่วยรักษาผมร่วง ทำให้ผมแข็งแรง ได้ตรวจสอบข้อมูลแล้วว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากยังไม่มีเอกสารทางวิชาการหรืองานวิจัยที่น่าเชื่อถือ สำหรับนำมายืนยันว่ากระเทียมสามารถรักษาผมร่วงได้จริง โรคผมร่วง หรือผมบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเกิดจากกรรมพันธุ์ผมบาง เส้นผมเปราะแล้วหัก ผมไม่ขึ้น อาจเกิดจากโรคประจำตัว การได้รับยาหรือสารเคมีบางประเภท การได้รับเคมีบำบัด การฉายรังสี ก็สามารถทำให้ผมร่วงได้ และกระเทียมนั้นมีสรรพคุณตามข้อมูลสมุนไพรที่ใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน คือ แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่น จุกเสียด รักษาอาการกลากเกลื้อน จึงไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาผมร่วง   ข้อมูลจากกรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคผิวหนัง เปิดเผยว่า โดยปกติแล้วเส้นผมของคนเรามีประมาณ 80,000 ถึง 1,200,000 เส้น งอกยาวขึ้นวันละประมาณ 0.35 มิลลิเมตรและมีอายุนาน 2 ถึง 6 ปี โดยปกติคนเราจะมีผมร่วงเป็นประจำทุกวัน แต่ไม่เกินวันละ 30 ถึง 50 เส้น สาเหตุของภาวะผมร่วง ได้แก่ 1. ผมร่วงจากกรรรมพันธุ์ สามารถพบได้ทั้งชายและหญิง มักพบในเพศชายมากกว่า เห็นเป็นเส้นขนอ่อน ๆ ทำให้ผมบริเวณนั้นดูบางลง ส่วนมากจะเป็นบริเวณกลางศีรษะและหน้าผาก 2. ผมผลัด เกิดผมร่วงเนื่องจากผมหยุดเจริญชั่วคราวจากการเจ็บป่วยหรือความเครียดหรือขาดสารอาหาร เช่น เหล็กหรือวิตามินดี ทำให้วงจรชีวิตเส้นผมที่กำลังเจริญมีการหยุดเจริญและหลุดร่วงมากกว่าปกติ 3. ผมร่วงเป็นหย่อม เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด จะมีอาการผมร่วงเฉพาะที่ บริเวณผมที่ร่วงจะมีลักษณะกลมหรือรี ขอบเขตชัดเจน ตรงกลางไม่มีเส้นผมหนังศีรษะในบริเวณนั้น ไม่แดง ไม่เจ็บ ไม่คัน ไม่เป็นสะเก็ด หรือเป็นขุย 4. ผมร่วงจากการถอน พบได้บ่อยในผู้ใหญ่และเด็กที่มีความเครียดจากสาเหตุต่าง ๆ ผู้ป่วยจะดึงผมตัวเองจนผมแหว่ง หนังศีรษะบริเวณที่ผมร่วงจะไม่มีผื่นคัน หรือเป็นขุย และจะพบเส้นผม ที่เป็นตอสั้น ๆ 5. ผมร่วงจากเชื้อรา โรคเชื้อราที่ศีรษะ กลากที่ศีรษะ อาจพบได้บ่อยในเด็ก เกิดจากการติดเชื้อราโรคนี้ทำให้ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ เป็นผื่นแดงคัน และเป็นขุย หรือก้อนอักเสบคล้ายฝี อาจจะมีโรคเชื้อรา (กลาก) ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้  6. ผมร่วงจากการทำผม การม้วนผม ย้อมสีผม  ดัดผม เป่าผมหรือวิธีอื่น ๆ อาจทำให้มีอาการผมร่วงได้จากการที่มีหนังศีรษะอักเสบ หรือเส้นผมเปราะหัก 7. ผมร่วงจากโรคอื่น ๆ ผู้ป่วยที่มีโรคบางอย่าง เช่น  โรคเอสแอลอี ก็อาจมีอาการผมร่วง ผมบาง ร่วมกับอาการไข้เรื้อรัง ปวดตามข้อ มีผื่นปีกผีเสื้อขึ้นที่หน้า โรคผมร่วงบางอย่างอาจมีการอักเสบที่บริเวณสเต็มเซลล์ทำให้เกิดผมร่วงแบบเป็นแผลเป็นซึ่งแผลเป็นจะไม่หาย
    std48423
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    From นายแพทย์สุธี ทุวิรัตน์ 25 ก.ค. 2564 สรุปประสบการณ์ในการดูแลรักษาครอบครัวที่ติดโควิดทั้งบ้าน 10 คน แบบ home isolation ครอบครัวนี้สมาชิก 10 คน ประกอบด้วย อากงและอาม่า อายุ ประมาณ 70 ปี อากงและอาม่า มีลูกชาย 1 คน ลูกสาว 2 คน ลูกชายเป็นพี่ชายคนโต แต่งงานมีลูกมีเมียแล้ว มีลูกอ่อน 2 คน เป็นฝาแฝด อายุ 2 ขวบ ลูกสาวคนโตก็แต่งงานแล้ว มีลูก 2 คน เริ่มเป็นวัยรุ่นแล้ว ทั้งหมด 10 ชีวิต อาศัยอยู่รวมกันอย่างค่อนข้างจะแออัดในห้องแถวย่านตลาดน้อย ครอบครัวนี้เกิดโชคร้าย ติดเชื้อโควิดโดยไม่รู้ตัวว่าติดได้อย่างไร ติดจากใคร โดยมีไทม์ไลน์ดังนี้ วันที่ 12/7/64 อากงเริ่มมีอาการไอ วันที่ 15/7/64 ลูกสาวคนโตเริ่มมีอาการไอ วันที่ 17/7/64 ลูกสะใภ้ กับอาม่า เริ่มมีไข้ ไอ วันที่ 18/7/64 หลาน 2 คนที่เป็นวัยรุ่น เริ่มมีไข้ต่ำๆ, ลูกสาว อาการมากขึ้น เริ่มมีอาการเจ็บคอ ทั้งบ้านก็ยังไม่เฉลียวใจว่าติดเชื้อโควิดกันทั้งบ้านแล้ว วันที่ 19/7/64 ลูกสะใภ้ มีไข้สูง ไปตรวจที่ รพ.กรุงเทพคริสเตียน พยาบาลแนะนำให้แยกกักตัวเอง เพราะสงสัยจะเป็นโควิด ลูกชายและลูกสะใภ้แยกตัวไปนอนที่คอนโด วันที่ 21/7/64 ลูกสะใภ้รู้ผล และรักษาตัวในโรงพยาบาลสนาม, ลูกชายไปหาซื้อชุดตรวจมาได้ 4 ชุด ตรวจเสียไป 2 ชุด ผลตรวจ อาม่าเป็นบวก ลูกสาวเป็นลบ วันที่ 21/7/64 ผลการตรวจ rapid test ของอาม่าเป็นบวก ลูกชายพาอาม่าไปตรวจที่โรงพยาบาล แจ้งกับทางโรงพยาบาลว่าผลตรวจ rapid test เป็นบวก แต่โรงพยาบาลไม่ตรวจให้, ครอบครัวนี้เริ่มสติแตก พยายามดิ้นรนโทรติดต่อหาที่ตรวจแต่หาไม่ได้เลย มีที่พอจะรับตรวจ ก็อยู่ไกล และจำกัดจำนวนตรวจ ต้องไปวัดดวงรอว่าจะได้รับการตรวจ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่ครอบครัวนี้จะไปตรวจได้ เพราะทุกคนเริ่มป่วยและมีอาการแล้ว รวมทั้งเป็นคนแก่และเด็ก สุดท้ายมีเพื่อนของลูกชายช่วยนัดจองคิวตรวจอากงและอาม่าได้ 2 คน ได้คิวตรวจที่แลบเอกชนในวันที่ 23/7/64 วันที่ 21/7/64 ลูกชายไปต้องไปนอนค้างคืนที่โรงพยาบาลจุฬา เพื่อแย่งจองคิวตรวจที่จำกัดวันละ 50 คน วันที่ 22/7/64 ลูกชายได้รับการตรวจที่ รพ.จุฬา ผลเป็นบวก ได้รับการรักษาที่ รพ.จุฬา วันที่ 22/7/64 หลานอายุ 2 ขวบ 2 คนเริ่มมีไข้ ประมาณ37.5ให้ทานยาลดไข้ และเช็ดตัว ไข้ลง วันที่ 23/7/64 เด็ก 2 คนเริ่มมีไข้สูง 38.8 และ 38.6 เช็ดตัวไข้ไม่ลง นอนซึม วันที่ 24/7/64 เด็ก 2 คนอาการดีขึ้น ไข้ประมาณ 37.5 เริ่มทานขนมได้ วันที่ 25/7/64 ลูกสาว 2 คน และหลาน 2 คนที่เป็นวัยรุ่น จองคิวตรวจได้ที่ หน่วยตรวจเชิงรุกของกทม.ที่เขตดุสิต และไปรับการตรวจแล้ว ได้รับการแจ้งว่าต้องรอผล 2 วัน จะแจ้งทาง sms ตั้งแต่วันที่ 21/7/64 ที่รู้ว่ามีคนในครอบครัวนี้ติดโควิด ครอบครัวนี้พยายามหาทางที่จะติดต่อแจ้งไปหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น 1330 1668 1669 สาธารณสุข แต่ก็ถูกปฏิเสธไม่ยอมรับแจ้ง โดยอ้างว่าเป็นกฎที่จะรับแจ้งขึ้นทะเบียนเป็นผู้ติดเชื้อโควิดได้ ต้องมีผลการตรวจแบบ RT PCR เท่านั้น แม้ว่าครอบครัวนี้จะพยายามชี้แจงว่าเป็นผู้ติดเชื้อ เพราะมีคนในครอบครัวติดเชื้อและรักษาตัวในรพ.สนามแล้ว และคนที่เหลือในครอบครัวหาที่ตรวจโควิดไม่ได้ ขนาดเอาผลการตรวจของภรรยาลูกชายคนโตและบอกว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ไม่ยอมรับแจ้ง และไล่ให้ต้องไปตรวจด้วย RT PCR มาก่อนเท่านั้น เมื่อรู้ว่าติดโควิดทั้งครอบครัว ก็ดิ้นรนหาซื้อชุดตรวจ และหาซื้อยาฟ้าทะลายโจร กระชาย ทั้งยาไทยและยาจีน ทุกตัวที่โฆษณาว่ารักษาโควิดได้ มากินกันทั้งครอบครัว น้องผมที่เป็นลูกเขยของบ้านนี้ ติดต่อขอความช่วยเหลือจากผมในคืนวันที่ 21/7 ผมได้โทรไปสอบถามอาการของคนในครอบครัวนี้พบว่า อาม่า และน้องสะใภ้ผม เริ่มมีอาการไอมากและหอบเหนื่อย พูดได้ไม่เยอะ พูดไปไอไป เชื้อน่าจะเริ่มลงปอดแล้ว ผมประเมินดูแล้วมั่นใจว่าหาเตียงในโรงพยาบาลไม่ได้แน่ๆ ครอบครัวนี้น่าจะเป็นผู้ติดเชื้อโควิดสีเหลือง และมี 2 คนที่น่าจะกำลังเป็นสีแดง โอกาสที่จะรอดของครอบครัวนี้คือ รักษาตัวที่บ้าน ผมตัดสินใจที่จะไม่เสียเวลาไปในการติดต่อหาเตียงตามโรงพยาบาลต่างๆ การหายาฟาวิพิราเวียมาให้เร็วที่สุด คือทางรอดเดียวของครอบครัวนี้ เพื่อป้องกันไวรัสลงปอด และลดการแพร่เชื้อไวรัส แม้ว่าจะติดเชื้อกันทั้งบ้านแล้ว แต่การอยู่กันอย่างแออัด 10 คนในห้องแถวเล็กๆ จะมีไวรัสออกมากับลมหายใจตลอดเวลา และทุกคนก็หายใจเอาไวรัสของคนในครอบครัวอีก 9 คนตลอดเวลา น่าจะทำให้อาการของโรคกำเริบมากขึ้นทุกคน วันที่ 22/7 ผมและน้องชายพยายามติดต่อหาซื้อยาฟาวิพิราเวีย จากเพื่อนที่อยู่โรงพยาบาลเอกชน แต่ไม่สามารถหาซื้อได้เลย ทุกโรงพยาบาลยืนยันว่าการจะจ่ายยา ต้องสั่งโดยหมอ infectious และต้องมีใบตรวจด้วย RT PCR ของแต่ละคนเท่านั้น ผมและน้องชายพยายามติดต่อหาที่ตรวจ RT PCR และ RAT แต่ก็ไม่มีโรงพยาบาลไหนรับตรวจ ขนาดน้องชายผมเป็น FT โรงพยาบาลเอกชน บอกว่าเป็นญาติและนามสกุลเดียวกัน ก็ยังไม่รับตรวจ และไม่จ่ายยาฟาวิพิราเวียให้ ผมเลยต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆศิริราช ต้องขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือและให้กำลังใจ และช่วยหายาฟาวิพิราเวีย ได้ 3 ชุด เมื่อได้ยามาแล้ว ผมให้อากง และอาม่า กับลูกสาวที่เริ่มมีอาการหายใจเหนื่อยหอบได้ทานยาก่อน เพราะเป็นกลุ่มเสี่ยงและเริ่มมีอาการหนักแล้ว วันที่ 23/7 หลังจากได้ยาฟาวิพิราเวียไป 2 โดส อาม่าและลูกสาวที่อาการหนักที่สุด อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คุยได้มากขึ้นไอน้อยลง และต้องขอบคุณเพื่อนๆ ที่ช่วยหายาฟาวิพิราเวียร์ มาให้อีก 3 ชุด และส่ง pulse oximeter มาให้ วัดออกซิเจน อาม่าและลูกสาว ได้ประมาณ 94 ส่วนคนอื่นได้ 96 ยกเว้นเด็ก 2 ขวบ 2 คน วัดได้ 93 แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะนิ้วเด็กหรือเปล่าเลยวัดได้ต่ำกว่าความเป็นจริง แต่อาการเด็กก็เริ่มมีไข้สูงและเริ่มซึมแล้ว แนะนำให้ทานยาลดไข้พาราเซต และเช็ดตัวบ่อยๆ และวางแผนว่าถ้าวันที่ 24/7 อาการแย่ลง จะแบ่งยาฟาวิพิราเวียของลูกสาวคนที่ไม่มีอาการ มาให้เด็กทั้ง 2 คน แต่โชคดีที่ เมื่อวานนี้ไข้เริ่มลด และเด็กอาการดีขึ้น วันที่ 25/7 ทุกคนในครอบครัวอาการดีขึ้นแล้ว แต่จมูกยังไม่ได้กลิ่น วัดออกซิเจน ได้ 98 ทุกคน สรุป 1. ยาฟาวิพิราเวีย จำเป็นมากสำหรับการรักษาตัวเองที่บ้าน และต้องรีบให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้อาการหนัก 2. สำคัญที่สุดในการดูแลรักษาทางไกลคือ การให้กำลังใจ เพราะคนไข้จะวิตกกังวลมาก กลัวตาย กลัวไปทุกเรื่อง ผมโทรไปถามอาการและชวนพูดคุยบ่อยมาก ทุก 2-3 ชั่วโมง 3. ควรจะต้องมียาลดไข้ ยาแก้ไอ และฟ้าทะลายโจร ติดบ้านไว้ 4. ตอนนี้โควิดมันแพร่กระจายไปทั่วแล้ว แม้แต่อยู่แต่ในบ้านยังติดโควิดได้ ครอบครัวนี้อากงอาม่าและลูกสาว 2 คนอยู่แต่ในบ้าน มีแต่ลูกชายและลูกสะใภ้ที่ทำงานนอกบ้าน แต่อากงติดเชื้อเป็นคนแรกเลย ยังไม่รู้ว่าติดได้อย่างไร ยิ่งทำให้สงสัยว่าน่าจะติดจาก airborne 5. ให้ทานน้ำเยอะๆ ผมสั่งให้กินน้ำอย่างน้อยวันละ 3 ลิตร และทุกครั้งที่โทรไปจะกระตุ้นให้กินน้ำเยอะๆ เพื่อช่วยเรื่อง hydration 6. ผมให้คนไข้ทุกคน วัดไข้ จับชีพจร และนับการหายใจทุก 1 ชั่วโมง บันทึกไว้ วัตถุประสงค์เพื่อให้คนไข้ได้รู้จักสังเกตุอาการตนเอง ต่อมาเมื่อมี pulse oximeter ผมก็เปลี่ยนมาให้ทุกคนบันทึก ออกซิเจนและชีพจร ของตนเอง ทุก 1 ชั่วโมง เพื่อที่เราจะได้ให้คนไข้ได้รู้การเปลี่ยนแปลงของตนเอง และช่วยให้ผมที่เป็นหมอสามารถที่จะมาประเมินทบทวนอาการของคนไข้ย้อนหลังได้ 7. ในกรณีเลวร้ายสุดๆ คือยาฟาวิพิราเวียไม่ได้ผล และคนไข้เริ่มมีอาการปอดอักเสบชัดเจน ผมจะไม่พยายามไปหาออกซิเจนมาให้ เพราะรู้ว่าไม่ได้ผล มีแต่จะทำให้คนไข้ทรมานมากขึ้น เพราะคนไข้ที่ปอดอักเสบรุนแรง ต้องใส่ท่อช่วยหายใจและใช้เครื่องช่วยหายใจ หรืออย่างน้อยก็ต้องเป็น high flow oxygen แต่ผมจะทดลองให้การรักษา ด้วยวิธีการที่ยังไม่เคยมีใครทดลองมาก่อน แต่อาจจะได้ผลสามารถยื้อชีวิตผู้ป่วยได้ ซึ่งถ้าเพื่อนๆมีญาติหรือคนในครอบครัวที่เริ่มมีปอดอักเสบและไม่สามารถหาเตียงในไอซียูได้ หลังไมค์มาคุยกันนะครับ ยินดีแชร์ให้ฟังครับ แล้วเพื่อนๆให้คนไข้ตัดสินใจเองว่าจะทดลองรักษาตัวตามสูตรของผมหรือไม่ 8. ตอนนี้การติดเชื้อแพร่ระบาดเข้าไปในครัวเรือนแล้ว เมื่อพบผู้ติดเชื้อ 1 คน สมาชิกในครอบครัวจะติดเชื้อไปแล้วทุกคน ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุข ต้องยกเลิกกฎที่บังคับให้ต้องมีผลตรวจ RT PCR ทุกคนถึงจะรับลงทะเบียนเข้าระบบ ควรจะใช้แค่ผลการตรวจ rapid test และกระทรวงสาธารณสุข ต้องมีหน้าทีจัดหาชุดตรวจ ATK ส่งไปให้คนในครอบครัวผู้ป่วยทุกคน เพื่อที่จะรีบตรวจและคัดกรองผู้ติดเชื้อ ไม่ใช่ผลักภาระให้ผู้ป่วยทุกคน ไม่ว่าเด็กหรือคนแก่ต้องไปดิ้นรน หาที่จองคิวตรวจด้วยตัวเอง และก็เอาเชื้อไปแพร่ให้คนรอบข้าง แบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ 9. ครอบครัวนี้น่าจะเริ่มติดเชื้อวันที่ 12/7/64 จนกระทั่งวันนี้ (25/7/64) ก็ยังไม่สามารถที่จะเข้าถึงการตรวจด้วย RT PCR และไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนว่าเป็นผู้ติดเชื้อโควิด 10. ช่วยกันเรียกร้องกดดันให้กระทรวงสาธารณสุข ยกเลิกระเบียบคำสั่งที่การขึ้นทะเบียนเป็นผู้ติดเชื้อต้องมีผลการตรวจยืนยันด้วย RT PCR เท่านั้น ในสถานการณ์ปัจจุบันที่การระบาดอย่างหนัก ควรจะยืนยันด้วยผลการตรวจ ATK ก็น่าจะเพียงพอแล้ว และต้องเป็นหน้าที่ของสธ. สปสช. ที่ต้องจัดหาและจัดส่งชุดตรวจ ATK ไปให้ครอบครัวของผู้ติดเชื้อ เพื่อที่จะคัดกรองหาผู้ติดเชื้อได้อย่างรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ 11. ถ้าคิดว่าโพสนี้เป็นประโยชน์ สามารถแชร์ต่อไปได้ครับ นายแพทย์สุธี ทุวิรัตน์ 25 ก.ค. 2564
    ไม่ระบุชื่อ
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false