1 คนสงสัย
📣น้องๆ ที่เป็นผู้เยาว์(อายุไม่ถึง 20 ปี) ประสงค์จะฟ้องคดีผ่านแผนกคดีซื้อขายออนไลน์ ศาลแพ่ง ก็สามารถทำได้ โดย

1.หากอายุยังน้อย ไม่สามารถดำเนินคดีเองได้ “ผู้แทนโดยชอบธรรม” จะเป็นผู้ฟ้องหรือดำเนินคดีแทน (“ผู้แทนโดยชอบธรรม” หมายถึง บิดา มารดา หรือบุคคลที่ศาลตั้งเป็น “ผู้ปกครอง”) กรณีนี้ ผู้แทนโดยชอบธรรมจะต้องเป็นผู้ฟ้องดคดีแทนโดยจัดการยื่นฟ้องในระบบ e-filing ให้

2. หากผู้เยาว์มีอายุพอที่จะดำเนินคดีเองได้แล้ว สามารถกระทำได้ 2 วิธี คือ
(1) กระทำแบบข้อ 1 คือให้ผู้แทนโดยชอบธรรมดำเนินคดีแทน
(2) ได้รับอนุญาตจากผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นหนังสือให้ฟ้องคดี โดยต้องยื่นหนังสืออนุญาตต่อศาลไปพร้อมกันกับที่ยื่นฟ้องในระบบ e-filing

https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3375025
ไม่ระบุชื่อ
 •  2 ปีที่แล้ว
meter: true
1 ความเห็น

ผู้บริโภคเฝ้าระวัง

Thanathun. เลือกให้ข้อความนี้✅ มีเนื้อหาที่เป็นจริงทั้งหมด

เหตุผล

หากเกิดปัญหาในการซื้อขายออนไลน์ ผู้เยาว์มีทางเลือกในการนำคดีขึ้นสู่ศาลได้เสมอ อย่างไรก็ตาม การฟ้องคดีเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ ทางที่ดีผู

ที่มา

https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3375025

เพิ่มความเห็นใหม่

กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 1 คนสงสัย
    สว.สหรัฐร่อนแถลงการณ์ประณาม ‘ประยุทธ์’ โกงเลือกตั้ง-สั่งยิงเด็ก-ตั้งพรรคทหาร-สว.ขี้ข้า 250 คน แถมประกาศลั่น พร้อมคว่ำบาตรไทย !!! . สมาชิกวุฒิสภา (สว.) สหรัฐฯ ร่อนแถลงการณ์ประณาม ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาลเผด็จการไทย บิดเบือนประชาธิปไตย ตั้งพรรคทหารโกงเลือกตั้งเข้ามาเสวยสุข ขยายอำนาจศักดินา แต่งตั้งขี้ข้า สว.250 คน ซ้ำยังสั่งฆ่าราษฎร ปราบม็อบเด็ก ไปจนถึงเรื่องการใช้กฎหมายล้าหลังขัดกับสิทธิมนุษยชนสากล (ม.112-ม.116-พรบ.คอม) แถมระบุชัดเสี่ยงตัดความสัมพันธ์กับไทย ถ้าหากมีการปฏิวัติ-รัฐประหาร ..... ยินดีต้อนรับสู่ยุค โจ ไบเดน (ประธาณาธิบดีคนใหม่ สหรัฐ) . สหรัฐอเมริกา เริ่มแสดงความชัดเจนขึ้นเรื่อยๆหลังจากได้ ประธานาธิบดีคนใหม่ ที่มาจากพรรคฝ่ายซ้าย สบช่องโต้กลับรัฐบาลไทยและคนรักสถาบันที่ใส่ร้ายว่าสหรัฐอยู่เบื้องหลังม็อบ ครั้งนี้จัดหนักแฉยับให้ทั่วโลกรู้กันไปทั่วว่าประเทศไทยมันเผด็จการขนาดไหน สมควรขายขี้หน้าต่างชาติหรือไม่ ? . [[[ สหรัฐ ประณามไทย ]]] . คำแถลงการณ์ ในช่วงหนึ่งมีการระบุว่า ในปี 2560 รัฐบาล คสช.ของประยุทธ์ ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ที่บิดเบือนความเป็นประชาธิปไตยและลดคุณค่าสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยเฉพาะ สว.250 คนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ตลอดจนองค์กรอิสระที่ประยุทธ์แต่งตั้งทั้งหมด (ศาลรัฐธรรมนูญ ปปช.และ กกต.เป็นต้น) จนนำไปสู่การโกงเลือกตั้งในปี 2562 ซึ่งทั่วโลกรายงานว่ามีการบิดเบือนผลเลือกตั้ง ตลอดจนบิดเบือนกติกาเอื้อให้พรรคทหาร (พลังประชารัฐ) ได้เป็นรัฐบาล นอกจากนี้ยังพบพฤติกรรมยุบพรรคอนาคตใหม่ ด้วยคำตัดสินผลที่ค้านกับความรู้สึกของประชาชนจำนวนมาก . นอกจากความบิดเบี้ยวทางระบบการปกครองแล้ว รัฐบาลประยุทธ์ยังใช้ความรุนแรงอุ้มฆ่าผู้เห็นต่าง (เช่น วันเฉลิม ซึ่งสำนักข่าวต่างชาติระบุถึงความเกี่ยวโยงกับ ราชองครักษ์ แต่รัฐบาลไทยไม่สืบสวนและเปิดเผยความจริง) จนมาถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่ทั่วโลกย่อมรับไม่ได้คือการ “สั่งยิงเด็ก” ด้วยแก๊สน้ำตา กระสุนและรถฉีดน้ำแรงดันสูง ซึ่งถือเป็นการขัดต่อหลักประชาธิปไตยสากลและขัดต่อหลักการคุ้มครองเด็กขององค์กรยูนิเซฟ รัฐบาลประยุทธ์ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือปราบปรามราษฎรด้วยข้อหาเกินจริงและกฎหมายที่ล้าหลังไม่เป็นที่ยอมรับ เช่น กฎหมายปิดปากห้ามพูด-ห้ามวิจารณ์-ห้ามฟ้องร้อง (ทั้งที่ประเทศไทยเลิกใช้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมานานแล้ว) โดยพบว่ากฎหมายเหล่านั้นล้วนมีโทษติดคุกที่สูงเกินจริง โดยเฉพาะตัวเลขเยาวชนที่ถูกจับกุม 170 คน ทั้งที่เป็นม็อบมือเปล่า ไม่ใช้ความรุนแรง บุกจู่โจมหรือเผาทำลายทรัพย์สินราชการ . [[[ สหรัฐ ขู่คว่ำบาตร ไทย ]]] . แถลงการณ์ในช่วงต่อมาระบุว่า สหรัฐพร้อมคว่ำบาตรประเทศไทยและยุติบทบาทความสัมพันธ์หากกองทัพไทยตัดสินใจทำรัฐประหาร โดยจะนำมาซึ่งความเสี่ยงต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯเลือกชัดเจนแล้วว่าจะยืนอยู่ข้างกระบวนการประชาธิปไตยบนสิทธิเสรีภาพของมนุษโดยชอบธรรม ตลอดจนการส่งเสริมชุมนุมแบบสันติ และเสรีภาพในการแสดงออกตามสิทธิพื้นฐานสากล ทั้งนี้ สหรัฐ ยืนยันว่าจะต่อต้านการคุกคามเยาวชนโดยไม่ชอบธรรมทุกรูปแบบ เพื่อให้สอดคล้องกับนานาอารยประเทศและกติกาประชาธิปไตยของโลกใบนี้ . สอดคล้องกับคำพูดของ ทูตนอกแถว "รัศม์ ชาลีจันทร์" ระบุว่าไม่มีประเทศไหนต้อนรับประยุทธ์เท่าเคยต้อนรับยิ่งลักษณ์ ส่วนใหญ่ให้ไปแค่ประชุมตามกำหนดการ ไม่มีกองเกียรติยศต่างชาติต้อนรับ ทำเกียรติประเทศตกต่ำ ด้านข้าราชการกระทรวงต่างประเทศรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ไม่โอเคกับเผด็จการ . [[[ โจ ไบเดน ไม่เอาสลิ่ม ]]] . โจ ไบเดน ประธาณาธิบดีป้ายแดงของสหรัฐ มีแนวคิดส่งเสริมประชาธิปไตย และไม่เห็นด้วยกับแนวคิดอนุรักษ์นิยม รวมถึงรัฐบาลเผด็จการที่ใช้อำนาจรักษาผลประโยชน์ศักดินา โดยเฉพาะรัฐบาลที่เลือกข้างจีนและใส่ร้ายสหรัฐ โจ ไบเดน มีความมุ่งมั่นที่จะรวบรวมพันธมิตในเอเชียเพื่อต่อต้านอำนาจจีน เขามีแผนใช้มาตรการกดดันการเมืองในประเทศต่างๆมากขึ้นในเอเชีย จากเดิมที่โอบาม่าเคยเน้นไปที่ตะวันออกกลาง และต่างจากทรัมป์ที่ไม่เคยกดดันชาติใดๆให้ต่อต้านจีน . มาตรการภาคีทางการค้าเพื่อต่อต้านจีนจะถูกนำกลับมาใช้ทั้ง GSP, FTA, IMF และ GSP เพื่อให้ชาคิในเอเชียเลือกว่าจะเข้าร่วมเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ ยอมอยู่กับจีนแล้วโดนคว่ำบาตรทางการค้า ในวันที่ไทยมีตัวเลขเศรษฐกิจติดลบมากสุดในประวัติศาสตร์ . ‘ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ เป็นรัฐบาลทหารที่เลือกข้างจีนมาตลอด มีการทำซูเปอร์ดีลทางการค้า ตั้งแต่ รถถังยันรถไฟความเร็วสูง และผลงานล่าสุดของคนรักสถาบันที่กล่าวโจมตีใส่ร้ายว่าสหรัฐอยู่เบื้องหลังม็อบไทย-ฮ่องกง แน่นอนว่าคล้ายกับรัฐบาลไทยประกาศสงครามกับสหรัฐ โดยมีจีนเป็นที่ปรึกษา จึงอาจเป็นหนึ่งในเหตุให้โดนตัดสิทธิ์ GSP ครั้งล่าสุด เพราะฝรั่งเขารู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังม็อบคนรักสถาบันและระบอบประยุทธ์ . ‘โจ ไบเดน’ มีแนวคิดฝ่ายประชาธิปไตย เขาพร้อมสนับสนุนองค์กรขับเคลื่อนประชาธิปไตยทั่วเอเชีย เท่ากับว่าเป็นการเพิ่มพลังม็อบนักศึกษาที่ลุกขึ้นมาต่อต้านอำนาจเผด็จการ เช่น ไทย เมียนมา สปป.ลาว และอินเดีย เป็นต้น ประธานาธิบดีคนใหม่จะมีมาตรการตอบโต้รัฐบาลเผด็จการที่กดขี่ประชาธิปไตยแน่นอน . ดังนั้นไทยต้องเดินเกมการทูตอย่างประนีประนอม เพราะเสี่ยงโดนกดดันทางการค้าหลายรูปแบบ โดยเฉพาะ ประยุทธ์ ที่ถูกประณามไปทั่วโลก เช่น การสลายม็อบ และ คนรักสถาบันทำร้ายนักศึกษาทั่วประเทศ เช่นเดียวกับสถานทูตสหรัฐที่ลงข่าวประจานคนรักสถาบันที่ใส่ร้ายอเมริกาหลายครั้งเรื่องม็อบ . เอกสารต้นฉบับ วุฒิสภา สหรัฐฯ https://www.foreign.senate.gov/imo/media/doc/DAV20G50%20-%20Thailan.pdf?fbclid=IwAR0IegRDe3m7BF73IjLPrzEEZGP6ZTsq-mTfqwAR5oeqYSbyHKYymio91lo
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ปล้นครั้งประวัติศาสตร์! ทะลวงทุกระบบ “ขโมยเพชร” มหาศาล ตามของคืนไม่ได้จนวันนี้
    ผู้เขียน กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม เผยแพร่ วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2566 ย้อนกลับไปเมื่อต้นปี 2003 มีข่าวครึกโครมดังไปทั่วโลกกับเหตุการณ์ “ขโมยเพชร” ที่นับได้ว่าเป็นการโจรกรรรมครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และน่าจะบอกได้ว่าเป็นการโจรกรรมที่เกิดในพื้นที่ซึ่งมีระบบป้องกันดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลก จนเคยเชื่อกันว่า “ไม่สามารถถูกเจาะได้” แอนต์เวิร์ป ไดมอนด์ เซ็นเตอร์ (Antwerp Diamond Center) เป็นที่รู้จักในฐานะศูนย์รวมเพชรของโลก ตั้งอยู่ในประเทศเบลเยียม ภายในมีตู้เซฟจำนวนเกือบ 200 ตู้ในห้องนิรภัย ซึ่งอยู่ลึกลงไปในใต้ดิน 2 ชั้น เก็บเพชรและเครื่องประดับอัญมณีของผู้เช่าตู้เซฟ มูลค่ารวมแล้วหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐ มีระบบรักษาความปลอดภัยหลายชั้น รายงานข่าวบางแห่งบ่งชี้ตัวเลขระดับชั้นของการรักษาความปลอดภัยว่ามีมากถึง 10 ชั้น และต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนกว่าจะไปถึงขั้นเปิดตู้เซฟได้ ทุกตู้ยังต้องเปิดด้วยรหัสและกุญแจเช่นเดียวกับประตูห้องนิรภัย ซึ่งทำให้เป็นที่มั่นใจในความปลอดภัยสำหรับผู้มาเช่าตู้เซฟ สถานที่แห่งนี้มีมาตรการรักษาความปลอดภัยแน่นหนาและทันสมัย แถมเพียบพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย มีกล้องวงจรปิดทุกซอกทุกมุม มีสัญญาณเตือนภัยแทบทุกระบบที่มนุษย์ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาติดตั้งอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเซนเซอร์จับความเคลื่อนไหวและการสั่นสะเทือน เซนเซอร์จับความร้อนจากร่างกายมนุษย์ เซนเซอร์จับแสง มีแม้กระทั่งอุปกรณ์ตรวจจับแบบแม่เหล็ก ซึ่งทันทีที่ประตูนิรภัยหนา 1 ฟุตเปิดในเวลาที่ไม่ควรเปิด สัญญาณเตือนภัยจะแจ้งเหตุทันที รวมทั้งมีเครื่องกีดขวางยานพาหนะยุคไฮเทค มีกลไกบังคับให้หุบหายลงใต้ดิน และโผล่กลับขึ้นมาทำหน้าที่ของมันได้ทุกเวลา ที่สำคัญยังตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานีตำรวจนัก และเจ้าหน้าที่ก็พร้อมปฏิบัติการตลอด 24 ชั่วโมง เมื่อได้รับแจ้งการก่อเหตุ ผู้ก่อการ “ขโมยเพชร” ก่อนหน้าเกิดคดีโจรกรรมเพชร 2 ปี คือในปี 2001 เชื่อว่าแผนปฏิบัติการการโจรกรรมได้เริ่มขึ้นอย่างแนบเนียนโดยชายวัยกลางคนชาวตูริน ประเทศอิตาลี ชื่อ ลีโอนาร์โด โนทาร์บาร์โทโล ซึ่งเดินทางเข้ามาในเมืองแอนต์เวิร์ป ประเทศเบลเยียม ที่ตั้งของไดมอนด์ เซ็นเตอร์ ฉากหน้าเขาคือนักออกแบบเครื่องประดับ นักธุรกิจค้าเพชร เข้ามาเช่าออฟฟิศและตู้เซฟที่ไดมอนด์ เซ็นเตอร์ เพื่อเปิดเป็นสำนักงานประกอบธุรกิจค้าเพชร ที่นี่นอกจากจะมีตู้เซฟให้เช่าแล้ว ยังมีห้องเพื่อใช้เป็นสำนักงานธุรกิจค้าอัญมณีของเหล่านักธุรกิจใช้เช่าอีกด้วย โนทาร์บาร์โทโลแฝงตัวเข้ามาเพื่อสำรวจเก็บรายละเอียดของสำนักงานนี้ เขาใช้เวลาเก็บข้อมูลต่างๆ ทั้งระบบความปลอดภัย กิจวัตรในแต่ละวันของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ส่วนต่างๆ ของอาคาร และเส้นทาง โดยรายละเอียดทั้งหมดที่ได้มา เขาใช้การจดจำ จากนั้นจะนำมาเขียนบันทึกในห้องทำงาน โนทาร์บาร์โทโลใช้เวลาร่วม 2 ปีแฝงตัวและเก็บข้อมูลในสถานที่แห่งนี้ แน่นอนว่าโนทาร์บาร์โทโลคงไม่ปฏิบัติการเพียงลำพัง เขามีผู้ร่วมขบวนการอีกคือ เอลิโอ ดอโนริโอ ผู้เชี่ยวชาญสัญญาณเตือนภัย คนช่างคิดที่สามารถเอาชนะมาตรการรักษาความปลอดภัยหลายระบบ เฟอร์ดนานโด ฟิน็อตโต อาชญากรมืออาชีพมากประสบการณ์ และ ปิเอโตร ทาวาโน เพื่อนเก่าแก่ที่โนทาร์บาร์โทโลไว้ใจ โนทาร์บาร์โทโลเล่ารายละเอียดทุกอย่างที่เขาเก็บข้อมูลมาให้ผู้ร่วมก่อการฟังอย่างละเอียด รวมทั้งร่วมวางแผนกันภายในร้านกาแฟนในตูรินเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต พวกเขาใช้เวลาเตรียมการรวม 27 เดือน นานกว่าระยะเวลาในหนังโจรกรรมแบบฮอลลีวูด ที่มักเล่าว่าสมาชิกแก๊งใช้เวลาไม่กี่สัปดาห์ ปฏิบัติการ “ขโมยเพชร” ครั้งประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นในวันหยุดสุดสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ ปี 2003 ไล่เลี่ยกับช่วงวันวาเลนไทน์ ช่วงวันหยุด ไดมอนด์ เซนเตอร์ แห่งนี้หยุดทำการ ไม่มีการเปิดห้องนิรภัยและตู้เซฟทุกกรณี หากเปิดนอกเวลาทำการเช่นนี้สัญญาณเตือนภัยจะทำงานทันที แต่โนทาร์บาร์โทโลกลับเลือกใช้เวลานี้ปฏิบัติการ เนื่องจากปลอดคนและมีเวลาให้ปฏิบัติการได้มาก การเจาะระบบป้องกัน (โดยคร่าว) ด้วยระบบป้องกันภัยที่ทันสมัยและแน่นหนามาก การเจาะเข้าไปในตู้เซฟจึงต้องผ่านระบบป้องกันหลายด่าน ทั้งการใส่รหัสผ่าน ล็อกกุญแจ เซนเซอร์สนามแม่เหล็ก เซนเซอร์ตรวจจับความร้อน เซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว และเซนเซอร์แสง รายละเอียดมีข้อปลีกย่อยมากมาย ข้อมูลในที่นี้บอกเล่าอย่างคร่าวๆ โดยส่วนหนึ่งมาจากหลักฐานและการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมผู้เชี่ยวชาญ โนทาร์บาร์โทโลและพวกจำเป็นต้องกำจัดอุปสรรคทีละด่าน ซึ่งผ่านการจำลองสถานการณ์ซักซ้อมมาอย่างดี พวกเขาเริ่มแผนการในช่วงค่ำวันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ ทาวาโนทำหน้าที่เฝ้าติดตามฟังวิทยุสื่อสารของตำรวจ ทราบความเคลื่อนไหวของตำรวจจากวิทยุสื่อสาร เขาทำหน้าที่อยู่ที่ห้องพักของโนทาร์บาร์โทโล ส่วนโนทาร์บาร์โทโลกับพวกอีก 2 คน สวมถุงมือยาง ขับรถผ่านป้อมตำรวจ ประตูชั้นจอดรถเปิดขึ้น เขาหยุดรถชิดขอบทาง แต่ละคนพาดถุงบนไหล่ มุดผ่านใต้ขอบประตูม้วน พวกเขาใช้กุญแจดอกพิเศษที่ทำขึ้นเพื่อไขกุญแจประตูทางเข้า เดินลงบันไดถึงหน้าห้องนิรภัย ดอโนริโอใช้แผ่นเหล็กรูปตัวทีประกบแท่งแม่เหล็กทั้งสองที่ติดอยู่บานประตูและขอบประตูด้วยเทปกาวสองหน้า แล้วดึงมันหลุดออกมาโดยแท่งแม่เหล็กไม่แยกจากกัน สัญญาณแจ้งเตือนจึงไม่ดังขึ้น ช่วยให้เปิดห้องนิรภัยกว้างระดับหนึ่ง และสามารถแทรกตัวเข้าไปได้โดยปลอดสัญญาณแจ้งเตือน ตำรวจเชื่อว่าดอโนริโอติดตั้งกล้องวิดีโอเพื่อใช้บันทึกการหมุนรหัสประตูห้องนิรภัย แต่ทฤษฎีของตำรวจมีผู้แย้งว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะมีอุปกรณ์บังรอบตัวหมุนรหัส ป้องกันไม่ให้คนอื่นเห็นเลข ข้อสันนิษฐานอื่นก็คือ โนทาร์บาร์โทโลอาจได้รหัสมาโดยวิธีอื่น หรืออีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจคือ ประตูห้องนิรภัยนี้ไม่เคลียร์รหัสให้เอง หากเปิดแล้วต้องหมุนเคลียร์รหัสเอง ทั้งนี้ผู้ดูแลอาจลืมหรือขี้เกียจเคลียร์รหัส (เก่า) ทำให้รหัสคาอยู่ที่เดิม เพียงเท่านี้ก็สามารถใช้กุญแจเพียงดอกเดียวเปิดประตูนิรภัยได้ ภายหลังตำรวจสรุปว่าคนร้ายใช้ชะแลงยาว 2 ฟุต งัดประตูห้องเก็บของ เพราะกุญแจที่ทำมาใช้การไม่ได้ (เสียงน่าจะดังมาก แต่ไม่มีสัญญาณเตือนภัย เนื่องจากในพื้นที่ไม่ได้ใช้การตรวจจับเสียง เพราะมองว่า หากมีคนทำของตก สัญญาณย่อมดังขึ้นทุกครั้ง) แต่ในห้องเก็บของมีกุญแจประตูนิรภัย จึงสามารถเปิดห้องนิรภัยได้ ข้างในห้องมืดสนิท และมีเครื่องตรวจจับแสงทำงานอยู่ พวกเขาใช้เทปกาว 2-3 ชิ้นปิดเซนเซอร์แสง แล้วทำการเปิดไฟ ด่านต่อมาคือเซนเซอร์ตรวจจับความร้อน พวกเขาเอาชนะมันด้วยการใช้สเปรย์ตกแต่งทรงผมฉีดใส่เครื่องจนทำให้เครื่องรวนไม่สามารถใช้งานได้ ส่วนเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวพวกเขาใช้แผ่นโฟมวางทับตัวเซ็นเซอร์ไม่ให้มันทำงาน ด่านสุดท้ายคือเปิดประตูตู้เซฟ พวกเขาประกอบอุปกรณ์ดึงฝาตู้เซฟที่ประดิษฐ์ขึ้นเอง ซึ่งแยกชิ้นส่วนใส่กระเป๋ามา และนำมาประกอบกันตรงกลางห้องนิรภัย เมื่อประกอบเสร็จพวกเขาก็ใช้อุปกรณ์ดังกล่าวเปิดตู้เซฟได้ หลังจากจัดการกับอุปสรรคแต่ละด่านเรียบร้อยแล้ว โนทาร์บาร์โทโลและพวกได้แบ่งหน้าที่กัน คนหนึ่งเปิดตู้เซฟให้เร็วที่สุด อีกสองคนทำหน้าที่แยกของมีค่า ทั้งเพชร นาฬิกา เครื่องประดับ และเงินสด แยกใส่ถุงอย่างละถุง โนทาร์บาร์โทโลเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเอาอะไรกลับไป และจะปล่อยสิ่งของอะไรไว้บ้างโดยประเมินจากมูลค่าของแต่ละชิ้น โดยรวมแล้วพวกเขาเปิดตู้เซฟได้ 109 ตู้ จาก 189 ตู้ เชื่อกันว่าทรัพย์สินที่กลุ่มนักโจรกรรมกวาดไปได้มีมูลค่ารวมกว่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตัวเลขมูลค่าของทรัพย์สินที่หายไปยังเป็นที่ถกเถียง จากปากของกลุ่มผู้ก่อการอ้างว่ามูลค่าของทรัพย์สินที่พวกเขาฉกไปอยู่แค่ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอ้างว่าการโจรกรรมเป็นส่วนหนึ่งของแผนที่ใหญ่กว่าเพื่อเคลมเงินประกัน) ขณะที่การออกจากสถานที่เกิดเหตุก็ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาต้องขนสมบัติที่หนักกลับไปพร้อมกับเครื่องมืออุปกรณ์ เดิมทีแล้ว “แก๊งตูริน” นี้จะเก็บทุกอย่างกลับไปเพื่อไม่ให้ตำรวจเก็บหลักฐาน แต่ครั้งนี้พวกเขาจำเป็นต้องทิ้งอุปกรณ์ โดยเช็ดถูให้สะอาดลบร่องรอยอื่นก่อน การหิ้วถุงเพชรขึ้นบันไดขณะออกจากสถานที่เกิดเหตุหลังจากคนดูต้นทางรายงานว่าปลอดโปร่งแล้วก็ต้องหิ้วถุงโดยก้าวอย่างระมัดระวังมากที่สุด ถุงเพชรอย่างเดียวก็หนักเข้าไปถึง 44 ปอนด์ (ราว 20 กิโลกรัม) ขณะที่แบกขึ้นไป คนร้ายอีกรายใช้กุญแจปลอมเข้าไปเปิดประตูห้องควบคุมระบบรักษาความปลอดภัย เอาเทปบันทึกภาพการก่อเหตุออกจากเครื่อง และใส่เทปเปล่าไปแทน เขายังมองหาเทปเก่าโดยเลือกช่วงเดือนที่ผ่านมาอีก 4 ม้วน เป็นเทปบันทึกภาพช่วงที่สมาชิกเข้ามาทำลายระบบเตือนภัยแม่เหล็กไปด้วย เมื่อคนดูต้นทางแจ้งว่าปลอดภัย พวกเขาก็ออกมาใส่ของที่ท้ายรถที่มาจอดเทียบชิดขอบทาง พวกเขานั่งเบียดกันในรถและขับหายไปตามถนน โฉมหน้าลีโอนาร์โด โนทาร์บาร์โทโล วัย 51 ปีหลังถูกจับกุมเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2003 ฉากหลังเป็น Diamond Center ใน Antwerp ประเทศเบลเยียม เมื่อ 18 ก.พ. 2013 หลังเกิดเหตุโจรกรรมเพชร (ภาพจาก STRINGER / BELGA / WIM HENDRIX /AFP) เรื่องเล็กในการ “ขโมยเพชร” ที่พลาดมหันต์ แม้พวกเขาจะทำการสำเร็จ แต่ปัญหาของพวกเขาคือการกำจัดขยะที่เป็นร่องรอยจากปฏิบัติการทั้งหมด ท้ายที่สุดแล้วนักโจรกรรมอัจฉริยะระดับโลกต้องถึงจุดจบ โดยมีหลักฐานคือ “ถุงขยะ” หลังจาก “ขโมยเพชร” แล้ว พวกคนร้ายขับรถซึ่งมีถุงขยะอันบรรจุอุปกรณ์และสิ่งของที่เหลือใช้จากปฏิบัติการเต็มรถไปตามไฮเวย์ด้วยความกระวนกระวาย จนเลือกทิ้งถุงขยะโดยเร็วที่สุดเมื่อออกจากเมือง เลี่ยงความเสี่ยงโดนตำรวจเรียกจอดหากละเมิดกฎจราจร การทิ้งขยะตามสถานที่ส่วนบุคคลหรือเอกชนก็เป็นเรื่องเสี่ยง เพราะเจ้าของกิจการในเบลเยียมจริงจังกับการใช้ถังขยะโดยไม่ได้รับอนุญาต หลายแห่งล็อกฝาถัง หรือติดตั้งกล้องวงจรปิดบริเวณถังขยะ ปั๊มน้ำมันบนไฮเวย์แทบทุกแห่งมีป้ายห้ามทิ้งสิ่งของส่วนตัว ขณะที่การเผาถุงก็ย่อมมีควันไฟที่เรียกความสนใจจากเจ้าหน้าที่ไฮเวย์ ในถุงพวกนี้มีถุงขยะที่ยัดถุงจากร้านค้าซึ่งดันมีใบเสร็จ ซองเอกสาร และเอกสารอื่นจากไดมอนด์ เซ็นเตอร์ และเลือกทิ้งข้างทางหลวงตรงถนนทางเข้าป่าฟลอร์ดัมบอส แต่แล้วดันมีผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินละแวกนั้นที่รักษ์สิ่งแวดล้อมมาพบถุงขยะ และคู่สามีภรรยาคือกลุ่มที่โทรศัพท์แจ้งตำรวจ (แม้แต่คำถามว่า ใครกันแน่ที่รู้ว่าถุงขยะเกี่ยวกับการโจรกรรมที่เป็นข่าวดังเวลานั้น และออกไอเดียให้โทรศัพท์หาตำรวจ ก็ยังเป็นที่ถกเถียงว่า สรุปแล้วเป็นสามีคือออกุสต์ ฟาน ดัมป์ หรือภรรยาของเขากันแน่) ถุงที่ฟาน ดัมป์ พบคือหลักฐานสำคัญที่ทางการแกะรอยได้อย่างรวดเร็วกว่าที่คิด ทำให้ผู้ก่อการทั้ง 4 คนถูกจับในที่สุด โดยเฉพาะใบเสร็จที่เมื่อตำรวจนำไปสอบถามกับแคชเชียร์ พนักงานจำได้ทันที และให้รูปพรรณกับตำรวจซึ่งเชื่อว่าเป็นดอโนริโอ และฟิน็อตโต ขณะที่ตำรวจเบลเยียมส่งข้อมูลผู้ต้องสงสัยให้ตำรวจสากล โนทาร์บาร์โทโลและพวกยังฉลองความสำเร็จ และกำลังเดินทางหลบหนี แต่เหลือสิ่งที่เขาต้องทำคือทำลายร่องรอยที่เหลือในแอนต์เวิร์ป อีกทั้งคืนรถเช่า และทำความสะอาดห้องพักซึ่งจากมาอย่างรีบร้อน และยังต้องรูดบัตรผ่านเข้า-ออกไดมอนด์ เซ็นเตอร์ เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อเป็นหลักฐาน เพราะตำรวจจะต้องตรวจสอบว่าผู้เช่ารายใดที่หายไปเลยหลังเกิดเหตุ เมื่อตำรวจตรวจสอบหลักฐานการเข้า-ออกของโนทาร์บาร์โทโล ก็พบว่าเขาอยู่ในกลุ่มสุดท้ายที่ออกจากอาคารก่อนวันเกิดเหตุ จึงนำภาพวิดีโอหลายชั่วโมงมาดู แล้วพบว่า หนุ่มใหญ่ชาวอิตาเลียนเข้า-ออกห้องนิรภัยทุกวันตลอดสัปดาห์ก่อนหน้าเกิดเหตุ ตำรวจเชื่อว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจรกรรม โนทาร์บาร์โทโลมั่นใจว่าไม่มีอะไรที่พาดพิงมาถึงเขา แม้ว่าในข่าวจะมีเรื่องพบถุงขยะแล้ว แต่เขาไม่รู้ว่า เพื่อนร่วมงานฉีกใบจ้างงานติดตั้งกล้องที่ออฟฟิศของเขาแล้วโยนลงถังขยะในครัว ไม่รู้ว่าตำรวจค้นออฟฟิศและตู้เซฟของเขา การกลับที่เกิดเหตุย่อมเหมือนกับการฆ่าตัวตาย แต่โนทาร์บาร์โทโลมั่นใจ และความมั่นใจนั่นเองทำให้เขาโดนรวบตัว ทันทีที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในบูธด้านหน้าเห็นเขาก็คว้าโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่โดยพลัน ช่วงแรกเขายังคิดว่าตำรวจไม่มีหลักฐานพอ และยังเป็นเพียงพยาน แถมยังตีบทงง ไม่เข้าใจว่าควบคุมตัวผู้บริสุทธิ์อย่างเขาทำไม โนทาร์บาร์โทโลมีคำตอบให้ทุกคำถาม แต่ท้ายที่สุดก็จนกับหลักฐานหลายอย่าง ทั้งดีเอ็นเอบนแซนด์วิชไส้กรอกที่โนทาร์บาร์โทโลทำกินเอง แต่กินครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งโยนทิ้งถังขยะในครัวขณะเตรียมขนของหนีไปอิตาลี และมันไปโผล่ในถังขยะใกล้ป่าฟลอร์ดัมบอส และยังพบดีเอ็นเอของผู้ร่วมก่อการอีกหลายจุดที่เชื่อมเข้ากับหลักฐานการโจรกรรม แม้ว่าคนร้ายจะถูกจับกุมได้ แต่เพชรที่ถูกปล้นก็ไม่ได้กลับคืนสู่เจ้าของ เพราะไม่มีคนร้ายคนไหนบอกถึงที่อยู่ของเพชรที่ปล้นมา ช่วงที่โนทาร์บาร์โทโลอยู่ในคุกยังให้สัมภาษณ์แก่นิตยสารไวร์ด (Wired) ว่า การปล้นทั้งหมดเกิดจากแผนที่ผู้เช่าตู้เซฟซึ่งเป็นพ่อค้าเพชรชาวยิวหวังใช้เรียกค่าประกันจากไดมอนด์ เซ็นเตอร์ โดยที่พวกเขาซึ่งมีผู้เช่าตู้เซฟร่วมแผนการด้วยประมาณ 50-60 ราย จะไม่เอาเพชรหรือของมีค่าใส่ไว้ในตู้เซฟ และวางแผนการปล้นโดยจำลองห้องนิรภัยขึ้นมา แล้วเข้าปล้น เขายังกล่าวต่ออีกว่าแผนการครั้งนี้โดนพ่อค้าเพชรชาวยิวหักหลัง แต่มีหลายคนวิเคราะห์ว่าข้อมูลนี้เป็นเรื่องโกหกของโนทาร์บาร์โทโล เพราะสิ่งที่เขาเล่าย้อนแย้งอย่างมาก อีกทั้งเรื่องที่มีผู้เช่าตู้เซฟวางแผนร่วมกันนั้น ผู้เช่าตู้เซฟเห็นว่าเป็นเรื่องตลกที่ไม่มีทางเกิดขึ้น การที่โนทาร์บาร์โทโลให้สัมภาษณ์เช่นนี้ก็เพื่อโยนความผิดให้กับผู้อื่นหรือปกปิดข้อมูลและร่องรอย โนทาร์บาร์โทโลยังต้องการให้นำเรื่องราวของเขาไปทำภาพยนตร์ เพราะเขาหวังส่วนแบ่งรายได้จากสิทธิ์ของข้อมูลเพื่อนำไปใช้อย่างสบายหลังออกจากคุก อีกทั้งเป็นเงินที่ได้มาโดยถูกกฎหมาย และใช้ชีวิตอย่างหรูหราได้โดยอ้างแหล่งที่มาของเงินจากส่วนแบ่งการนำเรื่องราวไปสร้างเป็นภาพยนตร์ (ทั้งที่เจ้าตัวเคยให้สัมภาษณ์ว่าไม่มีวันเผยเรื่องจริง) ท้ายที่สุดแม้ว่าเขาจะถูกศาลตัดสินจำคุก 10 ปี และรับโทษติดคุก เขาก็ยังไม่ได้บอกที่ซ่อนอัญมณีและแผนการปล้น เขากับพวกอีก 3 คน ถูกปล่อยตัวก่อนกำหนด และหลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตแบบเงียบๆ ทั้งนี้ศาลได้ตัดสินคดีจนถึงที่สุดแล้ว คดีนี้จึงจบลง เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องกับคดีให้ความเห็นเมื่อปี 2009 ว่า แม้แต่โนทาร์บาร์โทโลนำเพชรหรือทรัพย์สินที่ปล้นมาขายก็อาจไม่สามารถแจ้งจับได้อีก เพราะไม่สามารถฟ้องซ้ำคดีที่ศาลพิพากษาเสร็จเด็ดขาด นอกเหนือจากมีหลักฐานใหม่ แต่สิ่งที่ทำได้เบื้องต้นคือแค่ยึดเป็นของกลางไว้ และอาจดำเนินคดีในอิตาลีเกี่ยวกับการฟอกเงิน ในขณะที่กลุ่มเจ้าของทรัพย์สินที่ถูกปล้นไปก็ไม่หวังกันแล้วว่าจะได้ของกลับคืน คนในแวดวงเพชรยังรู้สึกโกรธกับบทสรุป เมื่อพวกคนร้ายติดคุกไม่นาน ทรัพย์สินก็ไม่สามารถติดตามกลับมาได้ ที่สำคัญบทสรุปของเรื่องนี้ยังออกมาว่าการทำงานหนักของเจ้าหน้าที่เพื่อติดตามคนร้ายและดำเนินคดี แลกมากับการจองจำผู้ก่อเหตุเพียงไม่กี่ปี และยังพิสูจน์อีกว่า ความเสี่ยง ความยากลำบาก การถูกจับและจองจำ อาจคุ้มค่ากับชีวิตหลังผ่านคดี เมื่อพวกที่ก่อการอาจใช้ชีวิตที่เหลือได้อย่างราบรื่นและสุขสบายจากสิ่งที่ได้จากการโจรกรรม
    putilp148
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false