1 คนสงสัย
ความจริงของ line
เก็บไว้ดูจะได้ไม่ต้องเถียงกันอีก
เล่น #ไลน์ กันมานาน
มาทำความเข้าใจกับ
Note กับ Album

Note และ Album ในไลน์นั้น
ไม่ใช้พื้นที่ความจำของ
เครื่องโทรศัพท์มือถือหรอกนะ

1...ทั้ง note และ album ..ไม่กิน
memory ใน mobile ของใครเลย
เพราะเก็บใน server ของ Line

2...ที่กินที่ ram+memory
ของmobile คือข้อความแชท
และภาพที่รับ-ส่งกันใน
กระดานสนทนา ซึ่งควรล้าง
ออกทุกวัน จะได้พื้นที่
ram+memory คืนมา

3...อีกรายการที่ใช้พื้นที่มาก
คือการ save ภาพที่รับ-ส่งไว้
ในแกลเลอรี่ของ mobile

4...อัลบั้มในห้องLine มีโควต้า
ห้องละ 100 อัลบั้มๆละ
ไม่เกิน 1,000 ภาพ
สมาชิกทุกคนเข้าเพิ่มภาพ
และลบภาพได้
*********************
ถ้าลบภาพจะเป็นการลบออก
จาก server ของ Line
อย่างถาวรกู้กลับคืนไม่ได้
*********************

5...Note ใน Line ไม่มีโควต้า
ถ้าเก็บเยอะก็ค้นหายากหน่อย
และผู้ที่ Post (นำเข้า) ภาพ/
คลิปเท่านั้นที่จะลบได้
ดังนั้น ผู้ที่ post ลง Note
เมื่อหมดกิจกรรมหรือหมด
ประโยชน์ก็ควรจะลบออก
เป็นระยะ ๆ และหากผู้ post
ลง Note ออกจากกลุ่ม หรือ
เปลี่ยนหรือยกเลิกไลน์เดิม
ภาพ/คลิปนั้นก็จะคงอยู่เป็น
อมตะนิรันดร์

6...การท่องเน็ต
...รับ-ส่งโทรศัพท์
...รับ-ส่งSMS
...downloadภาพ-
เพลง-เกมส์ app ต่างๆ
...ถ่ายภาพด้วย mobile
ล้วนเป็นกิจกรรมที่กิน
พื้นที่ ram และ memory ทั้งนั้น
...จึงควรเข้าไปตรวจดูว่า
รายการเหล่านี้ใช้ ram
+memoryไปเท่าไร
...ถ้าลบประวัติการใช้หรือ
รายการที่ไม่จำเป็นออกบ้าง
ก็จะได้พื้นที่คืนมาทันที

7...ตรวจดูเสมอว่า RAM ควรมี
พื้นที่ว่างไม่น้อยกว่า 15%
mobile จึงจะทำงานได้ปกติ
ไม่อืด

เครดิต-ทิพย์วรรณ-TIP
Mrs.Doubt
 •  2 ปีที่แล้ว
0 ความเห็น
ช่วยระบุหมวดหมู่ของข้อความนี้ให้หน่อย
เลือกให้น้อยที่สุด (ถ้าเป็นไปได้)

ยังไม่มีใครตอบ

เพิ่มความเห็นใหม่

กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 1 คนสงสัย
    ถามหน่อยค่ะถ้าเรามีเงินในบัญชีแต่ไม่มีแอปธนาคารในโทรศัพท์มันจะดูดเงินในบัญชีของเราได้มั้ยคะ⁉️
    ⚠️ ถามหน่อยค่ะถ้าเรามีเงินในบัญชีแต่ไม่มีแอปธนาคารในโทรศัพท์มันจะดูดเงินในบัญชีของเราได้มั้ยคะ⁉️ คำตอบ : โดนได้ครับ ถ้าบอกเลขบัญชี + เลขประชาชน + เลขโทรศัพท์มือถือ ให้เขาไป เขาจะไปเปิดบัญชี wallet หรือกระเป๋าเงิน ผูกกับบัญชีธนาคารเรา และโอนเงินออกไป เข้าบัญชี wallet ‼️ วิธีการคนร้าย 1. คนร้ายจะเข้ามาทำทีเป็นลูกค้าขอซื้อของออนไลน์ และขอเลขบัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ และข้อมูลส่วนบุคคลอื่น ๆ ในบัตรประชาชนของผู้เสียหาย 2. คนร้ายจะนำเอาข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านั้น ไปเปิดบัญชีกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-Wallet) ขึ้นมาใหม่ และตั้งค่าบัญชี E-Wallet ให้เชื่อมกับบัญชีธนาคารผู้เสียหาย 3. หลังจากนั้นผู้เสียหายจะได้รับการแจ้งเตือนผ่านโทรศัพท์มือถือ ในทำนองว่า "คุณต้องการที่จะให้บัญชีธนาคารของคุณเชื่อมต่อกับกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์หรือไม่" ซึ่งการแจ้งเตือนมีข้อความค่อนข้างยาว ทำให้ผู้เสียหายหลายรายไม่อยากอ่าน และมองว่าไม่น่าจะมีอันตรายอะไรเกิดขึ้น 4. เมื่อผู้เสียหายกด "ยอมรับ" หรือ "ตกลง" บน Mobile Banking การเชื่อมระหว่างบัญชี Mobile Banking ของผู้เสียหาย กับบัญชี E-Wallet ของคนร้ายก็จะสมบูรณ์ ดังนั้น จึงทำให้คนร้ายสามารถยักย้ายถ่ายโอนเงินออกจากบัญชีธนาคารของผู้เสียหาย ผ่านช่องทาง Mobile Banking ไปยังบัญชี E-Wallet ของคนร้ายจนหมดภายในเวลาไม่กี่นาทีนั่นเอง จึงขอเตือนให้ทุกคนระมัดระวัง และพยายามอย่าให้ข้อมูลส่วนตัวกับใคร หากมีการแจ้งเตือนเข้ามาในโทรศัพท์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับธุรกรรมทางการเงิน อย่าลืมอ่านข้อความที่แจ้งมาอย่างละเอียด หากอ่านแล้วไม่เข้าใจก็ยังไม่ต้องตอบตกลง เพราะไม่แน่ว่าการแตะหน้าจอเพียงครั้งเดียว อาจจะทำให้เงินในบัญชีถูกถอนออกจนหมดก็ได้ เครดิตข้อมูล และภาพ : เฟซบุ๊ก กองปราบปราม (กฎหมายตำรวจและพนักงานสอบสวน by ภูมิรพี ผลาภูมิ)✅
    Mrs.Doubt
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    #ไปยุโรปไม่ต้องทำVisaแล้วจ้า #ใช้ได้3ปี #เริ่มตุลานี้ 𝐍𝐞𝐰 𝐫𝐞𝐪𝐮𝐢𝐫𝐞𝐦𝐞𝐧𝐭𝐬 𝐭𝐨 𝐭𝐫𝐚𝐯𝐞𝐥 𝐭𝐨 𝐄𝐮𝐫𝐨𝐩𝐞 🇪🇺 ยกเลิกวีซ่าเข้า “ยุโรป” 📍 ไม่ต้องขอวีซ่า 📍 ไม่ต้องไป VFS 📍 ใช้ระบบ ETIAS ออนไลน์แทน 📅 เริ่มปลายปี 2025 เป็นต้นไป ✈️ เตรียมตัวเที่ยวสบายขึ้นทั่วยุโรป! พลเมืองไทย สิงคโปร์ และมาเลเซีย จะไม่ต้องไปสถานทูตหรือศูนย์ VFS อีกต่อไปเมื่อต้องการเดินทางไปยุโรป โดยในอนาคตอันใกล้ เราจะสามารถยื่นขออนุญาตเดินทางแบบออนไลน์ ผ่านระบบ ETIAS ซึ่งจะมาแทนขั้นตอนการขอวีซ่าที่ล่าช้าและยุ่งยากในอดีตสำหรับการเดินทางระยะสั้น นี่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับผู้เดินทางจากประเทศที่ได้รับการยกเว้นวีซ่า การอัปเดตนี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบใหม่สองระบบที่สหภาพยุโรปกำลังจะเริ่มใช้ ได้แก่ ระบบ Entry/Exit System (EES) และ ระบบ European Travel Information and Authorisation System (ETIAS) โดยทั้งสองระบบมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความปลอดภัยชายแดน พร้อมกับอำนวยความสะดวกให้กับนักเดินทาง EES: ไม่มีการประทับตราหนังสือเดินทางอีกต่อไป ตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2025 ระบบ Entry/Exit System จะเข้ามาแทนที่การประทับตราหนังสือเดินทางที่จุดผ่านแดนของ 29 ประเทศในยุโรป รวมถึงเดนมาร์ก สวีเดน นอร์เวย์ และฟินแลนด์ ระบบนี้จะใช้กับผู้เดินทางทุกคนที่ไม่ใช่พลเมืองสหภาพยุโรป ซึ่งรวมถึงพลเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เดินทางเข้าสู่เขตเชงเก้นเพื่อพักระยะสั้น เมื่อเดินทางมาถึง ผู้เดินทางจะถูกลงทะเบียนแบบดิจิทัล โดยมีการเก็บข้อมูลดังนี้: • ภาพถ่ายใบหน้า • ลายนิ้วมือ • ข้อมูลหนังสือเดินทาง เช่น วันและสถานที่เดินทางเข้า-ออก ข้อมูลนี้จะถูกนำไปใช้เพื่อตรวจสอบโดยอัตโนมัติว่าผู้เดินทางอยู่เกิน 90 วันภายในช่วง 180 วันหรือไม่ นอกจากนี้ EES ยังช่วยป้องกันการปลอมแปลงตัวตน และลดระยะเวลาการตรวจคนเข้าเมืองลงได้มาก ETIAS: ต้องลงทะเบียนล่วงหน้าก่อนเดินทาง ภายในปลายปี 2025 ผู้เดินทางจากประเทศที่ได้รับการยกเว้นวีซ่า เช่น ไทย สิงคโปร์ และมาเลเซีย จะต้องขออนุมัติการเดินทางผ่านระบบ ETIAS ก่อนออกเดินทางไปยุโรป ETIAS ไม่ใช่วีซ่า แต่เป็นระบบตรวจสอบเบื้องต้นออนไลน์แบบง่าย ผู้สมัครต้องกรอกข้อมูลพื้นฐาน เช่น: • ข้อมูลส่วนตัว • รายละเอียดหนังสือเดินทาง • อาชีพปัจจุบัน • คำตอบเกี่ยวกับประวัติการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง หรือประวัติอาชญากรรม (ถ้ามี) ไม่มีการเก็บข้อมูลทางชีวภาพ (เช่น ลายนิ้วมือหรือใบหน้า) ในขั้นตอนนี้ เมื่อได้รับการอนุมัติแล้ว ETIAS จะมีอายุ 3 ปี หรือจนกว่าหนังสือเดินทางจะหมดอายุ และสามารถใช้สำหรับการเดินทางได้หลายครั้ง ประเทศที่ยังต้องขอวีซ่าเหมือนเดิม สำหรับประเทศที่ยังต้องขอวีซ่าเชงเก้น เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ กฎเดิมยังคงใช้เหมือนเดิม คือต้องยื่นขอวีซ่าผ่าน VFS Global หรือสถานทูตที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะต้องผ่านระบบ EES ที่ด่านพรมแดนเช่นกัน โดยจะมีการสแกนใบหน้า ลายนิ้วมือ แทนการประทับตราหนังสือเดินทางแบบเดิม สิ่งที่นักเดินทางไทยควรรู้ ประเทศไทยอยู่ในรายชื่อประเทศที่ได้รับสิทธิ์ยกเว้นวีซ่าในการเดินทางเข้าสู่เขตเชงเก้นไม่เกิน 90 วัน ซึ่งสิทธินี้ยังคงเหมือนเดิม แต่ตั้งแต่ปลายปี 2025 เป็นต้นไป นักเดินทางไทยจะต้องยื่นขออนุญาตเดินทางล่วงหน้าผ่านระบบ ETIAS ก่อนขึ้นเครื่องบินไปยุโรป นอกจากนี้ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2025 เป็นต้นไป นักเดินทางไทยจะถูกลงทะเบียนในระบบ EES ที่จุดผ่านแดน โดยจะมีการเก็บลายนิ้วมือและภาพใบหน้า แทนที่การประทับตราหนังสือเดินทางแบบเดิม #ยกเลิกvisaeu
    ไม่ระบุชื่อ
     •  12 วันที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ ให้ร่วมบุญช่วยช้าง มีการแนบเลขบัญชี เป็นเรื่องจริงหรือไม่
    21-4-64 พระครูอ๊อด วัดเจดีย์หลวงเชียงใหม่ พระครูอ๊อด เป็นเจ้าภาพ 200,000 บาท #ไม่รู้ว่าจะช่วยเจ้าได้หรือไม่ #ครั้งหนึ่งในชีวิตไถ่ชีวิตช้าง #ฝากบุญใหญ่ให้ญาติธรรมทั้งหลาย #วันนี้ไปดูช้างเห็นแล้วสงสารอยากจะไถ่ชีวิตช้างเชือกนี้มาก เหมือนเขาอยากให้เราช่วยปลดโซ่พันธนาการออกจากเท้าให้ สังเกตุเห็นเอางวงจับที่โซ่หลายครั้ง เลยถามเจ้าของเขาก็อยากจะขาย เลี้ยงไม่ไหวเพราะพิษโควิด #หากไถ่ชีวิตช้างเชือกนี้ได้คงจะเป็นอะไรที่พิเศษมากๆ และจะขอน้อมถวายให้เป็นมรดกแห่งความเมตตาเป็นพุทธบูชาในวันวิสาขบูชา (วันพุธที่ 26 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้) และจะมอบช้างเชือกนี้ ให้เป็นมรดกของแผ่นดินเพื่ออนุรักษ์ ต่อไป ช้างอายุแค่ 8 ปี ราคา 1,180,000 บาท (หนึ่งล้านหนึ่งแสนแปดหมื่นบาท) #วันนี้เลยตัดสินใจ รวบรวมปัจจัยที่โยมถวายพระครูอ๊อดมา จากการเทศน์ การบรรยาย งานสวด และ การสอนหนังสือ มาเททำบุญไถ่ชีวิตให้เจ้าทั้งหมดเลยนะ จำนวน 200,000 บาท #ใจอยากทำก็ทำ ทำแล้วสุขใจพระครูอ๊อดไม่คิดอะไรมาก #แค่อยากให้โยมที่ถวายปัจจัยพระครูอ๊อดมาได้บุญมากๆ แอบตั้งชื่อช้างเชือกนี้ไว้ในใจว่า #เจ้าพลแสน (วาสนาพระครูอ๊อดยังน้อย ไม่รู้จะช่วยเจ้าได้แค่ไหนนะ) #ร่วมบุญได้ที่ "ธ.กรุงไทย 540-0-18694-7" #สอบถามราละเอียดได้ที่ 0808500184 พระครูสังฆรักษ์วีรวัฒน์ วีรวฑฺฒโน (พระครูอ๊อด) วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ ร่วมบุญได้ไม่เกินวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 นี้ (วันที่ 26 พฤษภาคม คือ วันวิสาขาบูชา) #อานิสงส์ช่วยเหลือชีวิตเป็นทาน 1. เป็นผู้ต่อชีวิต ย่อมได้ชีวิตที่ยืนยาว ปลอดภัย มีความสุข และตราบใด ที่ยังไม่สิ้นอายุขัยบุคคลนั้น จะไม่มีกรรมใดๆมาตัดรอนได้ 2. สัตว์ที่พ้นจากที่คุมขังแล้ว อยู่ด้วยความปลอดภัยย่อมดีใจ ปลาบปลื้มใจ ฉันใด บุคคลผู้ให้ชีวิตสัตว์เป็นทาน ก็ย่อมได้รับความปลาบปลื้มใจฉันนั้น 3. ผู้ไห้ชีวิตสัตว์เป็นทานอยู่เป็นนิจ เขาเหล่านี้ย่อมพบแต่มิตร ปราศจากศัตรูมาแผ้วพาน 4.การช่วยให้สรรพสัตว์พ้นจากที่คุมขัง และอันตราย ย่อมส่งผลให้สามารถหลุดพ้น จากเครื่องพันธนาการน้อยใหญ่ ทั้งหลาย #ขออานิสงส์แห่งบุญใหญ่ครั้งนี้จงเกิดแก่ญาติธรรมทุกท่านและครอบครัวอย่างมหาศาล 1 แชร์ 1 บุญใหญ่
    Mrs.Doubt
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ทุนการศึกษาปีละ 5,000 บาท ต่อเนื่อง 5 ปี สำหรับนักเรียน นักศึกษา ที่เป็นลูกของผู้เสียชีวิตจากโควิด ครับ 🙏 จริงหรือไม่
    ทุนการศึกษาปีละ 5,000 บาท ต่อเนื่อง 5 ปี สำหรับนักเรียน นักศึกษา ที่เป็นลูกของผู้เสียชีวิตจากโควิด ครับ 🙏 โดยไม่จำกัดจำนวนทุน และไม่จำกัดระดับชั้นการศึกษา ฝากแชร์ เผยแพร่ต่อ ส่งข่าวให้ถึงผู้สูญเสียด้วย ครับ … ‘มูลนิธิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์’ มอบทุนการศึกษาต่อเนื่อง ๕ ปี ๆ ละ ๕,๐๐๐ บาท ให้นักเรียนนักศึกษาที่เป็นบุตรของผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัส ‘โควิด-๑๙’ โดยไม่จำกัดจำนวนทุน และไม่จำกัดระดับชั้นการศึกษา เนื่องด้วยมูลนิธิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ มีความประสงค์สนับสนุนทุนการศึกษา เพื่อช่วยเหลือนักเรียน นิสิต นักศึกษา ผู้เป็นบุตรของผู้เสียชีวิตจากโรค “โควิด-๑๙” และได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส “โควิด-๑๙” โดยไม่มีเงื่อนไขที่ต้องใช้คืนแต่อย่างใด เพียงมุ่งหวังให้ทุนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมให้กำลังใจ และสนับสนุนสร้างคนดี คนเก่ง มีคุณธรรมในสังคม ทั้งนี้ เพื่อให้การจัดสรรทุนการศึกษา เป็นไปด้วยความเรียบร้อยทั่วถึง จึงกำหนดรายละเอียด วัตถุประสงค์ คุณสมบัติ เอกสารการยื่นใบสมัคร และเกณฑ์การคัดเลือก ดังต่อไปนี้ วัตถุประสงค์ ๑. เพื่อบำเพ็ญกุศลเนื่องในอายุวัฒนมงคลครบ ๘๕ ปี เจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต ประธานกรรมการมูลนิธิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๔ ๒. เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส “โควิด-๑๙” คุณสมบัติของผู้สมัคร ๑. เป็นผู้มีสัญชาติไทย ๒. เป็นบุตรของผู้เสียชีวิตจากโรค “โควิด-๑๙” ๓. กำลังศึกษาอยู่ เอกสารการยื่นใบสมัคร ๑. สำเนามรณะบัตรของบิดาหรือมารดาที่ระบุว่าเสียชีวิตจากโรค “โควิด-๑๙” ๒. สำเนาบัตรประจำตัวหรือหนังสือรับรองสถานภาพ นักเรียน นิสิต นักศึกษา ๓. สำเนาระเบียนแจ้งผลการศึกษาในภาคเรียนที่ผ่านมา โดยมีอาจารย์ที่ปรึกษาลงนามรับรอง ๔. สำเนาทะเบียนบ้านทั้งของผู้รับทุนและผู้เสียชีวิต ๕. สำเนาหน้าสมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร ที่เป็นชื่อของนักเรียน นิสิต นักศึกษา เกณฑ์การคัดเลือก มูลนิธิฯ จะคัดเลือกจากข้อมูลตามเอกสารการสมัครที่ครบถ้วน ผ่านช่องทางการรับสมัคร และจะพิจารณาตามขั้นตอนของมูลนิธิฯ ทั้งนี้ ผลการพิจารณาถือเป็นที่สิ้นสุด สำหรับนักเรียน นิสิต นักศึกษาที่มีความประสงค์รับทุนการศึกษา ให้ดำเนินการกรอกข้อมูลได้ที่ https://forms.gle/jweb5cYzkjrZXYhY7 พร้อมแนบไฟล์เอกสารตามที่กำหนด หมายเหตุ ๑. ผู้ที่ได้รับทุนตามบัญชีท้ายประกาศนี้ ซึ่งได้รับทุนการศึกษาในปี ๒๕๖๔ แล้ว จะได้รับทุนต่อเนื่องไปอีก ๔ ปี ๒. ผู้ที่ได้รับทุนต่อเนื่อง ๕ ปี จะต้องส่งเอกสารไปยังมูลนิธิฯ ทุกปี เพื่อส่งหลักฐานการศึกษาให้เป็นปัจจุบัน กรอกข้อมูลรับทุนที่ https://www.facebook.com/135197050358369/posts/1017057262172339/
    Mrs.Doubt
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    วันนี้ดูทีวีพูดถึงเรื่องคนโดนโอนเงินจากมือถือไปโดยไม่ได้ทำรายการอะไรเลย แถมพอรู้ว่าเรื่องสายชาร์ทเป็น Fake News แล้วด้วย เลยคิดถึงอีกวิธีนึงขึ้นมา ที่คนทั่วไปจะเผลอเลอ (รวมทั้งตัวผมเองก็ลืมด้วยหลายครั้งเลย) ก็คือ การลืมปิด WiFi ในมือถือ เวลาที่เราออกไปข้างนอก !!! สาเหตุเป็นเพราะว่า พวก Hacker จะปล่อย Spyware ผ่านทาง Hot Spot WiFi ซึ่งเค้าจะกำหนดให้สามารถเชื่อมต่อได้เลย โดยไม่ต้องใส่ Password จากนั้นก็จะปล่อย Spyware ผ่าน Hot Spot WiFi เช่นกัน ส่งผลให้ผู้ที่เปิด WiFi ค้างอยู่ ก็จะได้รับสัญญาณ Hot Spot WiFi ไปโดยอัตโนมัติ และก็จะได้รับ Spyware ไปด้วยเลย "โดยที่ตัวเองไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมใดๆ ทั้งสิ้น" คราวนี้ถ้าเราใส่ Password อะไรในโทรศัพท์ของเรา มิจฉาชีพก็จะรู้ด้วย รวมถึงรหัสผ่านธนาคารออนไลน์ รหัสผ่านอีเมล และที่สำคัญคือ มิจฉาชีพสามารถเปลี่ยนรหัสธนาคารของเราตอนกลางคืนในขณะที่เราหลับได้อีกด้วย และไม่ต้องสงสัยเลยว่า เมื่อธนาคารส่ง SMS มา มันก็ต้องมีเสียงสิ !!! เพราะว่ามิจฉาชีพเค้าก็จะสามารถปิดเสียงโทรศัพท์ หรือลบ SMS ที่ธนาคารส่งมาให้เราได้ด้วย ซึ่งแน่นอนว่า... "ธนาคารไม่รับผิดชอบ" เพราะฉะนั้นจึงอยากเตือนพวกเรา ว่าเวลาจะออกไปข้างนอกบ้าน "อย่าลืมปิด WiFi โดยเด็ดขาด" ไม่อย่างนั้นอาจต้องมาปวดหัวกับพวกมิจฉาชีพได้ครับ. อ้อ! เตือนอีกนิดนึง คือ อย่าคิดนะครับว่า แค่เราไม่ติดตั้ง App ธนาคารในโทรศัพท์ก็รอดตัวแล้ว เพราะแค่มิจฉาชีพควบคุมเครื่องเราได้ เค้าก็สามารถเปิดบัญชีออนไลน์(แบบไม่มีสมุดบัญชี)ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นก็ระวังจะเป็น "บัญชีม้า" โดยไม่รู้ตัวนะครับ.!
    ไม่ระบุชื่อ
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ห้ามโพสต์รูปภาพทางออนไลน์
    ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ห้ามโพสต์รูปภาพทางออนไลน์ อ่านบทความด้านล่างเพื่อทำความเข้าใจ ฉันก็จะหยุดเหมือนกัน โปรดลบรูปภาพและวิดีโอของอรุณสวัสดิ์และคำทักทายและข้อความทางศาสนาทั้งหมดโดยเร็วที่สุด อ่านบทความด้านล่างอย่างละเอียดแล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไม อ่านทั้งหมด! โปรดส่งข้อความนี้ถึงเพื่อนให้มากที่สุดโดยเร็วที่สุดเพื่อป้องกันการบุกรุกที่ผิดกฎหมาย คำเตือนจากทนายความ Olga Nikolaevnas: ความสนใจ! สำหรับคนที่ชอบส่ง Good Morning! มันเป็นวันที่สวยงาม! สวัสดีตอนเย็น! รูปภาพ. กรุณาอย่าส่งข่าวดีเหล่านี้ วันนี้ Shanghai China International News ได้ส่งสัญญาณความทุกข์ให้กับสมาชิกและผู้เชี่ยวชาญทุกคน - คำแนะนำ: อย่าส่งรูปภาพและวิดีโอเช่นอรุณสวัสดิ์และราตรีสวัสดิ์ รายงานแสดงให้เห็นว่าแฮ็กเกอร์ออกแบบรูปภาพ และรูปภาพและวิดีโอนั้นสวยงาม แต่ซ่อนรหัสฟิชชิ่ง เมื่อทุกคนส่งข้อความเหล่านี้ แฮ็กเกอร์จะใช้อุปกรณ์ของคุณเพื่อขโมยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ข้อมูลบัตรธนาคารและข้อมูล และเจาะเข้าไปในของคุณ โทรศัพท์. มีรายงานว่ามีผู้เสียหายมากกว่า 500,000 รายที่ถูกหลอก หากคุณต้องการทักทายใครสักคน ให้เขียนคำทักทายของคุณเองและส่งรูปภาพและวิดีโอของตัวเอง เพื่อป้องกันตัวเอง ครอบครัว และเพื่อนๆ สำคัญ ! เพื่อความปลอดภัย อย่าลืมลบคำทักทายและรูปภาพทั้งหมดออกจากโทรศัพท์ของคุณ หากมีคนส่งภาพดังกล่าวถึงคุณ ให้ลบออกจากอุปกรณ์ทันที โค้ดที่เป็นอันตรายต้องใช้เวลาพอสมควร ดังนั้นหากคุณดำเนินการทันที ก็จะไม่เกิดอันตรายใดๆ บอกเพื่อนของคุณเพื่อป้องกันการถูกแฮ็ค ทักทายด้วยคำพูดของคุณเองและส่งเฉพาะภาพและวิดีโอที่คุณสร้างขึ้นเพื่อทักทาย มันปลอดภัยอย่างสมบูรณ์สำหรับตัวคุณเอง ครอบครัว และเพื่อนของคุณ โปรดดูสิ่งที่ฉันหมายถึง! ทุกคนมีบัตรธนาคารติดอยู่กับโทรศัพท์ และทุกคนก็มีรายชื่อมากมายในโทรศัพท์ การแฮ็กแบบนี้ไม่เพียงแต่เป็นภัยคุกคามต่อตัวคุณเอง แต่ยังรวมถึงโทรศัพท์ เพื่อน และคนรู้จักของคุณด้วย! นี่มันโหดร้าย นี่คือเทคโนโลยีใหม่ที่ผู้ก่อการร้ายใช้เพื่อเข้าถึงซิมการ์ดมือถือของคุณและทำให้คุณเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด! ! ! * * * ส่งข้อความนี้ถึงญาติและเพื่อนให้ได้มากที่สุดเพื่อหยุดการบุกรุกที่ไม่ได้รับอนุญาต! ! ! ว้าว ! ! ! เรียน ครอบครัวและเพื่อนรัก! ! เป็นความจริงที่ Zafar บอกฉันเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อฉันอยู่ในกาตาร์และอธิบายเรื่องการแฮ็กอย่างชัดเจน เขาถามว่าทำไมผู้คนถึงสร้าง/ออกแบบภาพที่สวยงามเหล่านี้ได้ฟรี มีเครือข่ายแฮ็กเกอร์อยู่เบื้องหลัง เขาถามฉันเมื่อนานมาแล้วว่าอย่าส่งภาพที่ออกแบบไว้ล่วงหน้าเหล่านี้ให้เขา เพราะเขาทำงานจากที่บ้านและไม่ต้องการให้โทรศัพท์ของเขาถูกแฮ็ก เราไม่จำเป็นต้องอวยพรกันและกันด้วยการส่งภาพเหล่านี้ เราสามารถส่งข้อความแสดงน้ำใจด้วยการเขียนกันเอง หวังว่าพวกคุณคงไม่ว่าอะไรถ้าฉันไม่ส่งภาพอรุณสวัสดิ์ วันดีๆ เหล่านี้ และขอให้คุณไม่ส่งฉันเช่นกัน
    Mrs.Doubt
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    เรื่อง mobile application
    @Pantip เมื่อเช้าได้ข้อเท็จจริงและแนวทางปฏิบัติมาจากฝ่าย cybersecurity แล้วค่ะ เรื่อง mobile application 1) โจรสามารถเข้ามือถือเราผ่านระบบ remote ได้ หากเราอนุญาต ผ่านการ click link ที่โจรส่งมา => ดังนั้นไม่ควร click link ใดๆ 2) แม้ remote มาเข้าหน้าจอได้ โจรก็จะเข้า mobile app ไม่ได้ หากไม่มี Pin นอกจากเจ้าของ app บอกเอง หรือพิมพ์ PIN ไว้ใน note หรือตรงไหนสักแห่งในมือถือที่โจรสามารถมองเห็นจากการ remote ได้ แต่โจรจะไปเอา pin ออกมาเองจาก mobile application ไม่ได้ แต่ทั้งนี้ พบว่า มี user ที่ตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก ที่ยอมบอก PIN ให้กับโจรเอง เพราะรู้เท่าไหม่ถึงการณ์ จึงนำไปสู่การป้องกันข้อที่ 3 ที่กำลังดำเนินการคือ 3) ปี 2023 ทุกธนาคารกำหนดให้ การ remote เข้าหน้าจอมือถือ จะไม่สามารถเข้า mobile application ได้ อดีตอาจเข้าได้หากมี PIN แต่ตอนนี้ ต่อให้มี PIN ก็เข้าไม่ได้ PIN จะทำงานก็ต่อเมื่อเจ้าของมือถือกดจากหน้าจอเองเท่านั้น และต้องไม่ใช่ในระหว่างที่มีการ remote ด้วย 4. สำหรับความเสี่ยงเรื่อง เอาข้อมูลส่วนตัวไปลงแอพใหม่ในมือถือเครื่องใหม่ อดีตอาจทำได้ เพราะธนาคารอำนวยความสะดวกให้คนที่มีอุปกรณ์หลายเครื่องใช้พร้อมกันได้ แต่ตอนนี้ธนาคารใหญ่ๆ ทั้งหมด กำหนดเรื่อง single device แล้ว คือ ลง mobile application ได้ ในมือถือเพียงเครื่องเดียวเท่านั้น หากจะลงเครื่องใหม่ จะต้อง disable เครื่องเก่าก่อนค่ะ คนที่ถือเครื่องที่ใช้อยู่จะต้องมีการอนุญาตให้ลงเครื่องใหม่ จึงจะลงได้ ดังนั้นค่ะ *แนวทางในการป้องกัน* คือ 1.อย่าคลิกลิงค์ใดๆ จากคนไม่รู้จักและที่ดูดีมีประโยชน์เกินจริง 2.อย่ายอมให้ใคร remote เข้าเครื่องได้ การ remote เจ้าของเครื่องต้อง accept เขาจึงจะเข้าได้ หากเราไม่ accept ผ่านหน้าจอเราเข้าก็เข้าไม่ได้ 3.อย่าพิมพ์ PIN หรือรหัสผ่านอะไรไว้ตาม note หรืออะไรในมือถือ ถ้าจะพิมพ์ก็เอาที่ใกล้เคียง พอให้เราช่วยนึกออกก็พอ อย่าเขียนตรงๆ เพราะโจรจะเดายาก ถ้าเดาผิดหลายครั้ง ระบบก็จะ lock โจรก็ทำรายการไม่ได้ เราอาจจะลำบากไปปลดล็อคกับด้วยตัวเอง แต่ก็ปลอดภัยกว่าให้โจรเข้าระบบเราได้ค่ะ ประมาณนี้ค่ะทุกท่าน ขอให้ปลอดภัยในการใช้ mobile application ค่ะ
    Mrs.Doubt
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ในที่สุด ความจริงก็ถูกเปิดเผย โดย ผู้ตัดต่อพันธุกรรมเชื้อโควิด 19 เอง โควิด19 มาจากฝีมือมนุษย์ จริงหรือไม่
    ในที่สุด ความจริงก็ถูกเปิดเผย โดย ผู้ตัดต่อพันธุกรรมเชื้อโควิด 19 เอง... ************** โควิด19 มาจากฝีมือมนุษย์ มีแหล่งที่มาจากห้องแลป ไวรัส P3รัฐคาโรไลน่าเหนือของอเมริกา!!! นาย Greg Roubini ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองชื่อดังของอเมริกาให้สัมภาษณ์ของผู้สื่อข่าวช่องข่าวทีวีที่1 ของอเมริกาได้เป็นผู้เผยความลับนี้ นาย Greg เผยว่า ไวรัสโควิด19 ได้รับการออกแบบทางพันธุกรรมเพื่อใช้เป็นอาวุธชีวภาพ - มีแหล่งที่มาจากห้องแลป BSL-3 รัฐ คาโรไลน่าเหนือ พัฒนาโดย ศาสตราจารย์ราล์ฟ บาร์ริก - พร้อมกันนั้น เขาระบุว่า ไวรัสถูก “รัฐบาลมืด” จากรัฐคาโรไลน่าเหนือส่งไปแพร่ระบาดในประเทศจีน อิตาลี และอเมริกาทั้งประเทศ ##..ก่อนหน้านี้ในวันที่ 15 มีนาคม นายเกรก ก็ได้ทวิตข้อความถามนายทรัมป์ว่า - เหตุใดจึงไม่บอกประชาชนอเมริกาว่า ไวรัสผลิตจากอเมริกา? ทำไมไม่อธิบายให้ชัดเจนว่าตัวไวรัสเองแท้จริงแล้วคืออาวุธชีวภาพ? **บังเอิญ ศาสตราจารย์ Luc Montanier ผู้ได้รับรางวัลโนเบลเนื่องจากเป็นผู้ค้นพบไวรัสเอชไอวีได้เปิดเผยกับนักข่าวชาวฝรั่งเศสเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาว่า - โควิด19 ไม่ใช่มาจากธรรมชาติ หากแต่ได้รับการพัฒนาอย่างประณีตโดยนักวิทยาศาสตร์ชีวโมเลกุล ***ศาสตราจารย์ Luc Montanier ยืนยันว่า เป็นเรื่องเด่นชัดที่เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญได้นำเชื้อไวรัสที่มาจากค้างคาวเข้าไปเพิ่มความเข้มข้นของเชื้อเอชไอวีเข้าไปด้วย - นี่คือ การวางยาพิษที่ชั่วร้ายที่สุดที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของโลก ***นั่นคือการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19 สุดโหด ข่าวเกี่ยวกับ “เชื้อโควิด19 เป็นอาวุธชีวภาพที่มาจากการตัดต่อพันธุกรรมโดยฝีมือมนุษย์” มาโดยตลอด ***นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกพยายามทำงานหาแหล่งที่มาของเชื้อไวรัสโดยนักวิทยาศาสตร์อินเดียค้นพบว่า เชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ุใหม่มีเชื้อเอชไอวีแทรกอยู่ด้วย นี่แสดงให้เห็นว่าไวรัสตัวนี้มาจากการตัดต่อทางพันธุกรรม ***กลางเดือนมีนาคม นักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์พบว่าเชื้อไวรัสโควิด19จากผู้ป่วยรายหนึ่งในรัฐวอชิงตันพบว่าวัฏจักรวิวัฒนาการของมันมียาวนานกว่าครึ่งปีมาแล้ว พร้อมๆกับการศึกษาลึกซึ้งลงไปว่า ประเทศต่างๆในโลกไม่น้อยได้เบนสายตาแห่งความสงสัยไปที่อเมริกา ประเทศต่างๆ ทั้งญี่ปุ่น อิตาลี ออสเตรเลีย ล้วนมีผู้ป่วยทียืนยันว่ามีแหล่งที่มาจากอเมริกาทั้งสิ้น *** ในเวลาต่อมา ROBERT REDFIELD ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกายอมรับว่า ผู้ป่วยตายจากไข้หวัดใหญ่ในเดือนกันยายน 2019 มีอยู่ไม่น้อยที่ตายจากเชื้อไวรัสโควิด19 นี้ - ต่อปัญหานี้โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีน นายจ้าวลี่เจียงได้ทวิตข้อความในทวิตเตอร์ถามผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา ว่า ผู้ป่วยรายแรกของอเมริกาเกิดขึ้นตอนไหน? ชื่ออะไร? อยู่โรงพยาบาลอะไร? และเป็นไปได้อย่างมากที่ทหารอเมริกานำเชื้อมาแพร่ที่อู่ฮั่น. >>>>อเมริกาต้องโปร่งใส ต้องเปิดเผยข้อมูลนี้ให้โลกได้รู้ความจริง **ด้วยความพยายามอย่างสุดความสามารถของคณะผู้สื่อข่าวคณะหนึ่งแห่งรัฐเวอร์จิเนีย ในที่สุดก็ได้ตามหาผู้ป่วยรายแรกจนพบ นั่นก็คือ ทหารอเมริกาที่เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาทหารที่อู่ฮั่นของจีนในเดือนตุลาคม 2019 นางมีชื่อว่า "Maatje Benassi" >>>นายทหารหญิงของอเมริกาคนนี้มีภูมิหลังพิเศษตรงที่นางมีความเกี่ยวข้องกับห้องปฏิบัติการชีวเคมี P4 ของนาย FORT DETRICK *** คนในครอบครัวก็มีหลายคนที่ยืนยันว่าผู้ติดเชื้อในจำนวนนี้มีอยู่คนหนึ่งเป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อรายแรกในฮอลแลนด์ ก่อนติดเชื้อเขาเคยไปในเขตพื้นที่ลอมบาร์เดียของอิตาลี ทำให้เขตพื้นที่นั้นเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด19 ***มาถึงตรงนี้ หลักฐานเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโควิด19 มีต้นกำเนิดจากอเมริกาอย่างแน่นอน มีห่วงโซ่เชื่อมร้อยอย่างครบถ้วน ทหารพิเศษ 5 คนที่อเมริกาส่งเครื่องบินมารับกลับไปภายหลังการแพร่ระบาดของไวรัสและห้องแลปที่ถูกปิดตาย ก็สามารถนำมาปะติดปะต่อกันได้แล้ว หากว่ากันตามตรรกะของนายทรัมป์ เราก็สามารถเรียกเชื้อโควิด19 เป็น "ไวรัสนอร์ธคาโรไลนา" (Virus North Carolina) หรือ "ไวรัสอเมริกา" ***ในขณะที่หลักฐานทั้งหมดต่างชี้ไปที่อเมริกา เจ้าหน้าที่ชั้นสูงของอเมริกายอมรับอย่างเปิดเผยว่า เชื้อโควิด19 ไม่จัดอยู่ในชั้นของโรคระบาด แต่จัดอยู่ในชั้นของอาวุธชีวภาพ >>>#”ความไร้ยางอายทำให้โลกตะลึงและได้เพิ่มข้อน่าสงสัยว่าอเมริกาเป็นผู้วางยาพิษคนทั้งโลก. เพื่อขายวัคซีนป้องกันมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ขาดดุลการค้า” >>>เรื่องทั้งหมดได้ปรากฏชัดเจนแล้ว แต่ทว่าทรัมป์ยังพยายามโยนบาปอย่างไม่คิดชีวิตให้จีนรับเคราะห์แทนอย่าง น่ารังเกลียดที่สุด ***เชื้อโควิด19 ได้ก่อให้เกิดภัยพิบัติและความสูญเสียที่ยากจะประเมินได้ บาปนี้มันใหญ่หลวงเกินกว่าจะโยนออกไปแล้วโทษคนอื่น ***ยังมีข้อน่าสงสัยที่นายเกรกได้ตีแผ่ออกมา นายราล์ฟ บาร์ริค ผู้รับผิดชอบพัฒนาไวรัส รัฐคาโรไลนาเหนือคนนี้เป็นใคร *** นาย บาร์ริคมาจากมหาวิทยาลัยคาโรไลนาเหนือ เขาเป็นหัวหน้านักไวรัสวิทยาที่เปลี่ยนโฉมใหม่ของโรคซาร์สโคโรนาไวรัสโดยการตัดต่อยีนในปี 2015 - และเขายังเป็นผู้นำในการวิจัยและพัฒนาไวรัสดังกล่าวอีกด้วย ที่น่าตกใจก็คือ เขาเป็นบุคคลที่รับผิดชอบด้านการพัฒนาทางคลินิกของยาวิเศษ "RADEXIVIR" เป็นไป อย่างที่โบราณว่าไว้ คนที่วางยาพิษก่อนอื่นต้องเตรียม# ยาแก้พิษไว้ก่อนเสมอ!!!! - ยา RIDESIVIR ภายหลังจากปฏิบัติการทางคลินิกและถูกตั้งข้อสงสัยโดยผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยของมันจึงทำให้ตกกระป๋องไปพร้อมๆกับการแพร่ระบาดที่ลุกลามออกไปทั่วโลก ***อเมริกากลายเป็น “ศูนย์กลางการล้างโลก” ไปแล้ว - การแพร่ระบาดในช่วงแรกของอเมริกา ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้ให้ความสาคัญกับมันเลยโดยมองว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ที่หนักกว่าปกติเท่านั้นเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าคนของตนเองผลิตมันขึ้นมาจนกระทั่งเพื่อนรักของเขาคือ "นายสแตนลี่ย์ เชล่า" เจ้าพ่อวงการอสังหาริมทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่แห่งนิวยอร์กเสียชีวิตจากเชื้อไวรัสโควิด19 >>>>ถึงเวลานี้จีนได้ฟ้องร้องต่อศาลโลกว่า อเมริกาเป็นต้นเหตุในการแพร่เชื้อไวรัสโควิด 19 อย่างตั้งใจเพื่อทำลายล้างจีนและ ปชช ทั่วโลก*** >>>ตอนนี้คงต้องรอดูการสืบสวนของศาลโลกว่าจะตัดสินออกมาเช่นไร? ซึ่งถึง ณ เวลานี้ ทรัมป์เริ่มรู้สึกตัวและให้ความสาคัญในระดับสูง #แต่ว่าสายไปเสียแล้ว!!! **Ny Ny*
    Mrs.Doubt
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    หลุมพรางสร้างความเกลียดชังทางศาสนาอิสลาม
    หลุมพราง บ่มเพาะความเกลียดชังทางศาสนา By ประสาร มฤคพิทักษ์ | pmarukpitak@yahoo.com21 ก.พ. 2565 เวลา 11:49 น. หลุมพราง บ่มเพาะความเกลียดชังทางศาสนา กระบวนการสร้างความเป็นอื่นให้กับบุคคลต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา ต่างผิวพรรณ จะใช้สองมือแบ่งกันทำหน้าที่ มือขวาสร้างโรงน้ำแข็ง เพื่อปั้นน้ำเป็นตัว ส่วนมือซ้าย ขุดหลุมพราง บ่มเพาะความจงเกลียดจงชังให้คนอื่นตกหลุมพรางนั้น ในบรรดาข่าวโกหก (Fake News) ที่อยู่บนหน้าจอไฟฟ้า หรือสื่อออนไลน์ ทั้งหลายนั้น ข่าวโกหกเรื่องศาสนาอิสลามมีพื้นที่ค่อนข้างมาก ส่งกันได้ทุกวัน ทั้งๆ ที่ 90% เป็นข่าวโกหก 1.โกหกว่า ศาสนาอิสลามกำลังยึดครองประเทศไทย โดยมีการออก พ.ร.บ. คุ้มครองศาสนาอิสลาม 10 ฉบับ ว่ามีมัสยิดใหม่เกิดขึ้นมาก ว่ามีการทำลายวัดในพุทธศาสนาหลายแห่ง ความจริง กรมการปกครอง ชี้แจงแล้วว่า มีกฎหมายเกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลามเพียง 4 ฉบับ คือ (1) พ.ร.บ. ว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ. 2489 (2) พ.ร.บ.ส่งเสริมกิจการฮัจย์ พ.ศ. 2524 (3) พ.ร.บ.การบริหารองค์การศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 (4) พ.ร.บ.ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2545 ไม่ปรากฏว่ามีกฎหมายคุ้มครองศาสนาอิสลามแต่อย่างใดเลย 2.โกหกเรื่องศาสนาอิสลามจะตั้งศาลอิสลาม เพื่อคนมุสลิมไม่ต้องขึ้นศาลไทยปกติ โดยจะระดมรายชื่อ 10 ล้านคน เพื่อถวายฎีกา โดยอ้างว่า “เพื่อเอกราชทางอำนาจของศาลไทยไม่เสียไปอยู่ในมือมุสลิมที่กำลังจะกลืนไทยพุทธหมดแล้ว” ความจริง ไม่มีเรื่องดังกล่าวเลย จะมีก็แต่การนำหลักศาสนาอิสลามเรื่องครอบครัวและมรดกมาใช้สำหรับพิจารณาคดีที่คู่ความทั้งสองฝ่ายเป็นมุสลิม และอยู่ในเขตอำนาจศาลในพื้นที่ นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สตูล เท่านั้น ตาม พ.ร.บ. ดังกล่าว (พ.ศ. 2489 ข้อ 3.1) 3.โกหกว่ารัฐบาลต้องเอาภาษีประชาชนสร้างมัสยิดให้ชาวมุสลิมทุกจังหวัด ความจริง มัสยิดเป็นศาสนสถานของอิสลาม ดังที่คาธอลิคมีโบสถ์ พุทธศาสนามีวัด ศาสนาอิสลามมีมัสยิดจำนวน 3,965 แห่ง ตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. ปี 2540 มัสยิดทุกแห่งที่สร้างขึ้นมาจากเงินศรัทธาของชาวไทยมุสลิม รัฐบาลไม่ได้จ่ายเงินสร้างแต่อย่างใด ยกเว้นบางจังหวัดเช่น ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ซึ่งรัฐบาลสนับสนุนเงินบูรณะซ่อมแซม ส่วนมัสยิดนครศรีธรรมราชเป็นงบผูกพัน 3 ปี (2557 - 2559) ตามแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนบน 4.โกหกว่ารัฐบาลจ่ายเงินค่าเดินทาง ที่พัก อาหาร ให้ชาวมุสลิมไปประกอบพิธีฮัจย์ที่ซาอุดิอาระเบีย ความจริง ไม่มีเรื่องดังกล่าวเลย ผู้แสวงบุญทุกคนจ่ายเงินเองทั้งสิ้น 5.โกหกว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีสมาชิกที่เป็น สนช. ถึง 63 คน (จากสมาชิกทั้งหมด 233 คน) ที่เป็นมุสลิม กล่าวหาว่า สนช. จำนวนนี้ผลักดัน “ให้มีกฎหมายจัดตั้งศาลซารีอะห์เพื่อให้คนไทยที่มีคดีความกับคนมุสลิมต้องขึ้นศาลนี้ โดยมีผู้พิพากษาเป็นคนมุสลิม” นี่เป็นข่าวเก่าที่แพร่กระจายกันมา ตั้งแต่ 5 ปีก่อน แต่ยังกระจายกันอยู่จนเดี๋ยวนี้ ความจริง สนช. ชุดนั้นมีมุสลิมเพียง 4 คน คือ นิพนธ์ นราพิทักษ์กุล วิทยา ฉายสุวรรณ อนุมัติ อาหมัด และ ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ (ถืออิสลามตามคู่สมรส) เท่านั้น ไม่มีการร่างกฎหมาย ดังกล่าว ไม่มีการเสนอ ไม่มีการพิจารณาใดๆ ทั้งนั้น ยังมีข่าวโกหกอีกหลายอย่าง เช่น สัญลักษณ์ Green Industry ของ กท.อุตสาหกรรม สีเขียวบนสลากกินแบ่งรัฐบาล ก็หาว่า “เป็นตราฮาลาลเพื่อเอาใจมุสลิม” ข่าวโกหกว่าชาวไทยมุสลิมกู้เงินธนาคารอิสลาม “โดยไม่ต้องใช้หนี้คืนได้” ข่าวโกหกว่า พ.ร.บ.ฮัจย์ “ทำให้อิสลามเข้าควบคุมการปกครอง” กระทรวงมหาดไทย ข่าวโกหกว่าผู้นำซาอุดิอาระเบียแต่งตั้ง “ให้นายกฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นำคนอิสลามเข้าไทยแบบผิดกฎหมายได้” ทั้งหมดนี้เป็นข่าวโกหกอย่างสิ้นเชิงที่นำมาเผยแพร่กันโดยเฉพาะในกลุ่มไลน์ที่แพร่กระจายอย่างเสรีและยากต่อการควบคุม บทเรียน 6 ตุลาคม 2519 ของขบวนการขวาพิฆาตซ้ายที่ปั้นข่าวเท็จกลายเป็นโศกนาฏกรรมล้อมปราบที่ ม. ธรรมศาสตร์ มีการเผานั่งยางนักศึกษา มีการฆ่าแขวนคอ ที่สนามหลวง แม้แต่การโฆษณาชวนเชื่อของ ฮิตเลอร์ และนาซีเยอรมันที่สร้างความรังเกียจทางเชื้อชาติ สังหารคนยิวไป 6 ล้านคน จะไม่เก็บรับบทเรียนกันบ้างหรือไร เมื่อ 16 ก.พ. 2565 ณ วัดราชบพิธฯ สมเด็จพระสังฆราช ประทานพระวโรกาสให้ ดร.มูฮัมหมัด บิน อับดุลการีม อัลอีซา เลขาธิการองค์การสันนิบาตมุสลิมโลก (OIC) เข้าเฝ้า ทรงรับสั่งว่า “คนไทยคุ้นเคยกับวัฒนธรรมประเพณีของศาสนาอิสลามมานานแล้ว อย่างน้อยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งมีชาวมุสลิมจากตะวันออกกลางเข้ามาค้าขายหรือรับราชการในเมืองไทย มีผู้สืบเชื้อสายมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นสกุลใหญ่ที่รู้จักกว้างขวาง..... .....ยามที่ชาวมุสลิมมีการงานประเพณีใด ชาวพุทธก็นำสิ่งของไปช่วยงาน ในขณะที่ ถ้าชาวพุทธมีการงานประเพณีใด ชาวมุสลิมก็นำสิ่งของมาช่วยงานเช่นเดียวกัน ทรงสามารถยืนยันได้ เพราะได้เคยทอดพระเนตรเห็นประจักษ์มาด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้ “พระมหากษัตริย์ไทย” ทุกพระองค์ มีพระบรมราชปณิธานที่จะพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์บำรุงทุกศาสนา พระบรมราโชบายเช่นนี้ จึงทำให้เมืองไทย มีความสงบร่มเย็นด้วยสามัคคีธรรมเสมอมา” เลขาธิการ OIC กราบทูลแสดงความปิติยิ่งในพระดำรัส และยังกราบทูลถวายคำยืนยันว่า “บุคคลใดผู้ยุยงให้ผู้คนในสังคมรู้สึกแตกแยกบาดหมางกัน โดนอ้างความแตกต่างกันทางศาสนา บุคคลนั้นไม่ได้ชื่อว่าเป็นมุสลิมที่แท้จริง....... ......เพราะการก่อให้เกิดความร้าวฉานนั้น เป็นความชั่วร้ายที่ไม่อาจกล่าวได้ว่า เป็นตัวแทนของศาสนาใดๆ ในโลก ผู้ที่กระทำการเช่นนั้น ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของเขาเอง” สมเด็จพระสังฆราช และผู้นำองค์กรมุสลิมโลก ได้แสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์แห่งความสมานฉันท์ที่มีมายาวนานตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และไม่ปรารถนาจะเห็นความขัดข้องหมองใจใดๆ เลย กลุ่มสร้างความเกลียดชังทางศาสนา ไม่เรียนรู้เลยหรือว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงทำให้ชาวไทยมุสลิมในภาคใต้ ภาคภูมิใจที่ได้เป็นคนไทย ในแผ่นดินแห่งนี้ เมื่อปี 2511 พระองค์ท่านเสด็จไปงานเมาลิดกลางแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นวันคล้ายวันประสูติองค์ศาสดาพระมูฮัมหมัด โดยมีการเชิญพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน เป็นการเปิดงาน พระองค์ตรัสกับ นายต่วน สุวรรณศาสน์ อดีตจุฬาราชมนตรีว่า “พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานที่ถูกเชิญในวันนี้ เขาอ่านได้จับใจไพเราะเหลือเกิน แต่ทำอย่างไรที่จะให้พสกนิกรเรา ทั้งชาวไทยหรือไม่ใช่ก็ตามที และทุกหน่วยงานองค์กรของรัฐได้เข้าใจว่า อัลกุรอานซึ่งเป็นธรรมนูญชีวิต และเป็นคำบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ มีความหมายอย่างไร” แล้วพระองค์ท่าน ก็พระราชทานทุนทรัพย์ก้อนแรกให้กับอดีตจุฬาราชมนตรี เพื่อหาคนแปล จึงได้เกิด “พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน” ฉบับแปลเป็นภาษาไทยที่เป็นคุณูปการยิ่งต่อการศึกษาศาสนาอิสลามของชาวไทยมุสลิมทั้งปวง ต่อเนื่องมาถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ที่เสด็จงานเมาลิดกลาง และพระราชทานพระกรุณาให้กับชาวไทยมุสลิมโดยไม่ทรงแบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนาใดๆ เลย การเอาเรื่องเท็จมาปั้นแต่งโฆษณาว่าเป็นเรื่องจริง การหยิบเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาเป็นเรื่อง การเอาเรื่องเล็กมาขยายเป็นเรื่องใหญ่ การเอาเฉพาะส่วนมาแทนที่ส่วนทั้งหมดเป็นวิสัยของมนุษย์ จำพวกไหน กระบวนการด้อยค่าบุคคลต่างศาสนา ด้วยวิธีสร้างความเป็นอื่น ขุดหลุมพรางบ่มเพาะความเกลียดชังทางศาสนา จะใจร้ายอำมหิตไปถึงไหน จึงโกหกมดเท็จรายวันไม่หยุดหย่อน เหมือนไม่เกรงนรกหมกไหม้ หรืออย่างไร.
    ชุมพล ศรีสมบัติ
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 4 คนสงสัย
    บำบัดโควิดแบบแผนไทย หายได้จริงหรือ
    เมื่อคืนก่อนสองยาม ได้ฟังเรื่องดี ข่าวดี เริ่อง การรักษาโควิด แบบแผนไทย หายได้จริง ในรายการเพลงกับข่าว ของคุณ ทิพวรรณ ปิ่นภิบาล นักร้องชื่อดัง -เล่าเรื่องจริง ครอบครัวที่เธอรู้จักดี สามีติดโควิดจากที่ทำงาน อย่างไม่รู้ตัว พลอยรับเคราะห์ทั้งบ้าน มี ภรรยา พ่อตา แม่ยาย เครียดจนไม่ต้องบรรยาย ติดต่อ รพ. บางแห่งก็เต็มให้รอ ในที่สุดคว้ายาไทยตามที่ได้ยินมา ช่วยตัวเอง และ ทำตัวตามที่ได้ยินมา ว่า โควิด กลัวของร้อน และ น้ำมะนาว เธอตั้งสติ ต้มน้ำขิง กินทั้งวัน และ กินฟ้าทะลายโจร 3 เวลา ครั้งละ 5 เม็ด ดื่มน้ำมะนาว ผสมน้ำอุ่น เช้าเย็น กินอาหารสมุนไพรไทย แบบกินแล้ว เหงื่อแตก-เหงื่อแตน พอ 5 วันผ่านไป ตรวจใหม่ ผล ออกมาเป็น ลบ ไชโย กันทั้งบ้าน พร้อมเล่าเรื่องจริง ให้ทุกคนที่เป็น หรือเสี่ยง ทำตามนี้ืเป็นบุญ เป็นวิทยาทาน--
    Mrs.Doubt
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false