1 คนสงสัย
แม่เสพยาเสพติดขณะตั้งครรภ์ระวังลูกผิดปกติเกิดภาวะวิกฤติเสี่ยงตายทั้งคู่ จริงหรือคะ
แม่ที่เสพยาในกลุ่มแอฟตามีนหรือยาบ้าในขณะตั้งครรภ์จะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์อย่างมาก เสี่ยงต่อการแท้ง ทารกเสียชีวิตในครรภ์หรือขณะคลอด เกิดภาวะคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกเกิดต่ำกว่าเกณฑ์ มีความผิดปกติของหัวใจ ภาวะเลือดออกในสมอง เซลประสาทถูกทำลาย สมองตาย ศีรษะเล็ก ทารกที่คลอดจากแม่ที่ติดยาบ้าจะมีอาการติดยาบ้าเช่นเดียวกับแม่ มีปัญหาภาวะกดการหายใจ ร้องไห้ไม่หยุด กระวนกระวาย ไม่ดื่มนมตามปกติ เลี้ยงดูยาก เมื่อโตขึ้นจะมีความผิดปกติของของสมาธิและความจำ มีความผิดปกติทางด้านพฤติกรรมต่างๆตามมา นอกจากนี้สารเสพติดในกลุ่มฝิ่น เฮโรอีนจะทำให้เกิดภาวะครรภ์เป็นพิษเลือดออกในครรภ์ และสารเสพติดประเภทสารสารระเหยจะเข้าสู่ทารกในครรภ์ผ่านทางรกและเลือด ทำให้ทารกติดเชื้อได้ง่าย ขาดออกซิเจน เซลล์สมองพัฒนาการต่ำหรือไม่พัฒนาเลย ซึ่งในปัจจุบันพบแม่ที่ไม่ฝากครรภ์และติดสารเสพติดเป็นจำนวนมากในบางรายเมื่อคลอดแล้วต้องการทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลหรือขายต่อทารกให้กับผู้อื่นไม่ต้องการนำกลับบ้านไปรับภาระเลี้ยงดู สร้างปัญหาให้แก่โรงพยาบาลในการต้องรับภาระรักษาทารกผิกปกติเป็นจำนวนมาก จริงหรือคะ
anonymous
 •  4 ปีที่แล้ว
meter: true
1 ความเห็น
ช่วยระบุหมวดหมู่ของข้อความนี้ให้หน่อย
เลือกให้น้อยที่สุด (ถ้าเป็นไปได้)
Ad.tar เลือกให้ข้อความนี้✅ มีเนื้อหาที่เป็นจริงทั้งหมด

เหตุผล

กรมการแพทย์ เตือนภัยแม่เสพยาขณะตั้งครรภ์ จะเกิดความผิดปกติ เกิดภาวะวิกฤติในทารกแรกเกิด เสี่ยงตายทั้งแม่และลูก โดยผู้ที่เสพยาบ้า จะเกิดอันตรา

ที่มา

https://news.thaipbs.or.th/content/293433

เพิ่มความเห็นใหม่

กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 1 คนสงสัย
    หญิงตั้งครรภ์ ไม่ควรเก็บทำความสะอาด สัมผัส อุจาระแมว จริงหรือ
    โรคหนึ่งที่อาจมากับอุจจาระของแมว ซึ่งอาจเป็นสัตว์เลี้ยงภายในบ้านของคุณ นั่นคือโรคทอกโซพลาสโมซิส คุณแม่อาจมีความเสี่ยงติดเชื้อโรคได้จากการเก็บ ทำความสะอาด หรือสัมผัสใกล้ชิดกับอุจจาระของแมว โรคทอกโซพลาสโมซิสสามารถติดต่อกันได้จากการสัมผัส ใกล้ชิดกับมูลของสัตว์ที่มีเชื้อโรคนี้อยู่ และหากคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ติดเชื้อนี้ ก็จะสามารถถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกในครรภ์ได้ เชื้ออาจทำให้หญิงมีครรภ์แท้ง และทำให้เด็กในครรภ์มีความผิดปกติแต่กำเนิด จริงหรือ
    anonymous
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ผู้​พิพากษา​ในอเมริกา​ตัดสิน​ให้นายจ้างที่บังคับ​ให้พนักงาน​ของตน​ ต้องฉีดวัคซีน​โควิด​ ให้จ่ายค่าเสียหาย​ให้กับลูก​จ้างเป็น​เงิน​ 10 ล้านเหรียญสหรัฐ​หรือ​ 360ล้านบาท ที่​น่าสนใจ​คือ​ เหตุผล​ที่​ ลูกจ้างที่ชนะคดี​ปฏิเสธ​ที่จะ​ฉีดวัคซีน​เพราะ​ ในวัคซีน​มีส่วนประกอบ​ของเซลล์​ทารก​ ใช่ครับ​ ทารก​ ซึ่ง​ขัดกับความเชื่อทางศาสนา​คริสต์​ เพราะว่า​การเอาเซลล์​ตัวอ่อนมนุษย์​มาใช้ในขบวนการ​ทำวัคซีน​นั้น​ เป็น​สิ่ง​ที่ผิดตามพระคัมภีร์​ไบเบิล​ และเรื่อง​นี้​พิสูจน์​ได้​ว่าจริง​ จนผู้​พิพากษา​ตัดสิน​ให้​ ฝ่าย​ลูกจ้างชนะ​ ไม่นานเรื่อง​แบบนี้​จะเกิดขึ้น​ทั่วโลก​ รวมทั้ง​ประเทศไทย​ ผู้ประกอบการ​ที่บังคับให้ลูกจ้าง​ ไปฉีดวัคซีน​ เตรียมตัว​จ่ายค่าชดเชย​ให้​ลูก​จ้าง​ได้เลย​ครับ เว้นไว้แต่​ เจ้าของ​กิจการ​ทั้ง​หลายจะรวมตัวกัน​ ฟ้องเอาผิดบริษัท​ยา​ ฟ้อง​ผู้ที่​โกหกกับท่านว่า​ วัคซีน​กันการติดเชื้อ​ กันการแพร่เชื้อ​ได้​ คำโกหก​ ที่บริษัท​ยา​รู้​อยู่​กับ​ใจ​ว่า​ ไม่จริง​ เพราะ เขาไม่ได้​ทำการทดสอบ​ว่า​ วัคซีน​ของตนกันการติดเชื้อ​ได้หรือไม่ https://youtu.be/az5rXCNJ1Ow https://www.clarkcountytoday.com/news/10-million-settlement-announced-for-workers-forced-to-take-covid-shots/ https://news.yahoo.com/nyc-judge-tells-city-rehire-100723067.html https://www.hutchinsonlegal.com.au/resources/unvaccinated-employee-wins-unfair-dismissal-case https://vt.tiktok.com/ZS8NJwQVd/ https://rumble.com/v1zfa08-senator-ron-johnson-hosts-expert-forum-on-covid-vaccines.html
    ไม่ระบุชื่อ
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ทุกครั้งที่คุณแชร์ภาพนี้ออกไป Wasapp จะบริจาคให้ทุนการผ่าตัดเด็กน้อยผู้น่าสงสารคนนี้
    ทารกเกิดมาตาบอดและจำเป็นต้องใช้เงิน 200,000 เหรียญเพื่อการรักษาของเธอ เพื่อให้เธอได้เห็นอีกครั้ง คุณไม่จำเป็นต้องบริจาคเงินค่ะ. แต่ขอให้ช่วยแชร์. ทุกครั้งที่คุณแชร์ภาพนี้ออกไป Wasapp จะบริจาคให้ทุนการผ่าตัดเด็กน้อยผู้น่าสงสารคนนี้ ทุกๆครั้งที่คุณแชร์ค่ะ ช่วยๆกันหน่อยนะคะ เราเป็น เพื่อนร่วมโลกเดียวกัน
    Mrs.Doubt
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    เด็กทารกห้ามกินน้ำผึ้ง จริงหรือคะ
    วัยทารกเป็นวัยที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคได้ง่าย เนื่องจากเด็กในวัยนี้มีภูมิคุ้มกันในร่างกายที่ต่ำ น้ำผึ้งอาจมีเชื้อปนเปื้อนสารพิษจากเชื้อแบคทีเรียคลอสติเดียมโบทูลินัม (Clostridium Botulinum) ที่ปนเปื้อนในอาหารซึ่งอาจทำให้เกิดโรคโรคโบทูลิซึมได้ จริงหรือคะ
    anonymous
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมากฎหมายของสหรัฐอเมริกามีผลบังคับใช้: 🎯สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา อย คำเตือนที่ 99-33 ออกห้ามสิ่งต่อไปนี้ อาหารญี่ปุ่นที่นำเข้าสู่สหรัฐอเมริกา: 📎นมสด 📎เนย 📎ผงนม 📎นมผงทารกและอื่น ๆ 📎ผลิตภัณฑ์นม 📎ผัก มันเทศ เกลือ และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ 📎ข้าว 📎ข้าวสาลีทั้งหมด 📎ปลา; 📎เนื้อสัตว์และสัตว์ปีก 📎หอย; 📎หอยเม่น; 📎ส้มโอ ส้ม; 📎แอปเปิ้ล กีวีและผลไม้อื่น ๆ ❌สาเหตุคือการปนเปื้อนของ Radionuclide ในที่สุดญี่ปุ่นก็ยอมรับว่าไม่สามารถควบคุมการปล่อยน้ำเสียกัมมันตภาพรังสีวันละหลายล้านตันของฟุกุชิมะซึ่งไหลลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิกอย่างต่อเนื่องซึ่งทำให้หลายคนป่วยด้วยโรคมะเร็งหรือ โรคต่างๆส่งผลกระทบร้ายแรงต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมในระบบนิเวศทั่วโลกนึกไม่ถึง! ❌อย่ากินอาหารญี่ปุ่น 💢ในน่านน้ำชายฝั่งของสหรัฐอเมริกาพบว่าค่ากัมมันตภาพรังสีสูงขึ้นเรื่อย ๆ พยายามอย่าไปญี่ปุ่นให้มากที่สุดจะดีที่สุดไม่ควรไป 💢รัฐบาลออสเตรเลียหยุดการออกวีซ่าสำหรับชาวญี่ปุ่น 💢สหรัฐอเมริกายังหยุดการอพยพชาวอเมริกันของชาวญี่ปุ่น ปัจจุบันสถานการณ์ในญี่ปุ่นเลวร้ายกว่าที่เราคิดมากกว่า 70 ของดินแดนทั้งหมดของญี่ปุ่นเต็มไปด้วยมลพิษ วัสดุกัมมันตภาพรังสีของญี่ปุ่นได้ไหลลงสู่มหาสมุทรและพื้นที่ของมหาสมุทรที่ได้รับผลกระทบก็กว้างขึ้น เป็นเรื่องร้ายแรงกว่าที่คิดรัฐบาลญี่ปุ่นกลัวว่าจะเกิดความตื่นตระหนกพวกเขาจะยอมแพ้หรือโกหกเพื่อบอกคนรอบข้าง ห้ามรับประทานอาหารทะเลหรือเห็ดใด ๆ ในญี่ปุ่น หลังจากแผ่นดินไหวครั้งล่าสุดวัสดุกัมมันตภาพรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เสียหายในญี่ปุ่นเริ่มไหลลงสู่มหาสมุทรหรือบริเวณโดยรอบและเริ่มถูกค้นพบ ❌อาหารทะเลและพืชที่มีรูปร่างผิดปกติ ❌เห็ดแปรรูป ❌ปลาเผา ❌อาหารทะเลแปรรูป อาหารที่สัมผัสกับสารกัมมันตภาพรังสีจะกระตุ้นภายใน 1-2 ปีหลังรับประทานอาหาร 🅾️มะเร็งหลอดอาหาร 🅾️มะเร็งต่อมน้ำเหลือง 🅾️มะเร็งเม็ดเลือดขาว ฯลฯ โดยเฉพาะเด็กเล็กและสตรีมีครรภ์จะส่งผลกระทบมากขึ้น ประเทศเพื่อนบ้านหยุดการค้าอาหารทะเลกับญี่ปุ่น: ห้ามนำเข้า📎แฮร์ริ่งหอยเห็ดหอมจากญี่ปุ่น กัมมันตภาพรังสีของปลาที่จับได้ในน่านน้ำใกล้ญี่ปุ่นถึง 380 เท่า จากนี้ไปไม่เคยกินอาหารทะเลญี่ปุ่นหรือซาซิมิ นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์สึนามิระเบิดนิวเคลียร์ในญี่ปุ่นการสำรวจนักท่องเที่ยวชาวจีนในญี่ปุ่นที่เดินทางไปญี่ปุ่นและรับประทานอาหารญี่ปุ่นมาหลายครั้งพบว่ามีโรคแปลก ๆ ที่แตกต่างกันไปและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ! และผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของญี่ปุ่นที่ปนเปื้อนจากนิวเคลียสกัมมันตภาพรังสีก็ถูกส่งไปยังนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ! ญี่ปุ่นกินอาหารนำเข้าจากประเทศอื่น! เพื่อนที่รักและเพื่อนร่วมชาติ เพื่อสุขภาพของคนที่คุณรักและคนรุ่นต่อไปโปรดแบ่งปันในพื้นที่ WeChat ของคุณและต่อต้านอาหารที่ปนเปื้อนนิวเคลียร์ทั้งหมดในญี่ปุ่นทันที อย่าซื้อ. จำไว้!
    ไม่ระบุชื่อ
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    น้ำมะพร้าว ดีต่อเด็กทารก
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ช่วงโควิดระบาด อันตรายหรือไม่?
    ถึงแม้ไม่มีหลักฐานแน่ชัดเรื่องการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก เนื่องจากไม่พบเชื้อโควิดในน้ำคร่ำ เลือดจากสายสะดือ และจากน้ำนมแม่ ในรายงานจากประเทศจีนจาก 33 รายมีพบเด็กทารกติดเชื้อโควิดอยู่ 3 รายมีอาการไม่รุนแรง ผู้เชี่ยวชาญคิดว่าน่าจะติดจากการปนเปื้อนสัมผัสหลังเกิดมากกว่า ส่วนการให้นมนั้นสามารถให้ได้ตามปกติ แต่ต้องป้องกันในเรื่องการแพร่กระจายของละอองฝอย สตรีมีครรภ์หรือแม่เด็กอ่อนต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ อยู่บ้านควรใช้ภาชนะส่วนตัว รับประทานอาหารปรุงสุกและสะอาด ออกนอกบ้านต้องป้องกันตัวเป็นอย่างดีตามที่สื่อได้ประชาสัมพันธ์อยู่ตลอดเวลา เช่น เลี่ยงที่แออัด เว้นระยะห่าง 2 เมตร ใส่หน้ากากอนามัยและ face shield เพื่อป้องกันเอามือจับใบหน้าของตัวเอง และต้องล้างมืออยู่เสมอ
    anonymous
     •  5 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    หอมแก้มเด็ก เสี่ยงติดโควิดไหม
    อธิบดีกรมอนามัยเตือนในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไม่ควรนำทารกแรกเกิดออกนอกบ้าน ยกเว้นพาไปฉีดวัคซีน ให้นำเด็กใส่รถเข็นที่มีผ้าคลุมปิด เว้นระยะห่างและงดการหอมแก้มเด็ก เพราะละอองฝอยของน้ำลาย อาจก่อให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสได้
    supinya
     •  5 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ลือเด็กทารกอายุ 3 วันพูดได้ บอกให้รับประทานไข่ต้มป้องกันไวรัสโควิด-19
    มีกระแสข่าวลือในหลายจังหวัด ว่าเด็กทารกอายุ 3 วันพูดได้ บอกให้รับประทานไข่ต้มก่อนเที่ยงคืนวันนี้ 27 มี.ค.63 ป้องกันไวรัสโควิด-19
    naruemonjoy
     •  5 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ปากกาฟอกฟันขาวอันตรายจริงหรือไม่ ?
    “ปากกาฟอกฟันขาว” อันตรายจริงหรือไม่ ? ปากกาฟอกฟันขาวที่กำลังเป็นที่นิยมบนโลกออนไลน์ อุปกรณ์ช่วยเสริมความมันใจให้กับรอยยิ้ม ที่ราคาจับต้องได้ แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่มีอันตรายที่ซ่อนอยู่ จากการสืบค้นข้อมูลพบว่า กรมอนามัยได้ให้ข้อมูลว่าอุปกรณ์ฟอกฟันขาว ที่ขายกันตามอินเตอร์เน็ตนั้น อาจจะมีสาร "ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์" สูงกว่า6 % และอาจจะสูงถึง15 % ซึ่งปกติ ถ้าสูงกว่า 6% ต้องได้รับความควบคุม โดย อย. เพราะสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซต์ ซึ่งมีฤทธิ์ในการฟอกสีให้ขาวขึ้นนั้น ถ้ามีความเข้มข้นสูงมาก จะเป็นอันตราย กัดกร่อนเนื้อฟัน ทำให้เนื้อฟันเสียหาย และเสียวฟันมากขึ้นได้ ถาดที่ใช้ครอบฟัน ในการฟอกสีฟัน ก็ควรทำเป็นรายบุคคลโดยทันตแพทย์ จึงจะพอดีกับฟันของแต่ละคน เพราะถ้าไม่พอดี สารฟอกฟันจะไปโดนเหงือก อาจทำให้เหงือกบวม อักเสบได้ การฟอกสีฟัน สิ่งแรกที่ควรทำคือการมาพบทันตแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยสาเหตุของสีฟันเพื่อวางแผนการรักษา ตรวจสุขภาพฟันให้แน่ชัดว่าไม่มีฟันผุ อาการเสียวฟัน เนื่องจากภาวะเหงือกร่น หลังจากนั้นจะขูดหินปูน หรือขัดคราบสีออก แล้วจึงพิมพ์ปากคนไข้เพื่อสร้างแบบจำลองฟัน นำมาทำถาดฟอกสีฟันโดยทำการบันทึกสีของฟันก่อน จากนั้นจึงทำการรักษาต่อไป (แหล่งข้อมูล : https://www.thaihealth.or.th และ https://cofact.org) ทพ.พิชัย งามวิริยะพงศ์ ทันตแพทย์ชำนาญการ โรงพยาบาลสุทธาเวช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ให้ข้อมูลว่า สารที่ใช้ในการฟอกสีฟันมีส่วนประกอบหลัก คือ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ หรือ คาร์บาไมด์เปอร์ออกไซด์ แส่วนมากจะใช้ความเข้มข้นอยู่ที่ประมาณ 25-40% แล้วนำน้ำยาทาบนฟันทิ้งไว้ ทำ 3 รอบ ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง เพื่อความปลอดภัยมีการใส่อุปกรณ์ที่ทำมาเพื่อป้องกันเหงื่อให้คนไข้ โดยจะได้รับการพิมพ์ฟันทั้งฟันบนและฟันล่าง เป็นถาดสำหรับแต้มน้ำยาฟอกสีฟันเฉพาะบุคคลนั้น ๆ เพราะแต่ละบุคคลจะมีลักษณะฟันที่ไม่เหมือนกัน เป็นการป้องกันไม่ให้ตัวน้ำยาไหลไปโดนเหงือกได้ และหลังทำเสร็จควรจะงดอาหารประเภทที่มีการติดสีมาก ๆ เช่น เครื่องดื่มน้ำอัดลม ชา กาแฟ และงดการสูบบุหรี่ บางครั้งสามารถเกิดอาการเสียวฟันได้ชั่วคราวประมาณ 1-2 สัปดาห์ อาจจะต้องหลีกเลี่ยงอาหารเย็นจัดไปก่อน ทั้งนี้ ทพ.พิชัย ให้ข้อแนะนำว่า ทันตแพทย์ไม่แนะนำการซื้อปากกาฟอกฟันขาวที่ให้ไปทำด้วยตนเอง การฟอกฟันขาวหรือการรักษาฟันจากอาการต่าง ๆ ควรปรึกษาก่อนทุกครั้ง เพื่อที่จะได้ตรวจและเลือกแนวทางการรรักษา หากซื้อผลิตภัณฑ์ทำเองอาจเกิดผลที่เป็นอันตรายได้ และถ้าหากตัดสินใจการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ต้องได้รับการควบคุมโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และดูว่าผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์หรือคาร์บาไมด์เปอร์ออกไซด์ไม่สูงกว่า 6% ตามที่ อย. กำหนด และควรมีคาร์บอกซี่โพลิเมทิลีน เป็นสารหนืดที่ทำไม่ไห้น้ำยาเหลวจนเกิน เพื่อให้น้ำยาเกาะติดบนผิวฟันได้ เพราะถ้าน้ำยาไหลไปโดยเหงือกอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองหรือไปทำให้เกิดเคมีคอลเบิร์นต่อเหงือกจะเกิดปัญหาตามมาได้ คนที่ไม่สามารถฟอกฟันขาวได้ 1.หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร 2.คนที่อายุต่ำกว่า 16 ปี เพราะชั้นเคลือบยังไม่ได้แข็งแรงมากพอ 3.ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพฟัน ควรได้รับการรักษาให้เรียบร้อยเสียก่อน เช่น ฟันผุแบบไม่รู้ตัว ฟันเป็นรู ฟันสึกจากการแปรงฟันแรงเป็นช่องเว้าเข้าไปแถวเหงือก ฟันร้าว มีรอยร้าวที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หรือเดิมคนไข้เสียวฟันอยู่แล้วแค่กินน้ำเย็นกับไอศกรีมก็เสียวฟัน แล้วยังพยายามจะไปฟอกสีฟันก็จะเกิดปัญหาแทรกซ้อนตามมาได้ 4.คนที่มีการอุดฟัน อาจจะต้องมาตรวจกับทันตแพทย์ก่อนว่าวัสดุต่าง ๆ มันอยู่ในสภาพสมบูรณ์หรือเปล่า เพราะบางคนแบบอาจจะอุดตั้งแต่เด็กแล้วมีรูหรือมีช่อง น้ำยาเคมีเกิดมันเล็ดลอดแทรกเข้าไป ทำให้เกิดโพรงประสาทฟันอักเสบได้ 5.ไม่เคยรักษาโรคเหงือก เลือดออกตามไรฟัน หินปูนเกาะเต็มฟันหน้าทั้งบนทั้งล่าง ต้องรักษาโรคเหงือกให้เรียบร้อยเสียก่อน ดังนั้น การฟอกสีฟันควรทำโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น การจะซื้อปากกาฟอกฟันขาวมาใช้เองอาจจะไม่ได้เห็นผลเท่าที่ควร หรือเกิดอันตรายต่อตัวผู้บริโภคได้ และควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อนรักษาฟันทุกครั้ง
    ธนกฤต ราชัย
     •  1 เดือนที่แล้ว
    meter: false