1 คนสงสัย
หมอฟันส่งมาให้ เผื่อมีประโยชน์บ้าง
เกี่ยวกับยี่ห้อยาสีฟัน

ถ้าลองสังเกตดูดีๆ ยี่ห้อไหนที่มี อย. คือมีฟลูออไรด์(ควรใช้)

(*)Darlie สามารถยับยั้งเชื้อเเบคทีเรียฟันผุได้ ลดคราบสะสมด้วย

(*)colgate ผลิตหลายเเบบมาก ถ้าแบบไหนมีสาร Triclosan อาจก่อมะเร็งได้
ในยุโรปบางประเทศ banned ไปเเล้ว

(.)colgate sensitive ช่วยลดเสียวฟันได้ เเต่ถ้าเป็น colgate sensitve pro-reliefจะลดเสียวฟันได้ดีกว่า

(.)sensodyne ลดเสียวฟันได้เช่นกันเเต่ ลดเสียวฟันได้ไม่ดีเท่าcolgateเพราะมันปิดท่อเนื้อฟันได้ไม่ดีเท่า

(.)salz เค็มเเต่ดี สามารถห้ามเลือดได้ ควรใช้ถ้ามีเเผลเล็กๆ

(.)ใกล้ชิด มีessential oil ช่วยลดเชื้อได้ (เเม้ว่าไม่มาก)

(.)พวกยาสีฟันผสมสมุนไพร ดอกบัวคู่ พาโรดอนเเทก เดนทิสเต้
พวกนี้ ไม่มีฟลูออไรด์
มันดูเเลเหงือกได้ เเต่ไม่ป้องกันฟันผุเลย ปกติเวลาเรากินอาหารก็สามารถทำให้เกิดฟันผุได้เเล้ว ดังนั้น ถ้าจะใช้ก็ควรใช้สลับกับยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ เเละผู้สูงอายุก็ฟันผุได้เหมือนกัน
ไม่ระบุชื่อ
 •  3 ปีที่แล้ว
1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัว
0 ความเห็น

ผู้บริโภคเฝ้าระวัง

Joke Air เลือกให้ข้อความนี้💬 มีความเห็นส่วนตัว

เหตุผล

พาโรดอนเเทก เดนทิสเต้ มีระบุว่ามีฟลูออไรด์อยู่ครับ ข้อมูลน่าจะคลาดเคลื่อน

ความเห็นต่าง

https://www.watsons.co.th/เดนทิสเต้-ยาสี⋯ี้-แม็กซ์-ฟลูออไรด์-100-กรัม/p/BP_295347
https://www.allonline.7eleven.co.th/p/เด⋯น-ฟลูโอไรด์-แบบแปรงแห้ง-100-กรัม/539078/
https://www.parodontax.co.th/products/toothpaste/

เพิ่มความเห็นใหม่

กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 1 คนสงสัย
    จริงหรือไม่? "ดื่มน้ำอัดลมมาก เสี่ยงฟันผุ"
    จริงหรือไม่? "ดื่มน้ำอัดลมมาก เสี่ยงฟันผุ" กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้เตือนคนไทยดื่มน้ำอัดลมมาก จะส่งผลต่อสุขภาพช่องปาก เป็นต้นเหตุของการเกิดฟันสึกกร่อนมากที่สุด และเสี่ยงเกิดโรคฟันผุและโรคอ้วนตามมาได้ แนะนำควรดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน ดีที่สุด พร้อมแปรงฟันด้วยสูตร 2-2-2 เพื่อสร้างสุขภาพช่องปากที่ดี นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำจะส่งผลเสียต่อร่างกาย ได้แก่ ฟันสึกกร่อน ฟันผุ อ้วน กระดูกพรุน และกระดูกเปราะ เนื่องจากน้ำหวานชนิดอัดลมมีกรดคาร์บอนิกค่อนข้างมาก ซึ่งสารดังกล่าวจะกีดขวางการดูดซึมแคลเซียมของกระดูก และยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ เพราะร่างกายจะหลั่งสารอินซูลินออกมามากเกินจำเป็น ซึ่งในระยะยาวร่างกายจะผลิตอินซูลินได้น้อยลง จนทำให้ร่างกายเกิดโรคเบาหวานโดยไม่รู้ตัว ซึ่งน้ำอัดลม 1 กระป๋อง (ขนาด 325 ซีซี) มีปริมาณน้ำตาล 8-12 ช้อนชา จะเท่ากับน้ำตาลในลูกอม จำนวน 17 เม็ด หากกินรวมกันหลายอย่างอาจทำให้ได้รับน้ำตาลมากเกินความต้องการของร่างกาย และเกินมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนดว่าร่างกายควรได้รับน้ำตาลไม่เกิน 24 กรัมต่อวัน หรือปริมาณ 6 ช้อนชา นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า น้ำอัดลมยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดฟันสึกกร่อนได้มากที่สุด เพราะนอกจากน้ำอัดลมจะมีกรดคาร์บอนิกแล้ว ยังมีส่วนประกอบคือน้ำตาลกับน้ำ หากไม่มีการทำความสะอาดช่องปากและฟันจะก่อให้เกิดฟันผุได้ จากผลการสำรวจสภาวะทันตสุขภาพประเทศไทยครั้งที่ 8 พ.ศ. 2560 พบว่า เด็กเล็กอายุ 5 ปี มีฟันน้ำนมผุร้อยละ 75.6 เด็กวัยเรียนอายุ 12 ปี มีฟันแท้ผุ ร้อยละ 52.0 และกลุ่มอายุ 15 ปี มีฟันแท้ผุ ร้อยละ 62.7 สาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการดูแลอนามัยช่องปาก และพฤติกรรมการบริโภคของเด็กที่นิยมกินอาหารหรือขนมที่หาซื้อได้ง่าย เช่น น้ำอัดลม ขนมกรุบกรอบ นอกจากจะทำให้เกิดปัญหาฟันผุแล้ว ยังก่อให้เกิดความเจ็บปวด การติดเชื้อและสร้างปัญหาการบดเคี้ยวอาหาร มีผลต่อน้ำหนัก การเจริญเติบโตและบุคลิกภาพ รวมถึงมีผลกระทบต่อการเรียนด้วย ที่สำคัญ ปัญหาฟันผุยังนำไปสู่การสูญเสียฟันที่เริ่มต้นในวัยเด็กและสะสมจนกลายเป็นการสูญเสียฟันทั้งปากจนไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้ในวัยสูงอายุ ทั้งนี้ เครื่องดื่มที่ดีที่สุดและเหมาะสมกับร่างกายก็คือน้ำเปล่า เพราะในน้ำเปล่ามีส่วนช่วยให้ร่างกายสดชื่น เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ปรับสมดุลของร่างกาย ช่วยชะลอความแก่ เพิ่มความชุ่มชื่นแก่ผิว ช่วยให้ระบบย่อยในกระเพาะอาหารทำงานได้ดีขึ้น ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ไตแข็งแรง โดยใน 1 วัน ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อสุขภาพที่ดีและควรหลีกเลี่ยงอาหารชนิดอื่น ๆ ที่มีการเติมน้ำตาลอีกด้วย เช่น ขนมหวาน ลูกกวาด เพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับน้ำตาลในแต่ละวันเกินจำเป็นจนก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้ นอกจากนี้ ควรแปรงฟันให้สะอาดทั่วถึงทั้งในตอนเช้า หลังอาหารกลางวัน และก่อนนอน ด้วยสูตร 2 2 2 คือ แปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ให้ทั่วทุกซี่ทุกด้านนานอย่างน้อย 2 นาที แปรงอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน และไม่ควรกินอาหารหลังแปรงฟันอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพื่อให้เวลาช่องปากสะอาดนานที่สุด และยังเป็นการป้องกันโรคฟันผุในระยะยาวอีกด้วย ข้อมูล : ณ วันที่ 18 มิถุนายน 2564 ที่มา : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เครือข่าย : มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
    อีสานโคแฟค
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ฟันผุติดต่อกันได้จากการหอมแก้มหรือจูบกัน
    กรมการแพทย์ โดยสถาบันทันตกรรมแจง โรคฟันผุเกิดจากหลายสาเหตุ แต่ไม่ใช่โรคที่ติดต่อผ่านการหอมหรือจูบ ควรใส่ใจดูแลสุขภาพช่องปากตนเอง เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน นายแพทย์ไพโรจน์ สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึง โรคฟันผุ เกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่ไม่ใช่โรคที่ติดต่อผ่านการหอมหรือจูบ เนื่องจากฟันจะผุได้ นอกจากเชื้อโรคแล้ว ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ อีกด้วย เช่น ความเป็นกรดของน้ำลาย การไหลของน้ำลาย สภาพของผิวฟัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระยะเวลาการสัมผัสของเชื้อโรค และกรดต่อผิวฟัน จนกระทั่งเกิดการทำลายของผิวเคลือบฟันและเนื้อฟันตามลำดับ ซึ่งต้องใช้เวลานานมากพอ อาจต้องใช้ระยะเวลาหลายเดือน จนเกิดการทำลายของผลึกเคลือบฟัน ดังนั้นการจูบในช่วงเวลาอันสั้น ไม่สามารถทำให้เกิดการติดต่อของฟันผุได้ แต่อย่างไรก็ตาม การจูบมีโอกาสส่งผ่านเชื้อโรคทางน้ำลาย เช่น โรคไวรัสตับอักเสบ หรือเริม นอกจากนี้กรณีที่มีแผลในช่องปาก อาจทำให้เกิดการติดต่อของโรคติดต่อผ่านทางเลือดได้อีกด้วย เช่น โรคเอดส์ ซิฟิลลิส ดังนั้น ควรดูและรักษาสุขภาพช่องปากเพื่อป้องกันฟันผุ หมั่นสังเกตฟันของตนเอง ลดอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เลือกอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย กินอาหารให้ เป็นเวลา ไม่ควรกินจุกจิก ทันตแพทย์หญิงสุมนา โพธิ์ศรีทอง ผู้อำนวยการสถาบันทันตกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ฟันผุเกิดจากการมีเศษอาหาร ไปค้างอยู่ตามซอกฟัน หรือมีน้ำตาลจากอาหารที่เรารับประทานสัมผัสกับฟันอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เชื้อแบคทีเรียที่อยู่บนแผ่นคราบจุลินทรีย์สร้างกรดที่มีฤทธิ์ทำลายผิวฟัน จนกระทั่งทำให้ฟันถูกกัดกร่อนทำลายเป็นรูผุ จากชั้นเคลือบฟันภายนอกเข้า สู่ชั้นในเนื้อฟัน ส่งผลให้เกิดอาการเสียวฟันได้เมื่อรับประทานอาหารร้อนหรือเย็น โดยเมื่อฟันผุมีการลุกลามจนทะลุถึงชั้นโพรงประสาทฟัน จะทำให้เกิดอาการปวดฟัน หรือเกิดรากฟันอักเสบเป็นหนอง ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้อาจเป็นช่องทางให้เชื้อโรคแพร่กระจายไปสู่ส่วนอื่นได้ ทั้งนี้การดูแลสุขภาพช่องปากเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยลดปัญหาการเกิดโรคฟันผุ ควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ในตอนเช้าและก่อนนอน และใช้ไหมขัดฟันเพื่อช่วยทำความสะอาดซอกฟันที่ขนของแปรงสีฟันเข้าไปไม่ถึง รวมถึงเข้ารับการตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำทุก 6-12 เดือน เพื่อป้องกันและยับยั้งปัญหาในช่องปากได้ทันท่วงที
    Kanokwan Somchai
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ปากกาฟอกฟันขาวอันตรายจริงหรือไม่ ?
    “ปากกาฟอกฟันขาว” อันตรายจริงหรือไม่ ? ปากกาฟอกฟันขาวที่กำลังเป็นที่นิยมบนโลกออนไลน์ อุปกรณ์ช่วยเสริมความมันใจให้กับรอยยิ้ม ที่ราคาจับต้องได้ แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่มีอันตรายที่ซ่อนอยู่ จากการสืบค้นข้อมูลพบว่า กรมอนามัยได้ให้ข้อมูลว่าอุปกรณ์ฟอกฟันขาว ที่ขายกันตามอินเตอร์เน็ตนั้น อาจจะมีสาร "ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์" สูงกว่า6 % และอาจจะสูงถึง15 % ซึ่งปกติ ถ้าสูงกว่า 6% ต้องได้รับความควบคุม โดย อย. เพราะสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซต์ ซึ่งมีฤทธิ์ในการฟอกสีให้ขาวขึ้นนั้น ถ้ามีความเข้มข้นสูงมาก จะเป็นอันตราย กัดกร่อนเนื้อฟัน ทำให้เนื้อฟันเสียหาย และเสียวฟันมากขึ้นได้ ถาดที่ใช้ครอบฟัน ในการฟอกสีฟัน ก็ควรทำเป็นรายบุคคลโดยทันตแพทย์ จึงจะพอดีกับฟันของแต่ละคน เพราะถ้าไม่พอดี สารฟอกฟันจะไปโดนเหงือก อาจทำให้เหงือกบวม อักเสบได้ การฟอกสีฟัน สิ่งแรกที่ควรทำคือการมาพบทันตแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยสาเหตุของสีฟันเพื่อวางแผนการรักษา ตรวจสุขภาพฟันให้แน่ชัดว่าไม่มีฟันผุ อาการเสียวฟัน เนื่องจากภาวะเหงือกร่น หลังจากนั้นจะขูดหินปูน หรือขัดคราบสีออก แล้วจึงพิมพ์ปากคนไข้เพื่อสร้างแบบจำลองฟัน นำมาทำถาดฟอกสีฟันโดยทำการบันทึกสีของฟันก่อน จากนั้นจึงทำการรักษาต่อไป (แหล่งข้อมูล : https://www.thaihealth.or.th และ https://cofact.org) ทพ.พิชัย งามวิริยะพงศ์ ทันตแพทย์ชำนาญการ โรงพยาบาลสุทธาเวช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ให้ข้อมูลว่า สารที่ใช้ในการฟอกสีฟันมีส่วนประกอบหลัก คือ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ หรือ คาร์บาไมด์เปอร์ออกไซด์ แส่วนมากจะใช้ความเข้มข้นอยู่ที่ประมาณ 25-40% แล้วนำน้ำยาทาบนฟันทิ้งไว้ ทำ 3 รอบ ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง เพื่อความปลอดภัยมีการใส่อุปกรณ์ที่ทำมาเพื่อป้องกันเหงื่อให้คนไข้ โดยจะได้รับการพิมพ์ฟันทั้งฟันบนและฟันล่าง เป็นถาดสำหรับแต้มน้ำยาฟอกสีฟันเฉพาะบุคคลนั้น ๆ เพราะแต่ละบุคคลจะมีลักษณะฟันที่ไม่เหมือนกัน เป็นการป้องกันไม่ให้ตัวน้ำยาไหลไปโดนเหงือกได้ และหลังทำเสร็จควรจะงดอาหารประเภทที่มีการติดสีมาก ๆ เช่น เครื่องดื่มน้ำอัดลม ชา กาแฟ และงดการสูบบุหรี่ บางครั้งสามารถเกิดอาการเสียวฟันได้ชั่วคราวประมาณ 1-2 สัปดาห์ อาจจะต้องหลีกเลี่ยงอาหารเย็นจัดไปก่อน ทั้งนี้ ทพ.พิชัย ให้ข้อแนะนำว่า ทันตแพทย์ไม่แนะนำการซื้อปากกาฟอกฟันขาวที่ให้ไปทำด้วยตนเอง การฟอกฟันขาวหรือการรักษาฟันจากอาการต่าง ๆ ควรปรึกษาก่อนทุกครั้ง เพื่อที่จะได้ตรวจและเลือกแนวทางการรรักษา หากซื้อผลิตภัณฑ์ทำเองอาจเกิดผลที่เป็นอันตรายได้ และถ้าหากตัดสินใจการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ต้องได้รับการควบคุมโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และดูว่าผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์หรือคาร์บาไมด์เปอร์ออกไซด์ไม่สูงกว่า 6% ตามที่ อย. กำหนด และควรมีคาร์บอกซี่โพลิเมทิลีน เป็นสารหนืดที่ทำไม่ไห้น้ำยาเหลวจนเกิน เพื่อให้น้ำยาเกาะติดบนผิวฟันได้ เพราะถ้าน้ำยาไหลไปโดยเหงือกอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองหรือไปทำให้เกิดเคมีคอลเบิร์นต่อเหงือกจะเกิดปัญหาตามมาได้ คนที่ไม่สามารถฟอกฟันขาวได้ 1.หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร 2.คนที่อายุต่ำกว่า 16 ปี เพราะชั้นเคลือบยังไม่ได้แข็งแรงมากพอ 3.ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพฟัน ควรได้รับการรักษาให้เรียบร้อยเสียก่อน เช่น ฟันผุแบบไม่รู้ตัว ฟันเป็นรู ฟันสึกจากการแปรงฟันแรงเป็นช่องเว้าเข้าไปแถวเหงือก ฟันร้าว มีรอยร้าวที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หรือเดิมคนไข้เสียวฟันอยู่แล้วแค่กินน้ำเย็นกับไอศกรีมก็เสียวฟัน แล้วยังพยายามจะไปฟอกสีฟันก็จะเกิดปัญหาแทรกซ้อนตามมาได้ 4.คนที่มีการอุดฟัน อาจจะต้องมาตรวจกับทันตแพทย์ก่อนว่าวัสดุต่าง ๆ มันอยู่ในสภาพสมบูรณ์หรือเปล่า เพราะบางคนแบบอาจจะอุดตั้งแต่เด็กแล้วมีรูหรือมีช่อง น้ำยาเคมีเกิดมันเล็ดลอดแทรกเข้าไป ทำให้เกิดโพรงประสาทฟันอักเสบได้ 5.ไม่เคยรักษาโรคเหงือก เลือดออกตามไรฟัน หินปูนเกาะเต็มฟันหน้าทั้งบนทั้งล่าง ต้องรักษาโรคเหงือกให้เรียบร้อยเสียก่อน ดังนั้น การฟอกสีฟันควรทำโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น การจะซื้อปากกาฟอกฟันขาวมาใช้เองอาจจะไม่ได้เห็นผลเท่าที่ควร หรือเกิดอันตรายต่อตัวผู้บริโภคได้ และควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อนรักษาฟันทุกครั้ง
    ธนกฤต ราชัย
     •  9 เดือนที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ยาสีฟันรักษาสิวได้จริงหรือไม่ ?
    ยาสีฟันไม่สามารถรักษาสิวได้ ในส่วนประกอบของยาสีฟันไม่สามารถรักษาสิวได้การใช้ยาสีฟันกับผิวหน้าจะทำให้หน้าที่เป็นสิวอักเสบ . นพ.สรรญชัญ เจริญไหมไทย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางผิดหนัง โรงพยาบาลสุทธาเวช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ให้ข้อมูลว่า สิว มีกลไกการเกิดอยู่ในขั้นตอนครับขั้นตอนแรกในการสร้างไขมันมากเกินไปก่อให้เกิดการอุดตันเรียกว่าคนมีโจทย์แล้วก็มีแบคทีเรียที่อยู่บนผิวหนังปกติเรา เข้าไปย่อยใครทั้งนั้นก็ทำให้เกิดการอักเสบซึ่งประกอบด้วยน้ำเป็นหลักเลยนะครับประมาณ 50% ให้คนซื้องาน 15-17 มีผงขัดฟันอาจจะมีคิดถึง 50% มีสารลดแรงตึงผิวค่ะกลิ่นมีกลิ่นสตอเบอรี่หรือมิ้นจะทำให้ความหวานในประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์แล้วก็ทำให้ 2% แล้วก็ต้องมีฟลูออไรด์ 0.15% ส่วนประกอบพรุ่งนี้ดูแล้วมันมันไม่น่าจะตอบโจทย์ในเรื่องของการรักษาสิวได้เลย . ดังนั้นคิดว่าการเอามาใช้ น่าจะเป็นการใช้ที่ผิดวัตถุประสงค์ชื่อว่ายาสีฟัน ขัดฟันขาวในฝันแข็งแรงเรือทำความสะอาดฝั่ง เขาจะมารักษาสิวเขียวมาทาหน้าซึ่งมันทำให้เกิดการระคายเคืองหรือการอักเสบมากกว่ารู้จักส่วนประกอบของยาสีฟันที่ใช้ทำถ้าเกิดว่าสัมผัสระยะเวลานานมันก็ทำให้เกิดระคายเคืองแต่ถ้าสัมผัสแป๊บเดียว 5 นาที 10 นาทีสังเกตว่าจะมีอาการแสบได้เพราะว่าถ้าผิวหนังที่มีการอักเสบ เปิดดูแล้วมันก็จะเข้าสู่ผิวหนังโดยตรงซึ่งไม่ควรขายนะครับขอแนะนำว่าคิดเรื่องการใช้ดีกว่าไปใช้ยารักษาสิวโดยเฉพาะซึ่งเขาผลิตมาเพื่อรักษาสิวโดยเฉพาะไม่ว่าจะเป็นยาพอกผิวยาลดการอักเสบของสิวยาละลายหัวสิวหรือยาลดรอยดำรอยแดงผลิตออกมาตอบโจทย์อยู่แล้วนะครับให้เป็นกลุ่มนั้นจะเหมาะสมกว่าสรุปว่าไม่น่าจะใช้รักษาสิวได้นะครับไม่ว่าสิวอุดตันสิวอักเสบสิวเสี้ยนสิวทุกชนิด เกิดผลข้างเคียงด้วยซ้ำคือการระคายเคืองกันไม่ถึงจะมากขึ้น . ข้อมูลสัมภาษณ์เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2564 สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านแพทย์ผิวหนัง ที่ โรงพยาบาลสุทธาเวช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เครือข่ายอีสานโคแฟค มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
    อีสานโคแฟค
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false