1 คนสงสัย
ครีม
ฝาหายใน7วัน
std48033
 •  1 ปีที่แล้ว
1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
0 ความเห็น

ความสวยความงามผู้บริโภคเฝ้าระวัง

std47908 เลือกให้ข้อความนี้⚠️️ ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ

เหตุผล

ครีมทำให้ผิวขาวนี้มีส่วนผสมที่อันตราย แล้วก็ขาวไม่จริง

เพิ่มความเห็นใหม่

กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 1 คนสงสัย
    บุกทลายเครื่องสำอางเถื่อน ผงะครีมปลอม กวนเอง ส่งขายต่างจังหวัด นาน 4 ปี
    ปคบ.ร่วม อย.บุกทลายโรงงานผลิตครีมเถื่อน ย่านพระราม 2 ยึดของกลางครีมสมุนไพร และครีมบำรุงผิว กวนเองหลายยี่ห้อ พบผสมสารอันตราย ทำมา 4 ปี ส่งขายให้กับยี่ปั๊ว เน้นพื้นที่ต่างจังหวัดทั่วประเทศ บุกทลายเครื่องสำอางเถื่อน ผงะครีมปลอม กวนเอง ส่งขายต่างจังหวัด นาน 4 ปี เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2564 พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบก.ปคบ. พ.ต.อ.สำเริง อำพรรทอง พ.ต.อ.ศารุติ แขวงโสภา พ.ต.อ.ศรีศักดิ์ คัมภีรญาณ พ.ต.อ.ชนันนัทธ์ สารถวัลย์แพศย์ รอง ผบก.ปคบ. พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก.4 บก.ปคบ. พร้อม นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ภญ.สุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา นำหมายค้นเข้าค้นบ้านเลขที่ 2708 พระราม 2 ซอย 47 แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ หลังรับแจ้งว่าเป็นแหล่งผลิตเครื่องสำอางเถื่อน และจำหน่ายเครื่องสำอางโดยไม่ได้รับอนุญาต ที่เกิดเหตุเป็นบ้านปูน 2 ชั้น ชั้นล่าง 1 ห้อง ชั้นบน 2 ห้อง ถูกแบ่งเป็นห้องกวนครีม พบสารสเตียรอยด์ ยาแก้อักเสบ ครีมเบส สีไม่ทราบชนิด หัวน้ำหอม และเครื่องกวนครีมพร้อมนำมาผสม ส่วนอีกห้องเป็นห้องสำหรับบรรจุครีม มีกระปุกครีมจำนวนมาก มีพนักงานกำลังกวนครีม 4 คน และเจ้าของบ้าน ทราบชื่อ น.ส.พาณี ปิตโต อายุ 52 ปี เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตรวจยึดของกลางทั้งหมดที่เป็นครีมสมุนไพร และครีมบำรุงผิวหลายยี่ห้อ ที่ไม่ได้ขออนุญาตในการผลิตจาก อย. จัดเป็นเครื่องสำอางปลอม หนึ่งในนั้นคือครีมตลับสีขาวฝาน้ำเงิน ที่ อย. เคยตรวจพบสารไฮโดรควิโนน และกรดเรทิโนอิก และสั่งห้ามขายไปแล้วด้วย จากการสอบสวน น.ส.พาณี ให้การว่า เคยทำงานเป็นเซลล์ขายเครื่องสำอาง เห็นว่าครีมลักษณะดังกล่าวขายดีติดตลาด จึงออกมาผสมครีมขายเอง และเช่าบ้านหลังดังกล่าว เพื่อใช้สำหรับกวนครีมเองมานาน 4 ปีแล้ว โดยซื้อครีมเบส มาผสมกับสี และหัวน้ำหอม เพื่อแต่งกลิ่น สี และผสมสารอันตราย เช่น สารปรอท หรือไฮโดรควิโนน กรดวิตามินเอเข้าไป แต่ช่วงหลังสาร 2 ตัวนี้หายาก จึงปรับสูตรไปใส่สารสเตียรอยด์ ก่อนจะนำไปติดฉลากยี่ห้อหรือสวมยี่ห้อที่เคยโด่งดังในตลาด ส่งขายให้กับยี่ปั๊ว 4 เจ้า โดยเน้นขายในพื้นที่ต่างจังหวัดทั่วประเทศ เบื้องต้นแจ้งข้อหา ผลิตเครื่องสำอางที่สงสัยว่ามีวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสม ผลิตเครื่องสำอางไม่จดแจ้ง ผลิตเครื่องสำอางที่ใช้ฉลากไม่ถูกต้อง และจะขยายผลตรวจสอบเส้นทางการเงิน จับกุมยี่ปั๊ว ซาปั๊ว ที่รับครีมเหล่านี้ไปขายต่อด้วย ด้าน ภญ.สุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการ อย. กล่าวว่า ครีมของกลางที่พบนี้ ล้วนแล้วแต่มีลักษณะที่เข้าข่าย มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ ปรอท สารไฮโดรควิโนน กรดเรติโนอิก ที่ อย. สั่งห้ามใช้ และแจ้งเตือนประชาชนหลายครั้ง เคยจับมาแล้วเมื่อปี 52 และประกาศห้ามใช้ เพราะมีสารอันตรายต่อร่างกาย แม้จะเห็นผลเร็ว แต่เมื่อใช้ไประยะหนึ่ง จากผิวที่ดูขาวจะกลายเป็นดำคล้ำ มีภาวะผิวบาง เกิดฝ้าถาวร หากเป็นสิวก็เสี่ยงติดเชื้อได้ง่าย ซึ่งหากเป็นรอยแผลถาวร ก็จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จึงขอเตือนประชาชนอย่าซื้อครีมลักษณะนี้มาใช้ แต่ให้ซื้อครีมยี่ห้อที่มีความน่าเชื่อถือ และได้รับการจดแจ้งถูกต้องจากทาง อย.
    std47982
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ผลงานวิจัยเกิดโรคมะเร็งของรัสเซีย ----- รัสเซียทำอะไรชอบเปิดเผยให้โลกรู้ทุกอย่างไม่เหมือนอเมริกาที่รู้อะไรเก็บเป็นความลับหมด แล้วมนุษย์บนโลกใบนี้จะเชื่อว่าระบอบการปกครองแบบไหนดีที่สุดของมนุษยชาติ หรือถูกอเมริกาหลอกมาตลอดว่าระบอบเขาดีสุด หรือระบอบรัสเซีย-จีนดีสุดกันแน่ ในท้ายสุดมนุษย์รุ่นต่อๆไปจะอยู่กับระบอบไหนถึงจะมีชีวิตรอดยาวนาน ไม่ใช่ผลาญทรัพย์กรธรรมชาติโลกที่ว่ายุโรปและอเมริกาผลาญจนประเทศตัวเองไม่มีอะไรเหลือ แล้วไปปล้นคนอื่นกินเข้าประเทศตัวเอง คนที่เป็นมะเร็งเสียชีวิตเพราะอะไร ผลงานวิจัยฯ ของรัสเซีย อ้างว่าเหตุผลการเสียชีวิตมิได้เกิดจากมะเร็ง ยกเว้นความสะเพร่าของผู้ป่วย เมื่อผู้ป่วยทราบว่ามีเซลล์มะเร็ง ให้รีบปฏิบัติ 1. ขั้นตอนแรกคือ การหยุดน้ำตาลทั้งหมด ถ้าไม่มีน้ำตาล ในร่างกายของคุณจำนวนมาก เซลล์มะเร็ง ก็จะตาย อย่างเป็นธรรมชาติ 2. ผสมผลไม้ มะนาว ทั้งหมด กับน้ำร้อนสักแก้ว แล้วดื่มมัน ประมาณ 3 เดือน เซลล์มะเร็งจะแพ้ การปฏิบัติดังกล่าวดีกว่าการรักษาด้วยคีโม 3. ขั้นตอนที่ 3 คือ การดื่มน้ำมันมะพร้าว อินทรีย์ 3 ช้อนโต๊ะ เช้าและกลางคืน เซลล์มะเร็งจะค่อยๆ หายไป ท่านสามารถเลือก 1 ใน 2 วิธีนี้ หลังจากหลีกเลี่ยงน้ำตาล ที่ผ่านมา ความไม่รู้ ไม่ใช่ความผิด ข้อมูลนี้เผยแพร่มานานกว่า 5 ปี ซึ่งปัจจุบันนี้ เพิ่งมาถึงคุณ แต่ที่สำคัญที่สุด มันยังช้ากว่าการที่คุณไม่เคยให้ข้อมูลนี้กับทุกคนรอบตัวคุณเพื่อได้รู้เห็นงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมอสโก รัสเซีย ผมเห็นว่ามีประโยชน์ จึงขอให้ทุกท่านที่ได้รับข้อมูลนี้ กรุณาส่งต่อบทความนี้ให้กับคน ที่ท่านรักอีก 1 คน ผมเชื่อว่าแน่นอน! อย่างน้อย 1 ชีวิต จะได้รับประโยชน์ และจะบันทึกไว้ ส่วน ผมได้ทำในส่วนของผมแล้ว หวังว่าท่านจะสามารถช่วยเผยแพร่ โดยการทำส่วนของคุณ กล่าวคือ 1. การดื่มน้ำมะนาว สามารถป้องกันมะเร็งได้ แต่จำไว้ว่า อย่าผสมน้ำตาล น้ำมะนาวร้อน มีประโยชน์กว่า น้ำมะนาวเย็นๆ 2. หั่นเป็นแว่น 5 ชิ้น แล้วแช่ด้วยน้ำร้อนสักแก้วทิ้งไว้ 20- 30 นาที แล้วค่อยดื่ม 3. มันสำปะหลัง นำไปต้ม แต่ต้องต้มด้วย เปิดฝาหม้อวิตามิน B 17 อยู่ในมันสำปะหลัง ที่สามารถปิดเซลล์มะเร็งได้ บ่อยครั้ง การกินมื้อเย็นสามารถเพิ่มความเป็นไปได้ ของมะเร็งลำไส้ - มะเร็งกระเพาะอาหาร - ผู้หญิง อย่าดื่มชาในช่วงมีรอบเดือน และ การดื่มน้ำถั่วเหลือง นั้น ไม่ควรเพิ่มน้ำตาล หรือไข่ ในน้ำถั่วเหลือง ไม่กินมะเขือเทศ ตอนท้องว่าง ดื่มน้ำเปล่า 1 แก้ว ทุกเช้า ก่อนอาหาร เพื่อป้องกันนิ่ว ไม่กินอาหารในช่วง 3 ชั่วโมง ก่อนนอน หลีกเลี่ยงสุรา เพราะไม่มีประสิทธิภาพ ทางโภชนาการ แต่สามารถทำให้เกิดโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูงได้ อย่ากินขนมปัง ในขณะที่ร้อนจาก เตาอบ หรือเครื่องปิ้งขนมปัง ไม่ชาร์จมือถือหรืออุปกรณ์ใดๆ ที่อยู่ข้างๆ ตัวคุณ ในขณะที่คุณหลับ ดื่มน้ำเปล่าวันละ 10 แก้ว ป้องกันมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ ให้ดื่มน้ำต่อเนื่องระหว่างวัน ลดช่วงกลางคืน และ อย่าดื่มกาแฟ มากกว่า 2 แก้วต่อวัน เพราะมันสามารถทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ และมีปัญหาต่อกระเพาะอาหารได้ กินอาหารที่เลี่ยนได้เล็กน้อย หรือหลีกเลี่ยงมัน เพราะต้องใช้เวลา 5-7 ชั่วโมงในการย่อย ทั้งยังทำให้คุณรู้สึกเหนื่อย หลัง 17:00 น.กินอาหารให้น้อยลง ประการสำคัญอาหาร 6 ชนิด ที่ทำให้คุณมีความสุข ได้แก่ กล้วย, ส้มบาหลี, ผักโขม, ฟักทอง, ลูกพีช อนึ่ง การนอนไม่ถึง 8 ชั่วโมงต่อวัน ส่งผลให้มีการทำงานของสมองเสื่อมสภาพ พยายามนอนพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะจะทำให้เราอ่อนกว่าวัย อย่าลืม น้ำมะนาวที่ไม่มีน้ำตาล สามารถดูแลสุขภาพของคุณและทำให้คุณรู้สึกสดชื่น น้ำมะนาวร้อนฆ่าเซลล์มะเร็ง แช่มะนาวชิ้นเท่าๆกัน 5 ชิ้นกับน้ำร้อน ดื่มเป็นประจำทุกวัน anti-oxsidan รสชาติขมในน้ำมะนาวร้อนเป็นสารที่ดีที่สุดในการฆ่าเซลล์มะเร็ง น้ำมะนาวเย็นประกอบด้วยวิตามินซีเท่านั้น ซึ่งไม่ช่วยป้องกันมะเร็ง น้ำมะนาวร้อนสามารถควบคุมการเติบโตของเนื้องอกมะเร็งได้ การทดสอบทางคลินิก พิสูจน์แล้วว่า น้ำมะนาวร้อน ทำงานได้ดี เพื่อยับยั้งเซลล์มะเร็ง การรักษาด้วยน้ำมะนาวร้อน จะทำลายเซลล์ที่ชั่วร้าย เท่านั้น แต่ไม่มีผลกระทบต่อเซลล์ที่ดี กรด citric และมะนาว polyphenol ในน้ำมะนาว ช่วยลดความดันสูง และป้องกันการเกิดลิ่มเลือด และป้องกันการแข็งตัวของเลือด ถึงแม้ คุณจะยุ่งแค่ไหน เมื่ออ่านข้อความนี้ของผมแล้ว ช่วยถ่ายทอดให้ผู้อื่นด้วยครับ❤ การแบ่งปัน ถือเป็นวิทยาทาน ด้วยความปรารถนาดี ผศ.ดร.ศ.สำเร็จผล #มะเร็ง #โรคมะเร็ง #มะเร็งหายได้
    ไม่ระบุชื่อ
     •  2 เดือนที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    บีบหัวใจ พี่ชายวัย 13 หอบน้อง 5 ขวบหนีตายไฟไหม้ ชาวบ้านกังวล ปีนี้เกิดเหตุถี่มาก
    พี่ชายวัย 13 หอบน้อง 5 ขวบ หนีตายไฟไหม้ ด้านชาวบ้านจ่อทำบุญ ไม่สบายใจปีนี้ไฟไหม้บ่อย เกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นที่บ้านของนางสำราญ ซึ่งอยู่ใกล้กับวัดราษฎร์บรรทม หมู่ 2 ตำบลบ่อโพง อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยาจากคลิปของนายวัลลภ ยุทธศาสตร์ รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบ่อโพง ซึ่งนำรถดับเพลิงเข้าอำนวยการดับไฟ เปลวเพลิงได้ลุกโหมส่วนของตัวบ้านชั้นบนซึ่งเป็นไม้อย่างรุนแรง เปลวเพลิงลุกผมเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ ทำให้เกิดกลุ่มควันไฟมองได้เห็นในระยะหลายกิโลเมตร รถดับเพลิงขององค์การบริหารส่วนตำบลบ่อโพงไม่เพียงพอ ประกอบกับแหล่งน้ำอยู่ห่างไกล ต้องขอสนับสนุนรถดับเพลิงจากเทศบาลตำบลนครหลวง และกรมสรรพาวุธกองวัตถุระเบิดรวมทั้งหมด 4 คัน ช่วยกันฉีดน้ำนานกว่า 30 นาทีจึงควบคุมเพลิงไว้ได้ จากการตรวจสอบในเบื้องต้น เปลวเพลิงได้ลุกไหม้พื้นบ้าน-ฝาบ้านวอดไปกับกองเพลิง หลังคาสังกะสีถูกความร้อนจนบิดงอ นายสมชัย อายุ 35 ปี สามีนางสำราญ บอกว่า โชคดีที่ลูกชายคนเล็กวัย 5 ขวบ นอนอยู่บนชั้น 2 ตื่นขึ้นมาเห็นเปลวเพลิงลุกไหม้ จึงรีบวิ่งลงมาเรียกพี่ชายวัย 13 ปีให้ไปตามชาวบ้านมาช่วย ไม่เช่นนั้นนอนหลับเพลินอาจจะถูกไฟคลอกตายค่ากองเพลิงอย่างแน่นอน พี่ชายวัย 13 ปี เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ตนอยู่ชั้นล่าง น้องมาเรียกให้วิ่งขึ้นไปดู เห็นไฟลุกไหม้รุนแรงออกมาทางโทรทัศน์ที่ตั้งอยู่กลางบ้าน คาดว่าจะเป็นไฟฟ้าลัดวงจร ทำให้เกิดเหตุไฟไหม้ครั้งนี้ ซึ่งขณะเกิดเหตุตนอยู่กับน้อง 2 คน ส่วนพ่อและแม่ออกไปทำงานแต่เช้า ตอนนี้ยังตามหาแมวที่เลี้ยงไว้ทั้งหมด 10 ตัว ไม่รู้ถูกไฟไหม้ไปบ้างหรือเปล่า เพราะตามเจอได้เพียง 3 ตัวเท่านั้น ตนเป็นห่วงแมว เพราะเลี้ยงดูเหมือนเป็นเพื่อนเป็นสมาชิกในครอบครัวสำหรับ ด้านการช่วยเหลือทาง อบต.บ่อโพง และอำเภอนครหลวง ได้เข้ามาดูแลจัดหาเต็นท์ที่พักอยู่อาศัย และจะช่วยเหลือซ่อมแซมบ้านเรือนตามระเบียบการช่วยเหลือของทางราชการอย่างเต็มที่ สำหรับหมู่บ้านนี้ชาวบ้านเริ่มเป็นกังวลเนื่องจากในรอบปีที่ผ่านมาได้เกิดเหตุไฟไหม้ติดต่อกันหลายครั้ง เพราะก่อนหน้านี้ได้เกิดไฟไหม้โบสถ์วัดราษฎร์บรรทม ซึ่งเป็นโบสถ์เก่าแก่ได้รับความเสียหาย หลังจากดับไฟผ่านไปไม่ถึง 24 ชั่วโมง ไฟก็มาลุกไหม้โบสถ์ซ้ำอีกระลอก และล่าสุดยังมาไหม้บ้านของนางสำราญ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดมากนัก มีชาวบ้านหลายคนบอกอยากทำบุญให้กับหมู่บ้านเพื่อเป็นสิริมงคลให้กลับหมู่บ้านและความสบายใจของชาวบ้าน
    namnami
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    คนที่เป็นมะเร็งเสียชีวิตเพราะอะไร ผลงานวิจัยฯ ของรัสเซีย อ้างว่าเหตุผลการเสียชีวิตมิได้เกิดจากมะเร็ง ยกเว้นความสะเพร่าของผู้ป่วย เมื่อผู้ป่วยทราบว่ามีเซลล์มะเร็ง ให้รีบปฏิบัติ 1. ขั้นตอนแรกคือ การหยุดน้ำตาลทั้งหมด ถ้าไม่มีน้ำตาล ในร่างกายของคุณจำนวนมาก เซลล์มะเร็ง ก็จะตาย อย่างเป็นธรรมชาติ 2. ผสมผลไม้ มะนาว ทั้งหมด กับน้ำร้อนสักแก้ว แล้วดื่มมัน ประมาณ 3 เดือน เซลล์มะเร็งจะแพ้ การปฏิบัติดังกล่าวดีกว่าการรักษาด้วยคีโม 3. ขั้นตอนที่ 3 คือ การดื่มน้ำมันมะพร้าว อินทรีย์ 3 ช้อนโต๊ะ เช้าและกลางคืน เซลล์มะเร็งจะค่อยๆ หายไป ท่านสามารถเลือก 1 ใน 2 วิธีนี้ หลังจากหลีกเลี่ยงน้ำตาล ที่ผ่านมา ความไม่รู้ ไม่ใช่ความผิด ข้อมูลนี้เผยแพร่มานานกว่า 5 ปี ซึ่งปัจจุบันนี้ เพิ่งมาถึงคุณ แต่ที่สำคัญที่สุด มันยังช้ากว่าการที่คุณไม่เคยให้ข้อมูลนี้กับทุกคนรอบตัวคุณเพื่อได้รู้เห็นงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมอสโก รัสเซีย ผมเห็นว่ามีประโยชน์ จึงขอให้ทุกท่านที่ได้รับข้อมูลนี้ กรุณาส่งต่อบทความนี้ให้กับคน ที่ท่านรักอีก 1 คน ผมเชื่อว่าแน่นอน! อย่างน้อย 1 ชีวิต จะได้รับประโยชน์ และจะบันทึกไว้ ส่วน ผมได้ทำในส่วนของผมแล้ว หวังว่าท่านจะสามารถช่วยเผยแพร่ โดยการทำส่วนของคุณ กล่าวคือ 1. การดื่มน้ำมะนาว สามารถป้องกันมะเร็งได้ แต่จำไว้ว่า อย่าผสมน้ำตาล น้ำมะนาวร้อน มีประโยชน์กว่า น้ำมะนาวเย็นๆ 2. หั่นเป็นแว่น 5 ชิ้น แล้วแช่ด้วยน้ำร้อนสักแก้วทิ้งไว้ 20- 30 นาที แล้วค่อยดื่ม 3. มันสำปะหลัง นำไปต้ม แต่ต้องต้มด้วย เปิดฝาหม้อวิตามิน B 17 อยู่ในมันสำปะหลัง ที่สามารถปิดเซลล์มะเร็งได้ บ่อยครั้ง การกินมื้อเย็นสามารถเพิ่มความเป็นไปได้ ของมะเร็งลำไส้ - มะเร็งกระเพาะอาหาร - ผู้หญิง อย่าดื่มชาในช่วงมีรอบเดือน และ การดื่มน้ำถั่วเหลือง นั้น ไม่ควรเพิ่มน้ำตาล หรือไข่ ในน้ำถั่วเหลือง ไม่กินมะเขือเทศ ตอนท้องว่าง ดื่มน้ำเปล่า 1 แก้ว ทุกเช้า ก่อนอาหาร เพื่อป้องกันนิ่ว ไม่กินอาหารในช่วง 3 ชั่วโมง ก่อนนอน หลีกเลี่ยงสุรา เพราะไม่มีประสิทธิภาพ ทางโภชนาการ แต่สามารถทำให้เกิดโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูงได้ อย่ากินขนมปัง ในขณะที่ร้อนจาก เตาอบ หรือเครื่องปิ้งขนมปัง ไม่ชาร์จมือถือหรืออุปกรณ์ใดๆ ที่อยู่ข้างๆ ตัวคุณ ในขณะที่คุณหลับ ดื่มน้ำเปล่าวันละ 10 แก้ว ป้องกันมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ ให้ดื่มน้ำต่อเนื่องระหว่างวัน ลดช่วงกลางคืน และ อย่าดื่มกาแฟ มากกว่า 2 แก้วต่อวัน เพราะมันสามารถทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ และมีปัญหาต่อกระเพาะอาหารได้ กินอาหารที่เลี่ยนได้เล็กน้อย หรือหลีกเลี่ยงมัน เพราะต้องใช้เวลา 5-7 ชั่วโมงในการย่อย ทั้งยังทำให้คุณรู้สึกเหนื่อย หลัง 17:00 น.กินอาหารให้น้อยลง ประการสำคัญอาหาร 6 ชนิด ที่ทำให้คุณมีความสุข ได้แก่ กล้วย, ส้มบาหลี, ผักโขม, ฟักทอง, ลูกพีช อนึ่ง การนอนไม่ถึง 8 ชั่วโมงต่อวัน ส่งผลให้มีการทำงานของสมองเสื่อมสภาพ พยายามนอนพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะจะทำให้เราอ่อนกว่าวัย อย่าลืม น้ำมะนาวที่ไม่มีน้ำตาล สามารถดูแลสุขภาพของคุณและทำให้คุณรู้สึกสดชื่น น้ำมะนาวร้อนฆ่าเซลล์มะเร็ง แช่มะนาวชิ้นเท่าๆกัน 5 ชิ้นกับน้ำร้อน ดื่มเป็นประจำทุกวัน anti-oxsidan รสชาติขมในน้ำมะนาวร้อนเป็นสารที่ดีที่สุดในการฆ่าเซลล์มะเร็ง น้ำมะนาวเย็นประกอบด้วยวิตามินซีเท่านั้น ซึ่งไม่ช่วยป้องกันมะเร็ง น้ำมะนาวร้อนสามารถควบคุมการเติบโตของเนื้องอกมะเร็งได้ การทดสอบทางคลินิก พิสูจน์แล้วว่า น้ำมะนาวร้อน ทำงานได้ดี เพื่อยับยั้งเซลล์มะเร็ง การรักษาด้วยน้ำมะนาวร้อน จะทำลายเซลล์ที่ชั่วร้าย เท่านั้น แต่ไม่มีผลกระทบต่อเซลล์ที่ดี กรด citric และมะนาว polyphenol ในน้ำมะนาว ช่วยลดความดันสูง และป้องกันการเกิดลิ่มเลือด และป้องกันการแข็งตัวของเลือด ถึงแม้ คุณจะยุ่งแค่ไหน เมื่ออ่านข้อความนี้ของผมแล้ว ช่วยถ่ายทอดให้ผู้อื่นด้วยครับ❤ การแบ่งปัน ถือเป็นวิทยาทาน ด้วยความปรารถนาดี ผศ.ดร.ศ.สำเร็จผล #มะเร็ง #โรคมะเร็ง #มะเร็งหายได้
    ไม่ระบุชื่อ
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    .. # Post นี้ ตัองขอร้องให้อ่านเพื่อ Safety ของทุกครอบครัวนะคะ.. เป็น warning จากบริษัทSHELLค่ะ เรื่อง: คำเตือนจากบริษัทน้ำมันเชลล์ -- ต้องอ่าน!. Shell Oil Report!... (MUST READ) กรุณาส่งนี้ข่าวสารให้ทุกคนใน ครอบครัวและ เพื่อนของคุณ โดยเฉพาะผู้ที่ มีเด็กในรถกับ พวกเขาในขณะ เติมน้ำมัน. หากมีเกิด ขึ้น,พวกเขาอาจ จะไม่สามารถที่ จะช่วยเด็กออก มาทันเวลา ต้องอ่าน, แม้ว่าคุณจะไม่มีรถ คำเตือน จากบริษัทน้ำ มันเชลล์ -- ต้องอ่าน! แจ้งเตือนความ ปลอดภัย! นี่ คือสาเหตุที่เราไม่อนุญาตให้พกโทรศัพท์มือถือใน · พื้นที่ปฏิบัติการ, · พื้นที่จัดการและจัดเก็บโพรพิลี นออกไซด์ · พื้นที่ถ่่ายโพรเพน,น้ำมันและ ดีเซล บริษัท น้ำมันเชลล์เพิ่งออกคำเตือนเมื่อเร็วๆนี้หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น3ครั้ง ที่โทรศัพท์มือถือ (โทรศัพท์มือ ถือ)เกิดประกาย ไฟ ทำให้ไอน้ำมันลุกเป็นไฟระหว่างการดำเนินการเติมน้ำมัน ในกรณีแรก โทรศัพท์ ถูกวางไว้บน ฝากระโปรงหลัง ของรถในระหว่าง การเติมน้ำมัน พอดีมีคนโทร เข้ามาทำให้ เครื่อง โทรศัพท์ดัง และเกิดไฟลุกไหม้ตามมา ทำให้รถและ ปั๊มเติมน้ำมัน เบนซินติดไฟ ไหม้ยับเยิน ในกรณีที่สอง ในขณะที่เติม น้ำมันรถ เจ้าของรถรับสายโทรศัพท์ที่เข้ามา ทำให้ไอน้ำมันติดไฟลุกพรึ๊บขึ้นมา เผาไหม้ใบหน้าของเขาอย่างสาหัส! และในกรณีที่ สาม, มีคนถูกไฟไหม้ที่ต้นขาและขาหนีบ เนื่องจากขณะ ที่เขาเติม น้ำมันรถของเขา โทรศัพท์ซึ่ง อยู่ในกระเป๋า กางเกงของเขา ดังขึ้น และทำให้ไอน้ำมันติดไฟลุกพรึ๊บขึ้นมา คุณควรจะรู้ว่า โทรศัพท์มือ ถือสามารถจุด ติดเชื้อเพลิง หรือไอน้ำมัน ลุกไหม้ได้ โทรศัพท์มือถือ ที่สว่างขึ้น เมื่อเปิดหรือ ที่ดังขึ้น เมื่อมีสายเข้า มา จะปล่อยพลังงานเพียงพอที่จะให้เกิดประกายไฟสำหรับจุดไฟติด โทรศัพท์มือถือ ไม่ควรใช้ใน สถานีเติม น้ำมัน หรือในขณะเติมน้ำมันลงในเครื่องตัดหญ้า, เรือ ฯลฯ ไม่ควรใช้หรือ ควรปิดโทรศัพท์ มือถือ เมื่ออยุ่ใกล้วัสดุใดๆ ที่ปล่อยไอหรือ ฝุ่นที่สามารถ ลุกติดไฟหรือ ระเบิดขึ้นได้ (เช่นตัวทำ ละลาย, สารเคมี, แก๊ส, ฝุ่นจากธัญญะ พืช, ฯลฯ .. ) สรุป มีสี่กฎเพื่อ ความปลอดภัยในระหว่างการเติมน้ำมัน : 1) ดับเครื่องยนต์ 2) ไม่สูบบุหรี่ 3) อย่าใช้ โทรศัพท์มือถือ ของคุณ – ทิ้งมันไว้ภายในรถหรือปิดเครื่องเสีย 4) ถ้า ออกมายืนนอกรถ ในระหว่างการ เติมน้ำมัน อย่าเข้าไปในรถของคุณจนกว่าจะเติมน้ำมันเสร็จ บ๊อบ Renkes แห่งสถ าบันอุปกรณ์ปิโตรเลียมกำลังเตรียม ทำแคมเปญให้คน ตระหนัก ถึงการเกิดเพลิงไหม้ที่เป็นผลมาจาก'ไฟฟ้าสถิตย์'ที่ปั๊มน้ำมัน บริษัท ของเขาได้วิจัย 150 กรณีของการเกิดเพลิงไหม้เหล่านี้ ผลลัพธ์ ที่เขาได้ เป็นที่น่าแปลกใจมาก : 1) จาก 150 กรณี เกือบทั้งหมดเกิดกับพวกผู้หญิง 2) เกือบ ทุกกรณีเกิด ขึ้นเมื่อเจ้า ของรถกลับเข้า ไปในรถของพวก เขาในขณะที่หัว จ่ายน้ำมันยัง คงจ่ายน้ำมัน อยู่ . เมื่อ หัวจ่ายน้ำมัน หยุดจ่ายน้ำมัน พวกเขาก็ออกมาจากรถเพื่อไปดึงหัวจ่าย น้ำมันออก และไฟลุกติดขึ้น อันเป็นผลจากไฟฟ้าสถิตย์ 3) ส่วนใหญ่ใส่ รองเท้าที่ส้น รองเท้าทำด้วยยาง 4) ผู้ชายส่วนใหญ่ ไม่กลับเข้าไปในรถของพวกเขาจนกว่าจะเติมน้ำมัน เสร็จสมบูรณ์ นี่คือเหตุผลที่พวกเขาไม่ค่อยประสพไฟไหม้จากสาเหตประเภทนี้ 5) อย่าใช้ โทรศัพท์มือถือ ขณะเติมน้ำมัน 6) ไอที่ระเหยออก มา่จากน้ำมัน และหากมันไปสัมผัสไฟฟ้าสถิตย์ที่อยู่ใกล้ คือสาเหตุที่ทำให้เกิดไฟไหม้ 7) มี 29 ไฟไหม้ที่เกิดขึ้นเมื่อเจ้าของรถกลับเข้าไปในรถและหัวจ่ายน้ำมัน ถูกแตะต้อง(แล้วอะไรคือ”ถูกแตะต้อง”? ถูกขยับ?)ในระหว่างการเติมน้ำมัน. รถที่ไฟไหม้มีหลากหลายยี่ห้อและรุ่น บางกรณีส่งผล ให้เกิดความ เสีย หายอย่างกว้าง ขวางกับรถ กับสถานีและกับตัวลูกค้า 8) เกิด17 เพลิงไหม้ · ก่อน · ระหว่างหรือ · ทันทีหลังจาก ฝา ถังน้ำมันถูก ถอดออกแต่ก่อน ที่จะเติมน้ำมันเริ่ม .. นาย Renkes เน้นว่า อย่ากลับ เข้ามาในรถของ คุณในขณะที่ น้ำมันกำลังไหล ถ้า คุณจำเป็นต้อง เข้าไปในรถของ คุณในขณะที่ น้ำมันกำลังไหล อยู่, ก่อน ที่คุณจะดึงหัว ฉีดออก ต้องแน่ใจว่า ในตอนคุณออกจาก รถ คุณได้สัมผัสโลหะในขณะที่คุณปิดประตู วิธีนี้จะถ่ายประจุของไฟฟ้าสถิตย์ออกจากร่างกายของคุณก่อนที่คุณจะยกหัวจ่าย น้ำมันขึ้นมา ดัง ที่ผมกล่าวถึง ก่อนหน้านี้แล้วสถาบัน ปิโตรเลียมอุ ปกรณ์พร้อม กับหลาย ๆ บริษัทตอนนี้ กำลัง พยายามอย่างมาก ที่จะทำให้ประชาชน ตระหนักถึง อันตรายนี้ ฉัน ขอให้คุณกรุณา ส่งนี้ข้อมูลแก่ ทุกคนในครอบ ครัวและเพื่อนของ คุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่้งผู้ที่มีเด็กใน รถกับพวกเขา ใน ขณะที่เติม น้ำมันที่ปั๊ม หาก มีเกิดขึ้นกับ พวกเขา พวก เขาอาจจะไม่ สามารถที่จะ เอาเด็กออกมา ได้ทันเวลา
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    สูตรชาแก้โรคเก๊าต์ ตะไคร้-ใบเตย ทำง่ายหายปวดเข่า-ลืมเก๊าต์-ไม่ต้องพึ่งยา ไม่น่าเชื่อ แค่ “ตะไคร้ กับ ใบเตย” ก็เป็น “สูตรสมุนไพรแก้โรคเก๊าต์” ได้จริง
    สูตรชาแก้โรคเก๊าต์ ตะไคร้-ใบเตย ทำง่ายหายปวดเข่า-ลืมเก๊าต์-ไม่ต้องพึ่งยา ไม่น่าเชื่อ แค่ “ตะไคร้ กับ ใบเตย” ก็เป็น “สูตรสมุนไพรแก้โรคเก๊าต์” ได้จริง เตรียมส่วนผสมดังนี้คือ 1. ตะไคร้ 5 ต้น 2. ใบเตย 3 ใบ 3. น้ำสะอาด 2 ลิตร (หากต้องการทำให้ดื่มได้หลายวัน ให้เพิ่มสัดส่วนตามสูตร) วิธีทำ ใส่น้ำในหม้อ ทุบตะไคร้ใส่หม้อ ใส่ใบเตยลงไป ต้มให้เดือดพล่าน เมื่อเดือดแล้วให้ลดไฟลงกลางๆ ปิดฝาต้มต่ออีก 15 นาที ห้ามเปิดฝา เมื่อครบ 15 นาทีแล้ว ปิดไฟ ยกหม้อลง ทิ้งไว้ให้เย็น จะได้น้ำชาตะไคร้-ใบเตย จะเก็บใส่ขวดแช่ตู้เย็นไว้ก็ได้ วิธีกิน ให้นำมาดื่มแทนน้ำเปล่าติดต่อกัน 1 สัปดาห์ สรรพคุณสมุนไพรของตะไคร้ กับ ใบเตย จะช่วยล้างกรดยูริกในเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของการปวดเข่าจากโรคเก๊าต์ได้ดีมาก ลืมปวดเข่า ลืมเก๊าต์ ลืมกินยาไปได้เลย *สูตรนี้ได้รับการยืนยันจากผู้เป็นเก๊าต์ว่าได้ผลดีเกินคาดจริงๆ ผลข้างเคียง อาจทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น วิธีแก้คือ ให้หลีกเลี่ยงการดื่มก่อนเข้านอน 2 ชั่วโมง ******* ******* ชีวอโรคยา แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อเป็นวิทยาทาน เพื่อความพอเพียง เพื่อสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานไปต่อยอดศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตนเอง ไม่ตอบคำถามเพิ่มเติม ไม่รับปรึกษาปัญหาสุขภาพ เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญไม่ได้ประจำหน้าเพจ สงวนลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2558 แชร์ได้ห้ามคัดลอกไปโพสต์ใหม่ เรียบเรียงโดย ชีวอโรคยา อ้างอิงข้อมูลจาก แพทย์พื้นบ้าน /ตำราโบราณ / สมุนไพรหมอศุภ ภาพโดย ชีวอโรคยา สงวนลิขสิทธิ์ ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลราคาแพง Cr ชีวอโรคยา
    Mrs.Doubt
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ถ้าไม่เจอกับตัว ไม่มีทางเข้าใจ และส่วนตัว ดิฉันจะสู้ค่ะ แต่อยากขอถามด้วยเหมือนกันว่า ถ้าเป็นคุณ คุณจะสู้ไหม?!! ออกรถใหม่ ประกันชั้น 1 เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย แต่ถูกตีค่าเสียหายสูงลิบจนประกันฯเสนอคืนทุนฯแบบอุบัติเหตุหนักที่เสียหายทั้งคันและให้โอนกรรมสิทธิเป็นซาก!! ดิฉันได้ออก รถ ORA Good GAT รุ่น Ultra500 ใหม่ จ่ายไปร่วมๆล้านเศษ พร้อมประกันชั้น 1 ตามแคมเปญจากทาง GWM .. ขับมาได้เดือนนึง เกิดอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย มุมกล่องครอบแบตใต้ท้องรถครูดกับสันขอบทางทำให้มุมฝากล่องแบตอ้าออกมา ซึ่งรถก็ยังขับได้ตามปกตินำรถเข้าตรวจที่ศูนย์ GWM สาขาอุดมสุข และนำกลับไปใช้ตามปกติเพื่อรอนัดหมายฯ แต่กลายเป็นว่าทางประกันติดต่อมาแจ้งพิจารณาคืนทุนประกันที่ 770,000 บาทและให้โอนกรรมสิทธิของรถแก่ประกันเสมือนเป็นซาก เพราะทาง GWM ตีค่าซ่อมสูงเกิน 70% ของวงเงินคุ้มครอง....ช๊อคไหมคะ ...หากเป็นคุณ คุณคิดว่าอย่างไร...จากอุบัติเหตุที่มีเสียหายภายนอกเพียงเล็กน้อย ถูกตีมูลค่าความเสียหายสูงลิบ ราวกับอุบัติเหตุรุนแรงจนเป็นซากถึงขนาดที่ประกันฯพิจราณาคืนทุกประกัน!! … หากเป็นอย่างนี้ ไม่เท่ากับว่าลูกค้าจู่ๆก็ต้องสูญเงินราว 2 แสนกว่าบาทจากอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย ทั้งที่มีประกันชั้น 1 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา หลังจาก ออกรถมาได้1เดือนพอดี (18 สิงหาคม 2565) สามีดิฉันและดิฉันขับรถเข้าซอยทางศรีนครินทร์ และเนื่องจากเป็นซอยแคบ มีรถสวนมา เราจึงถอยรถ เพื่ออำนวยความสะดวกให้รถเขาผ่านไปก่อน แต่ในขณะถอย ขับปีนขึ้นสันขอบทางเล็กน้อย ทำให้สันขอบทางไปโดนถูกใต้ท้องรถ มีเสียงดังเล็กน้อยแต่รถยังขับได้ปกติ เหมือนไม่เป็นอะไร จนเมื่อกลับถึงบ้าน เราก็ลองก้มลงมองใต้รถ ก็พบว่ามุมของฝาครอบกล่องแบตอ้าออก จึงรีบแจ้งบริษัทประกันมาช่วยดู ว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง และดำเนินการเคลมตามขั้นตอนปกติ โดยไม่คิดอะไร เพราะเราวางใจว่าเรามีประกันชั้น 1 และเห็นว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุเล็กน้อย จึงได้นัดหมายนำรถเข้าศูนย์ที่ GWM สาขาอุดมสุข หลังจากนั้น เราก็นำรถกลับไปใช้ก่อนเพื่อรอนัดหมายการเข้าซ่อมแซมตามเลขเคลมต่อไป แต่แล้ว อีกประมาณ 2 สัปดาห์ ถัดมา ทางบริษัทประกันฯ แจ้งมาว่า ทาง GWM ตีมูลค่า ค่าซ่อม 602,998.50 บาท (ข๊อคครั้งที่ 1) และทางประกันฯ บอกว่าเกินมูลค่าที่ประกันชั้น1 จึงต้องตีเป็นซากรถ โดยคืนเงินทุนประกันให้ 770,000 บาทพร้อมกับต้องส่งซากให้ประกันฯ (ช๊อคครั้งที่ 2) เราตกใจมาก ทำไมเป็นแบบนี้ เราเจอประสบอุบัติเหตุที่เล็กน้อยมากๆ และรถก้อยังขับได้ปกติ ไม่มีปัญหา และเราก้อรักรถเรามาก ถึงขนาดเคยเขียนชื่นชมใน เวป Ora Good Cat แต่สิ่งที่เราได้รับจาก GWM หลังจากที่เราได้ร้องขอฝ่านสาขาอุดมสุขไป ให้เข้ามาดูแลกรณีนี้โดยเร็ว แต่ผ่านมากว่า 2 เดือน กลับ มีเพียงจดหมายจากทางฝั่งประกัน ยืนยันว่าจะตีเป็นซากรถให้เรา ถึง 3 ฉบับ โดยทาง GWM กลับเงียบเฉย ไม่เคยแม้แต่จะนัดหมายเพื่อขอตรวจสอบความเสียหายในรายละเอียดหรือให้ข้อมูลการวิเคราะห์ทางเทคนิคฯอะไรเลย จนล่าสุดเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ทางฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ของ GWM จึงติดต่อกลับมา และ ยังยืนยันว่าค่าซ่อมเป็นมูลค่า 602,998.50 บาท โดยประกันจะช่วย 5 แสนกว่า และ GWM จะให้ส่วนลดอีกประมาณ 40,000 กว่า ส่วนที่เหลือราวๆ 30,000 ลูกค้าจะต้องจ่ายเอง คำถามคือ 1) ดิฉันสมควรต้องรับผิดชอบส่วนต่างร่วม 30,000 บาทนี้อย่างนั้นหรือ ทั้งที่รถมีประกันชั้น1 ด้วยอุบัติเหตุที่มีความเสียหายภายนอกเพียงเล็กน้อย แต่กลับถูกประเมินอย่างไม่ใส่ใจให้ต้องแบกมูลค่าความเสียหายที่สูงลิบลิ่ว (ด้วยราคาค่าอะไหร่+ค่าแรง ที่กำหนดโดย GWM) ซึ่งจนแม้ถึงขณะนี้ ดิฉันก็ยังไม่ได้รับการนัดหมายเข้าตรวจสอบทางเทคนิคใดๆจาก GWM เพื่อให้ความกระจ่างกับลูกค้าว่า อะไรบ้างต้องซ่อม ต้องเปลี่ยน เพราะอะไร มีราคารายละเอียดอะไรบ้าง ฯลฯ 2) ทำไมแคมเปญประกันชั้น 1 ที่ทาง GWM ให้กับลูกค้า เป็นทุนคุ้มครองความเสียหายเพียง 770,000 บาท ทั้งที่ตัวรถมีมูลค่า 959,000 บาท (หลังหักเงินสนับสนุนจากรัฐ) ซึ่งถามจริง มีลูกค้าท่านไหนบ้างที่ซื้อรถจากทางบริษัทฯ จะสังเกตมูลค่าเอาประกันไม่ตรงคุ้มครองเต็มมูลค่าจริงที่ซื้อมา …. แต่เอาเป็นว่า ทุนประกันฯคุ้มครองไม่เต็มมูลค่ารถทั้งคันตั้งแต่ต้น พอมีความเสียหายสูงจึงเสนอจะปิดคืนเพียงทุนประกัน แล้วจะเอาความชอบธรรมอะไรเข้าครอบครองกรรมสิทธิในรถทั้งคัน โดยเหมาเอาเองว่าเป็นซากและจะต้องโอนให้ประกันฯ … ประเด็นนี้ คงต้องพึ่งความเป็นธรรมจาก คปภ. 3) ทำไมบริษัท GWM ถึงตีมูลค่าซ่อมสูงถึง 602,998.50 บาท ทั้งๆที่ ความเสียหายมีเพียงแค่ฝากล่อมคุมแบตที่อ้าออก แม้จะอ้างว่าต้องเปลี่ยนกล่องครอบแบตและชุดแบตใหม่ทั้งชุด แต่ จริงๆแล้วคุณเป็นผู้ผลิตแบตดังกล่าว จะไม่มีหนทางเชียวหรอ ถ้าเช่นนั้น ใครก้อตามที่เจออุบัติเหตุใต้ท้องรถเพียงเล็กน้อย คงต้องได้รับความเสียหายเช่นเดียวกับดิฉันทุกรายไป! หากผู้บริโภครับรู้ในเรื่องนี้ ใครจะกล้าเลือกซื้อรถจากค่ายนี้ ดิฉันอยากเห็นการบริหารจัดการของบริษัท GWM ที่ดีและสมควรกว่านี้ ใส่ใจดูแลและไม่ละเลยลูกค้าอย่างกรณีของดิฉัน ที่คิดค่าใช้จ่ายทำกำไรฉาบฉวยแบบเอาง่ายเข้าว่า จากความเสียหายเล็กน้อยนี้ในราคาที่แม้แต่บริษัทประกันฯ ยังต้องส่ายหน้า และรถนี้ก้อเป็นของลูกค้าคุณ คุณควรจะบริหารค่าใช้จ่ายแบตที่มีความเสียหายเพียงแค่ฝาที่คลอบแบตแบบไหนกัน เดิมทีดิฉันชอบรถคันนี้มาก และยังได้จองรถรุ่นGT ไว้อีกคันหนึ่งด้วย จนเมื่อเจอปัญหานี้ ดิฉันจึงคิดจะสละสิทธิ์การจองฯ และ หันมาต่อสู้ให้ถึงที่สุด และใช้เรื่องราวของดิฉันเป็นกรณีศึกษาแก่เพื่อนๆผู้บริโภคได้พึงระวัง ให้พิจารณารายละเอียดความเสี่ยงให้รอบด้าน และคำนึงถึงความเป็นมืออาชีพและจรรยาบรรณของผู้ประกอบการเป็นสำคัญ #ไม่เจอกับตัวไม่มีทางรู้ #OraGoodCat #GWM #ถ้าเป็นคุณจะสู้ไหม
    ไม่ระบุชื่อ
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ปล้นครั้งประวัติศาสตร์! ทะลวงทุกระบบ “ขโมยเพชร” มหาศาล ตามของคืนไม่ได้จนวันนี้
    ผู้เขียน กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม เผยแพร่ วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2566 ย้อนกลับไปเมื่อต้นปี 2003 มีข่าวครึกโครมดังไปทั่วโลกกับเหตุการณ์ “ขโมยเพชร” ที่นับได้ว่าเป็นการโจรกรรรมครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และน่าจะบอกได้ว่าเป็นการโจรกรรมที่เกิดในพื้นที่ซึ่งมีระบบป้องกันดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลก จนเคยเชื่อกันว่า “ไม่สามารถถูกเจาะได้” แอนต์เวิร์ป ไดมอนด์ เซ็นเตอร์ (Antwerp Diamond Center) เป็นที่รู้จักในฐานะศูนย์รวมเพชรของโลก ตั้งอยู่ในประเทศเบลเยียม ภายในมีตู้เซฟจำนวนเกือบ 200 ตู้ในห้องนิรภัย ซึ่งอยู่ลึกลงไปในใต้ดิน 2 ชั้น เก็บเพชรและเครื่องประดับอัญมณีของผู้เช่าตู้เซฟ มูลค่ารวมแล้วหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐ มีระบบรักษาความปลอดภัยหลายชั้น รายงานข่าวบางแห่งบ่งชี้ตัวเลขระดับชั้นของการรักษาความปลอดภัยว่ามีมากถึง 10 ชั้น และต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนกว่าจะไปถึงขั้นเปิดตู้เซฟได้ ทุกตู้ยังต้องเปิดด้วยรหัสและกุญแจเช่นเดียวกับประตูห้องนิรภัย ซึ่งทำให้เป็นที่มั่นใจในความปลอดภัยสำหรับผู้มาเช่าตู้เซฟ สถานที่แห่งนี้มีมาตรการรักษาความปลอดภัยแน่นหนาและทันสมัย แถมเพียบพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย มีกล้องวงจรปิดทุกซอกทุกมุม มีสัญญาณเตือนภัยแทบทุกระบบที่มนุษย์ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาติดตั้งอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเซนเซอร์จับความเคลื่อนไหวและการสั่นสะเทือน เซนเซอร์จับความร้อนจากร่างกายมนุษย์ เซนเซอร์จับแสง มีแม้กระทั่งอุปกรณ์ตรวจจับแบบแม่เหล็ก ซึ่งทันทีที่ประตูนิรภัยหนา 1 ฟุตเปิดในเวลาที่ไม่ควรเปิด สัญญาณเตือนภัยจะแจ้งเหตุทันที รวมทั้งมีเครื่องกีดขวางยานพาหนะยุคไฮเทค มีกลไกบังคับให้หุบหายลงใต้ดิน และโผล่กลับขึ้นมาทำหน้าที่ของมันได้ทุกเวลา ที่สำคัญยังตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานีตำรวจนัก และเจ้าหน้าที่ก็พร้อมปฏิบัติการตลอด 24 ชั่วโมง เมื่อได้รับแจ้งการก่อเหตุ ผู้ก่อการ “ขโมยเพชร” ก่อนหน้าเกิดคดีโจรกรรมเพชร 2 ปี คือในปี 2001 เชื่อว่าแผนปฏิบัติการการโจรกรรมได้เริ่มขึ้นอย่างแนบเนียนโดยชายวัยกลางคนชาวตูริน ประเทศอิตาลี ชื่อ ลีโอนาร์โด โนทาร์บาร์โทโล ซึ่งเดินทางเข้ามาในเมืองแอนต์เวิร์ป ประเทศเบลเยียม ที่ตั้งของไดมอนด์ เซ็นเตอร์ ฉากหน้าเขาคือนักออกแบบเครื่องประดับ นักธุรกิจค้าเพชร เข้ามาเช่าออฟฟิศและตู้เซฟที่ไดมอนด์ เซ็นเตอร์ เพื่อเปิดเป็นสำนักงานประกอบธุรกิจค้าเพชร ที่นี่นอกจากจะมีตู้เซฟให้เช่าแล้ว ยังมีห้องเพื่อใช้เป็นสำนักงานธุรกิจค้าอัญมณีของเหล่านักธุรกิจใช้เช่าอีกด้วย โนทาร์บาร์โทโลแฝงตัวเข้ามาเพื่อสำรวจเก็บรายละเอียดของสำนักงานนี้ เขาใช้เวลาเก็บข้อมูลต่างๆ ทั้งระบบความปลอดภัย กิจวัตรในแต่ละวันของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ส่วนต่างๆ ของอาคาร และเส้นทาง โดยรายละเอียดทั้งหมดที่ได้มา เขาใช้การจดจำ จากนั้นจะนำมาเขียนบันทึกในห้องทำงาน โนทาร์บาร์โทโลใช้เวลาร่วม 2 ปีแฝงตัวและเก็บข้อมูลในสถานที่แห่งนี้ แน่นอนว่าโนทาร์บาร์โทโลคงไม่ปฏิบัติการเพียงลำพัง เขามีผู้ร่วมขบวนการอีกคือ เอลิโอ ดอโนริโอ ผู้เชี่ยวชาญสัญญาณเตือนภัย คนช่างคิดที่สามารถเอาชนะมาตรการรักษาความปลอดภัยหลายระบบ เฟอร์ดนานโด ฟิน็อตโต อาชญากรมืออาชีพมากประสบการณ์ และ ปิเอโตร ทาวาโน เพื่อนเก่าแก่ที่โนทาร์บาร์โทโลไว้ใจ โนทาร์บาร์โทโลเล่ารายละเอียดทุกอย่างที่เขาเก็บข้อมูลมาให้ผู้ร่วมก่อการฟังอย่างละเอียด รวมทั้งร่วมวางแผนกันภายในร้านกาแฟนในตูรินเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต พวกเขาใช้เวลาเตรียมการรวม 27 เดือน นานกว่าระยะเวลาในหนังโจรกรรมแบบฮอลลีวูด ที่มักเล่าว่าสมาชิกแก๊งใช้เวลาไม่กี่สัปดาห์ ปฏิบัติการ “ขโมยเพชร” ครั้งประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นในวันหยุดสุดสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ ปี 2003 ไล่เลี่ยกับช่วงวันวาเลนไทน์ ช่วงวันหยุด ไดมอนด์ เซนเตอร์ แห่งนี้หยุดทำการ ไม่มีการเปิดห้องนิรภัยและตู้เซฟทุกกรณี หากเปิดนอกเวลาทำการเช่นนี้สัญญาณเตือนภัยจะทำงานทันที แต่โนทาร์บาร์โทโลกลับเลือกใช้เวลานี้ปฏิบัติการ เนื่องจากปลอดคนและมีเวลาให้ปฏิบัติการได้มาก การเจาะระบบป้องกัน (โดยคร่าว) ด้วยระบบป้องกันภัยที่ทันสมัยและแน่นหนามาก การเจาะเข้าไปในตู้เซฟจึงต้องผ่านระบบป้องกันหลายด่าน ทั้งการใส่รหัสผ่าน ล็อกกุญแจ เซนเซอร์สนามแม่เหล็ก เซนเซอร์ตรวจจับความร้อน เซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว และเซนเซอร์แสง รายละเอียดมีข้อปลีกย่อยมากมาย ข้อมูลในที่นี้บอกเล่าอย่างคร่าวๆ โดยส่วนหนึ่งมาจากหลักฐานและการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมผู้เชี่ยวชาญ โนทาร์บาร์โทโลและพวกจำเป็นต้องกำจัดอุปสรรคทีละด่าน ซึ่งผ่านการจำลองสถานการณ์ซักซ้อมมาอย่างดี พวกเขาเริ่มแผนการในช่วงค่ำวันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ ทาวาโนทำหน้าที่เฝ้าติดตามฟังวิทยุสื่อสารของตำรวจ ทราบความเคลื่อนไหวของตำรวจจากวิทยุสื่อสาร เขาทำหน้าที่อยู่ที่ห้องพักของโนทาร์บาร์โทโล ส่วนโนทาร์บาร์โทโลกับพวกอีก 2 คน สวมถุงมือยาง ขับรถผ่านป้อมตำรวจ ประตูชั้นจอดรถเปิดขึ้น เขาหยุดรถชิดขอบทาง แต่ละคนพาดถุงบนไหล่ มุดผ่านใต้ขอบประตูม้วน พวกเขาใช้กุญแจดอกพิเศษที่ทำขึ้นเพื่อไขกุญแจประตูทางเข้า เดินลงบันไดถึงหน้าห้องนิรภัย ดอโนริโอใช้แผ่นเหล็กรูปตัวทีประกบแท่งแม่เหล็กทั้งสองที่ติดอยู่บานประตูและขอบประตูด้วยเทปกาวสองหน้า แล้วดึงมันหลุดออกมาโดยแท่งแม่เหล็กไม่แยกจากกัน สัญญาณแจ้งเตือนจึงไม่ดังขึ้น ช่วยให้เปิดห้องนิรภัยกว้างระดับหนึ่ง และสามารถแทรกตัวเข้าไปได้โดยปลอดสัญญาณแจ้งเตือน ตำรวจเชื่อว่าดอโนริโอติดตั้งกล้องวิดีโอเพื่อใช้บันทึกการหมุนรหัสประตูห้องนิรภัย แต่ทฤษฎีของตำรวจมีผู้แย้งว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะมีอุปกรณ์บังรอบตัวหมุนรหัส ป้องกันไม่ให้คนอื่นเห็นเลข ข้อสันนิษฐานอื่นก็คือ โนทาร์บาร์โทโลอาจได้รหัสมาโดยวิธีอื่น หรืออีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจคือ ประตูห้องนิรภัยนี้ไม่เคลียร์รหัสให้เอง หากเปิดแล้วต้องหมุนเคลียร์รหัสเอง ทั้งนี้ผู้ดูแลอาจลืมหรือขี้เกียจเคลียร์รหัส (เก่า) ทำให้รหัสคาอยู่ที่เดิม เพียงเท่านี้ก็สามารถใช้กุญแจเพียงดอกเดียวเปิดประตูนิรภัยได้ ภายหลังตำรวจสรุปว่าคนร้ายใช้ชะแลงยาว 2 ฟุต งัดประตูห้องเก็บของ เพราะกุญแจที่ทำมาใช้การไม่ได้ (เสียงน่าจะดังมาก แต่ไม่มีสัญญาณเตือนภัย เนื่องจากในพื้นที่ไม่ได้ใช้การตรวจจับเสียง เพราะมองว่า หากมีคนทำของตก สัญญาณย่อมดังขึ้นทุกครั้ง) แต่ในห้องเก็บของมีกุญแจประตูนิรภัย จึงสามารถเปิดห้องนิรภัยได้ ข้างในห้องมืดสนิท และมีเครื่องตรวจจับแสงทำงานอยู่ พวกเขาใช้เทปกาว 2-3 ชิ้นปิดเซนเซอร์แสง แล้วทำการเปิดไฟ ด่านต่อมาคือเซนเซอร์ตรวจจับความร้อน พวกเขาเอาชนะมันด้วยการใช้สเปรย์ตกแต่งทรงผมฉีดใส่เครื่องจนทำให้เครื่องรวนไม่สามารถใช้งานได้ ส่วนเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวพวกเขาใช้แผ่นโฟมวางทับตัวเซ็นเซอร์ไม่ให้มันทำงาน ด่านสุดท้ายคือเปิดประตูตู้เซฟ พวกเขาประกอบอุปกรณ์ดึงฝาตู้เซฟที่ประดิษฐ์ขึ้นเอง ซึ่งแยกชิ้นส่วนใส่กระเป๋ามา และนำมาประกอบกันตรงกลางห้องนิรภัย เมื่อประกอบเสร็จพวกเขาก็ใช้อุปกรณ์ดังกล่าวเปิดตู้เซฟได้ หลังจากจัดการกับอุปสรรคแต่ละด่านเรียบร้อยแล้ว โนทาร์บาร์โทโลและพวกได้แบ่งหน้าที่กัน คนหนึ่งเปิดตู้เซฟให้เร็วที่สุด อีกสองคนทำหน้าที่แยกของมีค่า ทั้งเพชร นาฬิกา เครื่องประดับ และเงินสด แยกใส่ถุงอย่างละถุง โนทาร์บาร์โทโลเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเอาอะไรกลับไป และจะปล่อยสิ่งของอะไรไว้บ้างโดยประเมินจากมูลค่าของแต่ละชิ้น โดยรวมแล้วพวกเขาเปิดตู้เซฟได้ 109 ตู้ จาก 189 ตู้ เชื่อกันว่าทรัพย์สินที่กลุ่มนักโจรกรรมกวาดไปได้มีมูลค่ารวมกว่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตัวเลขมูลค่าของทรัพย์สินที่หายไปยังเป็นที่ถกเถียง จากปากของกลุ่มผู้ก่อการอ้างว่ามูลค่าของทรัพย์สินที่พวกเขาฉกไปอยู่แค่ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอ้างว่าการโจรกรรมเป็นส่วนหนึ่งของแผนที่ใหญ่กว่าเพื่อเคลมเงินประกัน) ขณะที่การออกจากสถานที่เกิดเหตุก็ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาต้องขนสมบัติที่หนักกลับไปพร้อมกับเครื่องมืออุปกรณ์ เดิมทีแล้ว “แก๊งตูริน” นี้จะเก็บทุกอย่างกลับไปเพื่อไม่ให้ตำรวจเก็บหลักฐาน แต่ครั้งนี้พวกเขาจำเป็นต้องทิ้งอุปกรณ์ โดยเช็ดถูให้สะอาดลบร่องรอยอื่นก่อน การหิ้วถุงเพชรขึ้นบันไดขณะออกจากสถานที่เกิดเหตุหลังจากคนดูต้นทางรายงานว่าปลอดโปร่งแล้วก็ต้องหิ้วถุงโดยก้าวอย่างระมัดระวังมากที่สุด ถุงเพชรอย่างเดียวก็หนักเข้าไปถึง 44 ปอนด์ (ราว 20 กิโลกรัม) ขณะที่แบกขึ้นไป คนร้ายอีกรายใช้กุญแจปลอมเข้าไปเปิดประตูห้องควบคุมระบบรักษาความปลอดภัย เอาเทปบันทึกภาพการก่อเหตุออกจากเครื่อง และใส่เทปเปล่าไปแทน เขายังมองหาเทปเก่าโดยเลือกช่วงเดือนที่ผ่านมาอีก 4 ม้วน เป็นเทปบันทึกภาพช่วงที่สมาชิกเข้ามาทำลายระบบเตือนภัยแม่เหล็กไปด้วย เมื่อคนดูต้นทางแจ้งว่าปลอดภัย พวกเขาก็ออกมาใส่ของที่ท้ายรถที่มาจอดเทียบชิดขอบทาง พวกเขานั่งเบียดกันในรถและขับหายไปตามถนน โฉมหน้าลีโอนาร์โด โนทาร์บาร์โทโล วัย 51 ปีหลังถูกจับกุมเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2003 ฉากหลังเป็น Diamond Center ใน Antwerp ประเทศเบลเยียม เมื่อ 18 ก.พ. 2013 หลังเกิดเหตุโจรกรรมเพชร (ภาพจาก STRINGER / BELGA / WIM HENDRIX /AFP) เรื่องเล็กในการ “ขโมยเพชร” ที่พลาดมหันต์ แม้พวกเขาจะทำการสำเร็จ แต่ปัญหาของพวกเขาคือการกำจัดขยะที่เป็นร่องรอยจากปฏิบัติการทั้งหมด ท้ายที่สุดแล้วนักโจรกรรมอัจฉริยะระดับโลกต้องถึงจุดจบ โดยมีหลักฐานคือ “ถุงขยะ” หลังจาก “ขโมยเพชร” แล้ว พวกคนร้ายขับรถซึ่งมีถุงขยะอันบรรจุอุปกรณ์และสิ่งของที่เหลือใช้จากปฏิบัติการเต็มรถไปตามไฮเวย์ด้วยความกระวนกระวาย จนเลือกทิ้งถุงขยะโดยเร็วที่สุดเมื่อออกจากเมือง เลี่ยงความเสี่ยงโดนตำรวจเรียกจอดหากละเมิดกฎจราจร การทิ้งขยะตามสถานที่ส่วนบุคคลหรือเอกชนก็เป็นเรื่องเสี่ยง เพราะเจ้าของกิจการในเบลเยียมจริงจังกับการใช้ถังขยะโดยไม่ได้รับอนุญาต หลายแห่งล็อกฝาถัง หรือติดตั้งกล้องวงจรปิดบริเวณถังขยะ ปั๊มน้ำมันบนไฮเวย์แทบทุกแห่งมีป้ายห้ามทิ้งสิ่งของส่วนตัว ขณะที่การเผาถุงก็ย่อมมีควันไฟที่เรียกความสนใจจากเจ้าหน้าที่ไฮเวย์ ในถุงพวกนี้มีถุงขยะที่ยัดถุงจากร้านค้าซึ่งดันมีใบเสร็จ ซองเอกสาร และเอกสารอื่นจากไดมอนด์ เซ็นเตอร์ และเลือกทิ้งข้างทางหลวงตรงถนนทางเข้าป่าฟลอร์ดัมบอส แต่แล้วดันมีผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินละแวกนั้นที่รักษ์สิ่งแวดล้อมมาพบถุงขยะ และคู่สามีภรรยาคือกลุ่มที่โทรศัพท์แจ้งตำรวจ (แม้แต่คำถามว่า ใครกันแน่ที่รู้ว่าถุงขยะเกี่ยวกับการโจรกรรมที่เป็นข่าวดังเวลานั้น และออกไอเดียให้โทรศัพท์หาตำรวจ ก็ยังเป็นที่ถกเถียงว่า สรุปแล้วเป็นสามีคือออกุสต์ ฟาน ดัมป์ หรือภรรยาของเขากันแน่) ถุงที่ฟาน ดัมป์ พบคือหลักฐานสำคัญที่ทางการแกะรอยได้อย่างรวดเร็วกว่าที่คิด ทำให้ผู้ก่อการทั้ง 4 คนถูกจับในที่สุด โดยเฉพาะใบเสร็จที่เมื่อตำรวจนำไปสอบถามกับแคชเชียร์ พนักงานจำได้ทันที และให้รูปพรรณกับตำรวจซึ่งเชื่อว่าเป็นดอโนริโอ และฟิน็อตโต ขณะที่ตำรวจเบลเยียมส่งข้อมูลผู้ต้องสงสัยให้ตำรวจสากล โนทาร์บาร์โทโลและพวกยังฉลองความสำเร็จ และกำลังเดินทางหลบหนี แต่เหลือสิ่งที่เขาต้องทำคือทำลายร่องรอยที่เหลือในแอนต์เวิร์ป อีกทั้งคืนรถเช่า และทำความสะอาดห้องพักซึ่งจากมาอย่างรีบร้อน และยังต้องรูดบัตรผ่านเข้า-ออกไดมอนด์ เซ็นเตอร์ เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อเป็นหลักฐาน เพราะตำรวจจะต้องตรวจสอบว่าผู้เช่ารายใดที่หายไปเลยหลังเกิดเหตุ เมื่อตำรวจตรวจสอบหลักฐานการเข้า-ออกของโนทาร์บาร์โทโล ก็พบว่าเขาอยู่ในกลุ่มสุดท้ายที่ออกจากอาคารก่อนวันเกิดเหตุ จึงนำภาพวิดีโอหลายชั่วโมงมาดู แล้วพบว่า หนุ่มใหญ่ชาวอิตาเลียนเข้า-ออกห้องนิรภัยทุกวันตลอดสัปดาห์ก่อนหน้าเกิดเหตุ ตำรวจเชื่อว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจรกรรม โนทาร์บาร์โทโลมั่นใจว่าไม่มีอะไรที่พาดพิงมาถึงเขา แม้ว่าในข่าวจะมีเรื่องพบถุงขยะแล้ว แต่เขาไม่รู้ว่า เพื่อนร่วมงานฉีกใบจ้างงานติดตั้งกล้องที่ออฟฟิศของเขาแล้วโยนลงถังขยะในครัว ไม่รู้ว่าตำรวจค้นออฟฟิศและตู้เซฟของเขา การกลับที่เกิดเหตุย่อมเหมือนกับการฆ่าตัวตาย แต่โนทาร์บาร์โทโลมั่นใจ และความมั่นใจนั่นเองทำให้เขาโดนรวบตัว ทันทีที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในบูธด้านหน้าเห็นเขาก็คว้าโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่โดยพลัน ช่วงแรกเขายังคิดว่าตำรวจไม่มีหลักฐานพอ และยังเป็นเพียงพยาน แถมยังตีบทงง ไม่เข้าใจว่าควบคุมตัวผู้บริสุทธิ์อย่างเขาทำไม โนทาร์บาร์โทโลมีคำตอบให้ทุกคำถาม แต่ท้ายที่สุดก็จนกับหลักฐานหลายอย่าง ทั้งดีเอ็นเอบนแซนด์วิชไส้กรอกที่โนทาร์บาร์โทโลทำกินเอง แต่กินครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งโยนทิ้งถังขยะในครัวขณะเตรียมขนของหนีไปอิตาลี และมันไปโผล่ในถังขยะใกล้ป่าฟลอร์ดัมบอส และยังพบดีเอ็นเอของผู้ร่วมก่อการอีกหลายจุดที่เชื่อมเข้ากับหลักฐานการโจรกรรม แม้ว่าคนร้ายจะถูกจับกุมได้ แต่เพชรที่ถูกปล้นก็ไม่ได้กลับคืนสู่เจ้าของ เพราะไม่มีคนร้ายคนไหนบอกถึงที่อยู่ของเพชรที่ปล้นมา ช่วงที่โนทาร์บาร์โทโลอยู่ในคุกยังให้สัมภาษณ์แก่นิตยสารไวร์ด (Wired) ว่า การปล้นทั้งหมดเกิดจากแผนที่ผู้เช่าตู้เซฟซึ่งเป็นพ่อค้าเพชรชาวยิวหวังใช้เรียกค่าประกันจากไดมอนด์ เซ็นเตอร์ โดยที่พวกเขาซึ่งมีผู้เช่าตู้เซฟร่วมแผนการด้วยประมาณ 50-60 ราย จะไม่เอาเพชรหรือของมีค่าใส่ไว้ในตู้เซฟ และวางแผนการปล้นโดยจำลองห้องนิรภัยขึ้นมา แล้วเข้าปล้น เขายังกล่าวต่ออีกว่าแผนการครั้งนี้โดนพ่อค้าเพชรชาวยิวหักหลัง แต่มีหลายคนวิเคราะห์ว่าข้อมูลนี้เป็นเรื่องโกหกของโนทาร์บาร์โทโล เพราะสิ่งที่เขาเล่าย้อนแย้งอย่างมาก อีกทั้งเรื่องที่มีผู้เช่าตู้เซฟวางแผนร่วมกันนั้น ผู้เช่าตู้เซฟเห็นว่าเป็นเรื่องตลกที่ไม่มีทางเกิดขึ้น การที่โนทาร์บาร์โทโลให้สัมภาษณ์เช่นนี้ก็เพื่อโยนความผิดให้กับผู้อื่นหรือปกปิดข้อมูลและร่องรอย โนทาร์บาร์โทโลยังต้องการให้นำเรื่องราวของเขาไปทำภาพยนตร์ เพราะเขาหวังส่วนแบ่งรายได้จากสิทธิ์ของข้อมูลเพื่อนำไปใช้อย่างสบายหลังออกจากคุก อีกทั้งเป็นเงินที่ได้มาโดยถูกกฎหมาย และใช้ชีวิตอย่างหรูหราได้โดยอ้างแหล่งที่มาของเงินจากส่วนแบ่งการนำเรื่องราวไปสร้างเป็นภาพยนตร์ (ทั้งที่เจ้าตัวเคยให้สัมภาษณ์ว่าไม่มีวันเผยเรื่องจริง) ท้ายที่สุดแม้ว่าเขาจะถูกศาลตัดสินจำคุก 10 ปี และรับโทษติดคุก เขาก็ยังไม่ได้บอกที่ซ่อนอัญมณีและแผนการปล้น เขากับพวกอีก 3 คน ถูกปล่อยตัวก่อนกำหนด และหลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตแบบเงียบๆ ทั้งนี้ศาลได้ตัดสินคดีจนถึงที่สุดแล้ว คดีนี้จึงจบลง เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องกับคดีให้ความเห็นเมื่อปี 2009 ว่า แม้แต่โนทาร์บาร์โทโลนำเพชรหรือทรัพย์สินที่ปล้นมาขายก็อาจไม่สามารถแจ้งจับได้อีก เพราะไม่สามารถฟ้องซ้ำคดีที่ศาลพิพากษาเสร็จเด็ดขาด นอกเหนือจากมีหลักฐานใหม่ แต่สิ่งที่ทำได้เบื้องต้นคือแค่ยึดเป็นของกลางไว้ และอาจดำเนินคดีในอิตาลีเกี่ยวกับการฟอกเงิน ในขณะที่กลุ่มเจ้าของทรัพย์สินที่ถูกปล้นไปก็ไม่หวังกันแล้วว่าจะได้ของกลับคืน คนในแวดวงเพชรยังรู้สึกโกรธกับบทสรุป เมื่อพวกคนร้ายติดคุกไม่นาน ทรัพย์สินก็ไม่สามารถติดตามกลับมาได้ ที่สำคัญบทสรุปของเรื่องนี้ยังออกมาว่าการทำงานหนักของเจ้าหน้าที่เพื่อติดตามคนร้ายและดำเนินคดี แลกมากับการจองจำผู้ก่อเหตุเพียงไม่กี่ปี และยังพิสูจน์อีกว่า ความเสี่ยง ความยากลำบาก การถูกจับและจองจำ อาจคุ้มค่ากับชีวิตหลังผ่านคดี เมื่อพวกที่ก่อการอาจใช้ชีวิตที่เหลือได้อย่างราบรื่นและสุขสบายจากสิ่งที่ได้จากการโจรกรรม
    putilp148
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false