1 คนสงสัย
หายใจให้ถูกวิธีช่วยให้ลดอาการข้อเท้าบวม
จากกรณีที่มีผู้โพสต์คลิปให้ความรู้ว่า การหายใจโดยนั่งตัวตรงหรือยืนตรง และเริ่มหายใจออกก่อนโดยโน้มตัวไปข้างหน้า แล้วหายใจเข้าโน้มตัวกลับขึ้นมา ทำแบบนี้ไป 20 - 30 ครั้ง จะช่วยลดอาการข้อเท้าบวม ทางโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า อาการที่คลิปกล่าวถึงเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริงทางการแพทย์ หรือก็คือ วิธีการหายใจตามคลิปนั้น ไม่มีความสัมพันธ์ทั้งทางทฤษฎี หรือทางรายงานการวิจัยกับการลดการบวมของข้อเท้า ทั้งจากการบวมน้ำ การอุดกั้นของหลอดเลือดดำที่ขา หรือจากการอักเสบของข้อเท้าแต่อย่างใด
บทสรุปของเรื่องนี้คือ : วิธีการหายใจตามคลิปนั้นไม่มีความสัมพันธ์ทั้งทางทฤษฎีหรือทางรายงานการวิจัยกับการลดการบวมของข้อเท้า ทั้งจากการบวมน้ำ การอุดกั้นของหลอดเลือดดำที่ขา หรือจากการอักเสบของข้อเท้าแต่อย่างใด
หนูรัตนไม่ใช่กะเทย
 •  1 ปีที่แล้ว
0 ความเห็น
ช่วยระบุหมวดหมู่ของข้อความนี้ให้หน่อย
เลือกให้น้อยที่สุด (ถ้าเป็นไปได้)

ยังไม่มีใครตอบ

เพิ่มความเห็นใหม่

กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 1 คนสงสัย
    เหลือเชื่อ! แค่เอาเท้าไปแช่ลงในเกลือ ผลที่ได้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ยังไม่สามารถอธิบายได้
    เหลือเชื่อ! แค่เอาเท้าไปแช่ลงในเกลือ ผลที่ได้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ สำหรับคนรักสุขภาพ!!! เทรนด์ยอดฮิตที่กำลังมาแรงในตอนนี้นอกจากการออกกำลังกายแล้วนั้นคือ “แช่เท้าด้วยเกลือ” ที่ใครก็สามารถทำได้แบบไม่ต้องเสียเงินเข้าสปาเลย แถมได้ประโยชน์มากมายเกิดคาด!! ประโยชน์ของการแช่เท้าด้วยเกลือ 1. ช่วยดึงสิ่งที่ตกค้างในร่างกายออก 2. ช่วยดึงพลังงานลบที่เกิดจากอารมณ์ออก 3. ช่วยดึงประจุพลังงานลบ ซึ่งเป็นพลังงานไม่ดี ออกจากร่างกาย 4. หลังจากที่ดึงพลังงานลบออกจากร่างกายแล้วเราก็ใช้วิธีการรักษาได้ตามปกติ ทั้งนี้วิธีการนี้จะเป็นการช่วยดึงพลังงานลบออกจากร่างกาย ก่อนการรักษา ทำให้รักษาได้ง่ายขึ้น 5. เมื่อแช่เท้าด้วยเกลือ บ่อยๆ ร่างกายจึงไม่มีพลังงานลบที่ก่อโรคหลงเหลืออยู่อีก และนี่เองจึงทำให้สุขภาพของเราดีขึ้น วิธีการแช่เท้าด้วยเกลือ 1. นำกะละมังขนาดที่สามารถวางเท้าแช่ได้-ใส่น้ำลงไปให้ท่วมตาตุ่มจะเป็นน้ำอุ่นหรือน้ำธรรมดาก็ได้ 2. ใส่เกลือทะเล (ที่เป็นเกลือแบบเม็ด) ลงไปประมาณ 1 กำมือ 3. เอาเท้าเหยียบเกลือที่ยังไม่ละลาย 4. ทำจิตใจให้สงบ หรือเปิดเพลงบรรเลงเบาๆ นั่งอยู่ประมาณ 15-20 นาที 5. หลังจากนั้นให้ล้างเท้าด้วยน้ำเปล่า การแช่เท้าด้วยเกลือนั้นคนปกติ สามารถทำได้ทำอาทิตย์ละครั้ง ส่วนคนป่วย ทำได้ทุกวันก่อนนอน หากผู้ใดที่ธาตุในร่างกายไม่สมดุล มีอาการหนาว สั่น ให้ใช้น้ำอุ่นในการแช่เท้า สำหรับคนที่ร้อนก็ให้ใช้น้ำเย็นแช่ ทั้งนี้การแช่เท้า ไม่ว่าจะเป็นน้ำเกลือหรือน้ำอุ่นหรือไม่ก็ตาม ยังมีข้อดีอีกหลายอย่างดังนี้! 1. ลดอาการปวดบวมที่เท้าแล้ว 2. ลดอาการปวดท้อง 3. กระตุ้นความต้านทานของร่างกาย 4. ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น 5. ป้องกันอาการมือเท้าเย็นโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว 6. ลดอาการอักเสบของจมูกและลำคอ 7. ช่วยให้อาการปวดหัวหรือปวดประจำเดือนลดลง 8. ลดอาการคั่งของเลือดที่ส่วนอื่นๆ 9. ทำให้นอนหลับง่ายตลอดคืน เป็นต้น ขอมอบให้ ดูแลสุขภาพกันนะ ด้วยความห่วงใยกันและกัน
    Mrs.Doubt
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งไปเติมน้ำมัน ตอนที่รูดเครดิตการ์ดเสร็จแล้วและกำลังจะออกจากปั๊ม ก็มีพนักงานคนหนึ่งเดินมาบอกว่า การ์ดที่รูดมีปัญหาให้เธอรีบลงจากรถและเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ของปั๊มด้วย เพื่อนคนนี้ก็งงมาก เพราะคิดว่าตามปกติ ถ้ารูดบัตรไม่ผ่าน เครื่องจะไม่ออกสลิปให้ แต่นี่ก็ได้สลิปแล้ว จึงเอาสลิปให้พนักงานคนนั้นดูเพื่อยืนยันการจ่าย และบอกว่ามีธุระต้องรีบไป แต่พนักงานคนนั้นก็ยังยืนยันว่าเธอต้องไปคุยกับเจ้าหน้าที่อยู่ดี พูดประมาณว่าจะลงไปคุยดีๆ หรือเปล่า สุดท้ายเพื่อนก็จำใจลงจากรถ เมื่อเข้าไปในสำน้กงานได้ก็โวยใหญ่เลย ว่าจ่ายตังค์แล้ว และพนักงานที่ไปเชิญเขาลงจากรถก็พูดกับเขาไม่ดีด้วย เจ้าหน้าที่ต้องรีบบอกให้เธอใจเย็นๆ และฟังเหตุผลของทางปั๊มก่อน ทางปั๊มบอกว่า ตอนที่เติมน้ำมันรถเธออยู่ เห็นผู้ชายคนหนึ่งแอบเปิดประตูเข้าไปนั่งอยู่ข้างหลังเบาะด้านคนขับ ทางปั๊มเห็นว่าผิดสังเกต ว่าไม่น่าจะเป็นคนที่มาด้วยกัน จึงโทรแจ้งตำรวจให้ และอยากให้เธอออกจากรถก่อน เพื่อความปลอดภัย พอได้ยินแบบนั้น เพื่อนก็ตกใจมาก รีบหันกลับไปดูรถตัวเองทันที จังหวะนั้นก็เห็นผู้ชายคนหนึ่ง กำลังเปิดประตูและลงจากรถตัวเองอยู่พอดี ภายหลังทราบว่า พวกนี้เป็นหนึ่งในรูปแบบของอาชญากรรมแนวใหม่คือเป็นพวกค้าชิ้นส่วนอวัยวะของผู้หญิง โดยจะแอบปีนเข้าไปตอนที่คนขับรถซึ่งเป็นผู้หญิง เอารถแวะเข้าเติมน้ำมัน หรือแวะจอดซึ้อของตามร้านข้างทาง หรือตามห้างสรรพสินค้า วิธีการก็คือพวกนี้จะตัดเอ็นข้อเท้า เพื่อป้องกันไม่ให้เหยื่อหนี จากนั้นจะขับรถของเหยื่อ เพื่อพาเหยื่อไปฆ่า และชำแหละอวัยวะออกเป็นส่วนๆ เมื่อได้อ่านแล้ว ขอให้ช่วยกันส่งต่อไปให้ผู้หญิงทุกคนที่คุณรู้จัก อย่างน้อยอาจช่วยให้พวกเขารู้จักระวังตัว และไม่ตกเป็นเหยื่อรายต่อไป ข้อควรระวัง 1 ให้ล็อครถทุกครั้ง ที่ต้องลงจากรถ แม้ว่าจะเป็นการแวะลงไปทำธุระหรือซื้อของเพียงแค่ไม่กี่นาที 2 สำรวจหาบุคคลแปลกปลอมใต้ท้องรถ และเบาะด้านหลังทุกครั้งก่อนกลับขึ้นรถ 3 หมั่นสังเกตพฤติกรรมของคนรอบข้างอยู่เสมอ เมื่อออกนอกบ้าน โดยเฉพาะเมื่อต้องไปไหนในเวลากลางคืน กรุณาอ่านและส่งต่อไปยังคนที่คุณรักนะคะ
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 เดือนที่แล้ว
    meter: false
  • 2 คนสงสัย
    ข่าวปลอม อย่าแชร์! หายใจให้ถูกวิธีจะช่วยลดอาการข้อเท้าบวม
    ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลในสื่อออนไลน์เรื่องหายใจให้ถูกวิธีจะช่วยลดอาการข้อเท้าบวม ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบ โดยโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ จากกรณีที่มีผู้โพสต์คลิปให้ความรู้ว่า การหายใจโดยนั่งตัวตรงหรือยืนตรง และเริ่มหายใจออกก่อนโดยโน้มตัวไปข้างหน้า แล้วหายใจเข้าโน้มตัวกลับขึ้นมา ทำแบบนี้ไป 20 – 30 ครั้ง จะช่วยลดอาการข้อเท้าบวม ทางโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า อาการที่คลิปกล่าวถึงเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริงทางการแพทย์ หรือก็คือ วิธีการหายใจตามคลิปนั้น ไม่มีความสัมพันธ์ทั้งทางทฤษฎี หรือทางรายงานการวิจัยกับการลดการบวมของข้อเท้า ทั้งจากการบวมน้ำ การอุดกั้นของหลอดเลือดดำที่ขา หรือจากการอักเสบของข้อเท้าแต่อย่างใด
    std46688
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    น้ำมันงาช่วยรักษาข้ออักเสบได้จริงไหม
    โรคข้ออักเสบ การศึกษาชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับประสิทธิภาพของน้ำมันงาในการบรรเทาอาการที่เกิดจากโรคข้ออักเสบพบว่าการรับประทานน้ำมันงา 1 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุกวันต่อเนื่องนาน 28 วัน มีประโยชน์ในการช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระและสารเคมีที่ก่อการอักเสบในร่างกายของผู้ป่วย อีกทั้งยังช่วยเพิ่มการผ่อนคลายของของหลอดเลือดแดงเอออร์ตา และมีแนวโน้มที่จะลดการบวมของเท้าด้านหลัง ซึ่งประโยชน์เหล่านี้ส่งผลดีต่อตัวผู้ป่วยเอง ทั้งนี้งาดำจะนำมาใช้รักษาผู้ป่วยโรคข้ออักเสบได้จริงหรือไม่คงต้องรอผลการศึกษาในอนาคตที่แน่นอนกว่านี้ต่อไป
    Wantanee Chiansunan
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ▪︎เราต้องเดินทุกวัน ตั้งแต่ตื่นนอนไปจนถึงเข้านอน และวันหนึ่งๆ เราต้องเดินลงน้ำหนักบนขาทั้ง 2 ข้างของเราหลายชั่วโมง ●ข้อมูลจาก American Podiatric Medical Association รายงานว่า โดยเฉลี่ยมนุษย์เดินวันละ 8,000-10,000 ก้าว ซึ่งเท่ากับว่าตลอดชีวิตเราจะต้องเดินประมาณ 207,000 กิโลเมตร หรือเป็นระยะทางเท่ากับเส้นรอบวงของโลกถึง 4 รอบ ● การเดินของมนุษย์มีกลไกที่ซับซ้อนมาก ☆ไม่ใช่เพียงแค่การก้าวเท้าไปข้างหน้า ☆ แต่ต้องอาศัยการทำงานของกล้ามเนื้อหลายมัด ☆ศีรษะ ข้อกระดูกสันหลัง ข้อไหล่ ข้อสะโพก ข้อเข่า และข้อเท้า เพื่อให้ร่างกายทรงตัวอยู่ได้ ●ยิ่งเดินมาก ยิ่งทำให้ข้อเสื่อม จริงหรือ(?) ▪︎ใครว่ายิ่งเดินมาก ยิ่งทำให้ข้อเสื่อม ต้องบอกเลยว่า ความเชื่อนี้เชยไปแล้วค่ะ ● จากงานวิจัยทางการแพทย์สมัยใหม่พบว่า 🔺️การเดินหรือวิ่งอย่างถูกต้อง และต่อเนื่องจะช่วยป้องกันข้อเสื่อม 🔺️ส่วนการไม่เดินไม่วิ่ง หรือขาดการออกกำลังกายกลับเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้อเสื่อม ● เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น 🔺️คำตอบคือ การเดินหรือวิ่งก่อให้เกิดแรงกดที่กระดูกอ่อนผิวข้อ ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายฟองน้ำคอยรับแรงกระแทกในข้อ แรงกดและปล่อยอย่างเป็นจังหวะจากการเดินและวิ่ง จะเป็นการเพิ่มการหมุนเวียนของน้ำหล่อเลี้ยงภายในข้อ ▪︎น้ำหล่อเลี้ยงภายในข้อมีความสำคัญ เพราะสารอาหารของเซลล์กระดูกอ่อนไม่มีเลือดมาเลี้ยง ▪︎จึงได้รับสารอาหารและออกซิเจนจากน้ำหล่อเลี้ยงข้อเท่านั้น ▪︎ การเคลื่อนไหวข้อที่ทำให้เกิดแรงกดที่กระดูกอ่อนอย่างเหมาะสม และสม่ำเสมอ ▪︎จึงเป็นการให้สารอาหารแก่กระดูกอ่อน กระตุ้นการสร้างและซ่อมส่วนที่สึกหรอ ช่วยลดความเสี่ยงข้อเสื่อมได้ 🔺️วันนี้หมอมีเคล็ด (ไม่) ลับของการเดิน ที่จะช่วยลดความเสื่อม และป้องกันการบาดเจ็บของข้อเข่า และกระดูกสันหลังมาฝากค่ะ (one).ปรับท่าเดินให้ถูกต้อง เพราะท่าเดินที่ถูกต้องจะช่วยให้บุคลิกดีขึ้นและดูสง่างาม โดย ● ตามองตรง ไม่ก้มศีรษะ เพราะการก้มศีรษะจะไปเพิ่มการลงน้ำหนักที่กระดูกสันหลังบริเวณคอและหลัง ทำให้มีอาการปวดคอ บ่า ไหล่ และหลังตามมาได้ ●ไม่เกร็งระหว่างเดิน ผ่อนคลายตั้งแต่มือ ข้อนิ้วมือ อาจจะงอข้อศอกเล็กน้อย และก้าวเท้าให้เหมาะสม ไม่ยาว ไม่สั้นจนเกินไป จะลดอาการปวดเกร็งของเข่า และกล้ามเนื้อต้นขาได้ ● ขณะที่เดินให้ลงน้ำหนักที่ส้นเท้าก่อน ตามมาด้วยเหยียบเท้าให้เต็มฝ่าเท้า ส่วนเท้าอีกข้างให้ยกส้นเท้าขึ้นก่อนเช่นกัน จะเป็นการช่วยบริหารกล้ามเนื้อหน้าแข้ง (two)เลือกรองเท้าให้เหมาะสม ▪︎โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องเดินไกลๆ ควรเลือกรองเท้าหุ้มส้นที่สวมสบาย โดยควรลองสวมรองเท้าเดินก่อนที่จะเดินทางไกล (three)หลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าส้นสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสวมรองเท้าที่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่งเพราะเมื่อสวมส้นสูงจะทำให้หลังงอ และมีการโน้มตัวไปด้านหน้า ร่างกายจึงพยายามรักษาสมดุลด้วยการต้าน หรือเกร็งไม่ให้ลำตัวและแผ่นหลังเอนไปข้างหน้ามากเกินไป ส่งผลให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลัง ● หากมีพฤติกรรมนี้เป็นเวลานานๆ ก็จะทำให้กระดูกเคลื่อนไปกดทับเส้นประสาทได้ (four).แขม่วพุงหรือแขม่วท้องเวลาเดิน เป็นการฝึกบริหารกล้ามเนื้อหลังมัดลึก ทำได้ดังนี้คือ ● ขั้นที่ 1 หายใจเข้าและออกให้สุด จำความรู้สึกไว้ว่าการหายใจเข้าและออกแบบลึกสุดๆ คิดเป็นการหายใจแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ● ขั้นที่ 2 หายใจเข้าประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ แขม่วท้องค้างไว้ นับ 1-10 แล้วหายใจออก คลายหน้าท้อง โดยขณะเกร็งหรือแขม่ว ให้ผ่อนคลายในระดับที่สามารถพูดคุยโต้ตอบกับผู้อื่นได้ ●การแขม่วพุงยังมีประโยชน์อีกมากมาย เช่น เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ลดแรงกระทำ และช่วยกระจายแรงกระทำต่อกระดูกสันหลัง เพิ่มความมั่นคงให้กระดูกสันหลัง ป้องกันการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุบริเวณหลังส่วนล่าง ทำให้ประสิทธิภาพการหายใจดีขึ้น กระชับหน้าท้อง ทำให้หน้าท้องแบนราบ บุคลิกภาพดี (five)ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ● คนที่น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 10 กิโลกรัม จะมีแรงกดต่อข้อเข่าเพิ่มขึ้น 40 กิโลกรัม หรือ 4 เท่าของน้ำหนักตัวทุกๆ ย่างก้าวที่เดิน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงการเกิดอาการปวดจากโรคข้อเข่าเสื่อม ●โดยน้ำหนักตัวที่เหมาะสมสำหรับชาวไทย คือ ค่าดัชนีมวลกาย ระหว่าง 19-25 กิโลกรัมต่อตารางเมตร (six)ไม่ควรหิ้วหรือถือของหนัก โดยเฉพาะของที่มีน้ำหนักมากกว่า 20 กิโลกรัม เพราะถึงแม้ว่าน้ำหนักตัวจะไม่มาก แต่ดันหิ้วของหนักมาก โดยเฉพาะกระเป๋าถือของผู้หญิง ก็จะเพิ่มแรงกดต่อกระดูกเช่นกัน (seven)หมั่นบริหารกล้ามเนื้อต้นขา ด้วยการเหยียดเข่าให้ตรงและเกร็งค้างไว้ครั้งละ 5 วินาที ประมาณวันละ 10-20 ครั้ง หรืออาจเข้ายิมเล่นเวต เพื่อเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า และด้านหลัง สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีสะโพกกว้าง ซึ่งมีแนวโน้มเกิดปัญหาปวดเข่าได้ง่าย การออกกำลังกายด้วยวิธีดังกล่าว จะสร้างกล้ามเนื้อให้ช่วยรั้งกระดูกสะบ้าเข้าด้านใน เพื่อลดปัญหาปวดเข่าในระยะยาว (eight)หลีกเลี่ยงการขึ้น-ลงบันไดบ่อยเกินไป เช่น เดินขึ้น-ลง บ้าน 3 ชั้น มากกว่าวันละ 5 ครั้ง ควรวางแผนการหยิบของใช้ให้ดีเพื่อหลีกเลี่ยงการเดินขึ้น-ลง (nine)หลีกเลี่ยงการยืนพักขาลงน้ำหนักไปที่ขาข้างเดียว ●การยืนที่ถูกต้อง ควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆ กัน โดยยืนแยกขาให้กว้างเท่าช่วงสะโพก จึงจะเกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย (one)(zero)เป็นคนช่างสังเกต ▪︎โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการเจ็บปวดหลังการเดิน ▪︎ ควรสังเกตว่าเรามีอาการเจ็บตรงไหน เพื่อตรวจสอบว่า ตรงไหนที่เราอาจจะมีปัญหา จะได้รีบแก้ไข ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามจนแก้ไขไม่ได้ 🔺️การเดินเป็นการออกกำลังกายที่ง่าย ทำได้ทุกเวลา โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ●แนะนำให้เดินอย่างน้อยวันละ 10,000 ก้าว หรือเดินอย่างน้อยวันละ 30 นาที สะสมให้ได้สัปดาห์ละ 150 นาที ⭐ขอให้คุณผู้อ่านเดินอย่างมีความสุข สุขภาพแข็งแรงกันทุกๆ ท่านเลยนะคะ 🔺️พันเอกหญิง รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงสุมาภา ชัยอำนวย (คุณหมอยุ้ย)
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    นศ.หนุ่มวัย 19 เป็นลมหมดสติกะทันหัน พอผลการวินิฉัยของคุณหมอออกมา ทุกคนตกใจจนเข่าแทบทรุด เว็บไซต์ต่างประเทศ ได้รายงานว่าในช่วงเช้าของวันหนึ่ง มีนักศึกษาหนุ่มหลายคนพาเพื่อนอายุ 19 ปี ที่เป็นลมหมดสติกะทันหัน มาที่โรงพยาบาล พวกเขาตะโกนเรียกหมอว่า “คุณหมอครับ ช่วยเขาที เขาเป็นลมหมดสติกะทันหันครับ” หลังจากถามอาการของคนไข้จากเพื่อน ๆอที่พามาส่งก็พบว่า คนไข้มีอาการขาซ้ายปวดและบวมในตอนตื่นนอน เพื่อน ๆที่นอนในห้องเดียวกันต่างคิดว่า เป็นเพราะเขาเหนื่อยและนอนหลับไม่ดี จึงมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากทุกคนแต่งตัวเสร็จ และกำลังจะไปกินอาหารเช้าก็พบว่าเขายังไม่ได้ลุกจากที่นอน และได้ยินเขาบอกว่าเขาปวดขาซ้ายมาก ๆ ให้ทุกคนช่วยส่งเขาไปโรงพยาบาลหน่อย และในระหว่างทางไปโรงพยาบาล เขาก็เป็นลมหมดสติไปทันที หมอตรวจพบว่าเขาเป็นโรคหลอดเลือดดำอุดตันอโรคหลอดเลือดดำอุดตัน เกิดจากลิ่มเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดดำ อาการนี้พบมากในบริเวณขาซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดหรือบวมของขาข้างนั้น ๆ ตั้งแต่น่องจนมาถึงต้นขาได้ เพื่อน ๆ ของเขาฟังแล้วรู้สึกตกใจ จึงรีบถามหมอว่า เหตุใดเขาถึงได้เป็นโรคนี้ หมออธิบายว่า สาเหตุก็เพราะว่า เขานั่งนานเกินไป การนั่งนาน ๆ นั้นจะทำให้กล้ามเนื้อไม่ได้ขยับติดต่อกันเป็นเวลานานและเลือดไม่สามารถไหลเวียนออกจากขาขึ้นมาสู่หัวใจได้ ทำให้เส้นเลือดดำในขาและเท้าเกิดการอุดตัน นักศึกษาคนนี้ชื่อ เซียว เขาติดเล่นเกม นั่งเล่นแทบไม่ขยับไปไหน ทุกคืนต้องเล่นยันตีสองตีสาม ถึงจะยอมไปนอน ส่วนสาเหตุที่เขาเป็นลมหมดสติ หมออธิบายว่า การที่เขานั่งเล่นเกมนาน ๆ ทำให้เป็นโรคหลอดเลือดดำอุดตัน และมีอาการหายใจไม่ออก สุดท้ายก็เป็นลมหมดสติไป พอหมออธิบายเสร็จ เพื่อนคนหนึ่งที่พามาส่งก็ต้องตกกะใจว่า “ผมเองก็ติดเล่นเกมเช่นกัน หลังจากนี้ไปคงไม่กล้านั่งเล่นนาน ๆ แบบนี้อีกแล้วล่ะ ภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน เป็นภาวะที่เป็นอันตราย มันสามารถหลุดไปยังบริเวณปอด ทำให้เกิดภาวะ ลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด ซึ่งมีอันตรายถึงชีวิต อาการของลิ่มเลือดอุดตันในปอด คืออาการหายใจไม่สะดวกเฉียบพลัน แน่นหน้าอกและเจ็บหน้าอกเป็นต้น การนั่งอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ เช่นการเดินทางบนเครื่องบิน หรือบนรถ สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ หมออธิบายต่อว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคลิ่มเลือดอุดตันในปอด มี 90% เกิดจากภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน และมีผู้ป่วย 80% เป็นโรคลิ่มเลือดอุดตันในปอด โดยจะเริ่มจากไม่มีอาการอะไรเลย โดยประมาณ 25% ของโรคลิ่มเลือดอุดตันในปอด พบว่ามีการเสียชีวิตเฉียบพลันก่อนที่จะได้รับการวินิจฉัย ลิ่มเลือดอุดตันในปอด เป็นภาวะแทรกซ้อนที่ต้องระวังให้มากที่สุด เกิดจากลิ่มเลือดกระจายไปอุดตันที่เส้นเลือดในปอดซึ่งส่วนมากมาจากเส้นเลือดดำที่ขา ภาวะนี้อันตรายถึงชีวิต ถ้าไม่ได้รับการรักษา โชคดีที่เพื่อน ๆ ส่งตัว เซียว มาโรงพยาบาลทันเวลา หลังจากได้รับการรักษาเขาก็เริ่มฟื้นตัว พอรู้อาการของตัวเองเข้า เขาถึงกับต้องตะลึงจนพูดซ้ำ ๆ ว่า “แม่เจ้า เกือบไปแล้ว หลังจากนี้ไปผมคงไม่กล้านั่งนาน ๆ อีก และก็ไม่กล้าเล่นเกมดึกอีกแล้ว” หมอแนะนำว่า ไม่ว่าจะทำงานหรือเรียน ควรหาเวลาพักผ่อน และออกกำลังกายด้วย จะได้มีสุขภาพที่แข็งแรง แต่สำหรับคนที่ต้องนั่งนาน ๆ ควรลุกขึ้นยืนและเดินทุก ๆ 2 ชั่วโมง ดื่มน้ำมาก ๆ ไม่ควรนั่งนานเกินไปและไม่ควรให้ร่างกายขาดน้ำ เพราะจะทำให้เลือดอุดตันได้ นอกจากนี้แล้วการนั่งนาน ๆ อาจจะส่งผลทำให้เกิดโรคพวกนี้ได้ : 1. การนั่งนานเกินไปจะทำให้เจ็บสะโพก โดยมีอาการตึงและขยับไม่ค่อยได้ เนื่องจากกล้ามเนื้อหดและตึงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้การเคลื่อนไหวสะโพกลำบากนี่เองที่เป็นสาเหตุสำคัญ ทำให้ผู้สูงอายุ ล้มได้ง่าย 2. เมื่อร่างกายอยู่นิ่งเป็นเวลานาน ๆ เลือดและออกซิเจนจะไหลเวียนผ่านสมองน้อยลง ส่งผลให้สมองทำงานช้าลง คนที่นั่งนาน ๆ จึงรู้สึกสมองตื้อ เฉื่อยชา เหนื่อยล้านอนไม่หลับ ความจำเสื่อม 3. การนั่งนานเกินไปทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง ก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่นท้องผูก จุกแน่น แสบร้อนหน้าอก ท้องอืดหรืออาจทำให้น้ำ หนักตัวเพิ่มขึ้นได้ 4. การนั่งจะสร้างแรงกดที่กระดูกสันหลัง มากกว่าการยืน และสุขภาพแผ่นหลังจะยิ่งแย่ หากคุณนั่งหลังค่อมหน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ 5. การนั่งนาน ๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ เต้านม และเยื่อบุโพรงมดลูก แม้กระบวนการเกิดยังไม่ทราบแน่ชัด ซึ่งอาจเกิดจากตับอ่อนผลิตอินซูลินมากเกินไป และไปกระตุ้นให้เซลล์เจริญเติบโต แต่ข้อเท็จจริง ก็คือ การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ จะกระตุ้นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ให้คอยกำจัดอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดเซลล์มะเร็ง ขอบคุณ:‭http://www.liekr.com/post_159433.htmlา
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    แพทย์เตือนพ่อแม่และครูระวังเด็กป่วยโรคมือเท้าปากช่วงเปิดเทอม จริงหรือคะ
    นายแพทย์อัษฎางค์ รวยอาจิณ รองอธิบดีและโฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าจะมีการเปิดภาคเรียน ซึ่งสถานศึกษาอาจมีกิจกรรมรวมกันเป็นกลุ่มที่มีโอกาสใกล้ชิดกันมาก ประกอบกับในช่วงนี้เป็นฤดูฝน สภาพอากาศที่เย็นและชื้น ทำให้มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้ง่าย โดยสิ่งที่ผู้ปกครองและครูควรระมัดระวังนอกจากโรคโควิด-19 แล้ว ยังมีโรคมือ เท้า ปาก ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก ซึ่งมีแนวโน้มพบอัตราป่วยมากที่สุด ทั้งนี้ยังเผยว่าตั้งแต่ต้นปีมีเด็กป่วยแล้ว 6,202 ราย จริงหรือคะ
    anonymous
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false