1 คนสงสัย
น้ำตาล” เป็นพิษอย่างเลวร้ายสําหรับมนุษย์ ..และมันถูกกฎหมาย
🐥#“น้ำตาล” เป็นพิษอย่างเลวร้ายสําหรับมนุษย์ ..และมันถูกกฎหมาย..!!🍎

น้ำตาลไม่เคยถูกแบน เพราะมันเป็นธุรกิจที่ร่วมมือกับอุตสาหกรรม

น้ำตาล คือ ความหิวโหยของเซลล์มะเร็ง

▫️แนวคิดใหม่ของการรักษา คือ..การงดเว้นน้ำตาล เข้าสู่ร่างกาย ทำให้เซลล์มะเร็งฝ่อ และ ค่อยๆ ตาย..!!

น้ำตาลเป็นอาหารของเซลล์มะเร็งทั้งหลาย

📚 ดร. Raymond Francis
เขียนหนังสือที่น่าทึ่ง จำนวนสามเล่ม:

(1) 🌿 ไม่เคยป่วย
(2) 🌿 อย่ากลัวมะเร็ง
(3) 🌿 อย่าอ้วนอีก

▫️ดร.เรย์มอนด์ เขียนหนังสือเหล่านี้ หลังจากมีประสบการณ์กับมะเร็ง ที่แพทย์หมดหวังกับเขาเมื่อตอนอายุ 45 ปี

วันนี้เขาอายุ 75 แล้ว และ..
ไม่เคยเจ็บป่วยเลยในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ยกเว้นเป็นหวัดเพียงครั้งเดียว

▫️กุญแจสําคัญที่ Dr. Raymond พูดในหนังสือสามเล่มของเขาคือ :

#“อยู่ห่างจากน้ำตาลตลอดไป”

นอกจากการออกกําลังกายที่ดีแล้ว เราต้องควบคุมอาหารที่ร่างกายต้องการ

▫️หมอบอกว่า:
🌿น้ำตาลเป็นสาเหตุของ ไข้หวัด ทั้งปวง
🌿การกินน้ำตาลหนึ่งช้อน
จะลดภูมิคุ้มกันของร่างกายลง 50%
🌿การดื่มโคคาโคล่าหนึ่งกระป๋อง ลดภูมิคุ้มกันลง 10% เป็นเวลา 10 ชั่วโมง
🌿น้ำตาลทําให้เกิดโรค อัลไซเมอร์
🌿นำ้ตาลเป็นอาหารของ เซลล์มะเร็ง
🌿น้ำตาลเป็นสาเหตุของ โรคหัวใจทั้งหมด
🌿น้ำตาลเป็นสาเหตุของ ความอ้วน บวมฉุ
🌿น้ำตาลเป็นสาเหตุของ การกักเก็บไขมัน
🌿ทุกโรคที่เกิดกับมนุษย์ มีน้ำตาลเป็นพระเอก

▫️หมอบอกว่า:
พ่อแม่ ไม่ยอมให้ลูก สูบบุหรี่ หรือ ดื่มสุรา แต่ซื้อขนมหวานที่อันตรายกว่ามาให้บริโภค

🔸ข้อมูลที่เป็นประโยชน์:

🌿โยเกิร์ต เป็นแหล่งแคลเซียมสูงสุด เนื่องจากมีแคลเซียม 450 มก. ต่อแก้ว ดังนั้น จงกินโยเกิร์ตเป็นอาหารทุกวัน❤

🌿มิ้นท์ สะระแหน่ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและบำรุงหัวใจ ให้ทานเป็นประจํา ช่วยผ่อนคลายแก๊ส ทําให้ตับแข็งแรง แก้ไอ บำรุงประสาท และลดความโกรธ ช่วยอาการนอนไม่หลับและขับปัสสาวะ และช่วยย่อยอาหารได้ดี

🌿น้ำอัดลม เป็นสาเหตุ โรคกระดูกพรุน หัวใจและไต โรคอ้วน เบาหวาน ฟันผุ

🌿เครื่องดื่มชูกําลังเป็นอันตรายต่อเด็ก ทําให้หัวใจเต้นเร็ว ตะคริว ลิ่มเลือดอุดตัน

🌿ชาเขียว มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สามารถปกป้องคุณจากมะเร็งได้

🌿แซลมอน แอปเปิ้ล องุ่น เชอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ผักโขม เป็นอาหารที่ช่วยเซลล์ประสาท และเสริมสร้างความจํา

🌿ความผิดพลาดที่พบบ่อย คือการบอกว่า ดื่มน้ำระหว่างอาหารทําให้ย่อยอาหารยาก จริงๆ แล้วน้ำ ไม่ทําให้ท้องอืด แต่ ช่วยในการย่อยอาหารด้วย

🌿คุณควรดื่มน้ําสักแก้วเมื่อตื่นนอน เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำตอนหลับ และช่วยชะล้างสารพิษในร่างกาย

🌿เดินวันละ 20 นาที 3 วันต่อสัปดาห์ ปกป้องคุณจาก โรคหัวใจ เบาหวาน โรคซึมเศร้า ความดัน คอเลสเตอรอล

🌿กระเทียม ช่วยลดโอกาสการเกิดมะเร็ง เพราะมันสามารถเสริมระบบภูมิคุ้มกัน

🌿ขิงทานร้อนๆ ตอนบ่าย ช่วยผลาญไขมัน และขับสารพิษออกจากร่างกาย

Cr: Florentin Patriotaseven
Mrs.Doubt
 •  2 ปีที่แล้ว
meter: mostly-true--last
3 ความเห็น

มะเร็งยาสมุนไพรลดความอ้วนผู้บริโภคเฝ้าระวัง

Mrs.Doubt เลือกให้ข้อความนี้✅ มีเนื้อหาที่เป็นจริงทั้งหมด

เหตุผล

น้ำตาล(ไม่)เลวร้าย แต่มากไป...เสี่ยงโรค

ที่มา

https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2707739
Thanathun. เลือกให้ข้อความนี้◑ มีเนื้อหาที่เป็นจริงบางส่วน

เหตุผล

ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ตรวจสอบกับ ผศ.ดร.ปรัญรัชต์ ธนวิยุทธ์ภัคดี อาจารย์หลักสูตรพิษวิทยาและโภชนาการเพื่ออาหารปลอดภัย สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมห

ที่มา

https://youtu.be/tO_ijuzdigM
  • มี 1 ความเห็น เจ้าของลบไปแล้ว.
  • เพิ่มความเห็นใหม่

    กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

    คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 1 คนสงสัย
    ท่านทูตสแกนดิเนเวีย นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ เดนมาร์ก วิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อน ประเทศไทย และบทสรุป
    ท่านทูตสแกนดิเนเวีย นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ เดนมาร์ก วิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อน ประเทศไทย และบทสรุป จุดแข็งประเทศไทย 1. ตั้งอยู่ใจกลางโลก รอบข้างมีประเทศประชากรมาก อินเดีย จีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฟิลิปินส์ เวียดนาม เกาหลี ตลาดใหญ่ 2. พื้นที่เป็นแหลมระหว่างมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก เป็นแหล่งอาหาร ติดต่อกับทุกประเทศสะดวก 3. แผ่นดินสมบูรณ์ด้วยพืชพันธ์ุธัญญาหาร ทรัพยากรธรรมชาติหลากหลาย ป่าไม้ แหล่งน้ำน้ำจืด ทะเล ในป่า บ้าน สวน เต็มไปด้วยพืชอาหาร พืชสมุนไพร เป็นทั้งครัว คลังยาโลก 4. ใต้ผืนดินมีแร่ธาตุนานาชนิด แหล่งน้ำมันดิบ แก๊สธรรมชาติ มากกว่ากลุ่มโอเป็กหลายประเทศ 5. มีภูมิปัญญาการใช้สมุนไพรสืบทอดจากบรรพชน สามารถวิจัยพัฒนาต่อยอดเป็นยาสมุนไพรมีมาตรฐานในการรักษาโรค ส่งเป็นสินค้าออกได้ 6. มีธรรมชาติสวยงาม หาดทรายสองฝั่งทะเล น้ำตก ถ้ำ เพิงผา ป่าไม้ ภูเขา อ่าว แหลม แหล่งท่องเที่ยวที่ดีมาก 7. อยู่ในเขตร้อน ผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ใช้ไม่หมด มีลมบก ลมทะเล ที่แปลงเป็นไฟฟ้าได้ 8. ตั้งอยู่ในเขตไม่เสี่ยงภัยธรรมชาติรุนแรง ห่างศูนย์กลางแผ่นดินไหว ไม่มีภูเขาไฟคุกกรุ่น ลมพายุรุนแรง 9. มีพุทธศาสนา ที่คำสอนสมบูรณ์ 10. คนไทยจิตใจดี ยิ้มแย้ม มีน้ำใจ ฉลาด เรียนรู้เร็ว พัฒนาง่าย 👉 จุดแข็ง 10 ข้อ ไทยเป็นสวรรค์บนดิน ใครได้เกิดประเทศนี้ ถือว่าโชคดี 👉 คนไทยควรมีความสุข สุขภาพดี ฐานะมั่งคั่ง ⚠️ ความเป็นจริงตรงกันข้าม ❌ จุดอ่อนประเทศไทย ❎ คนไทยไม่กี่ตระกูลเป็น 🎠 1. ขุนทหาร 🚔 2. ข้าราชการผู้ใหญ่ 🎭 3. นักการเมืองใหญ่ 💰 4. นายทุนระดับชาติ เท่านั้นที่ร่ำรวย เสพสุขบนกองทุกข์ประชาชน ราวเทพยดาเดินดิน 😢 คนส่วนใหญ่อยู่ในขุมนรกความยากจน นับวันยิ่งจน หนี้พอกพูนรุนแรง 🌳 ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลาย ป่าไม้เป็นป่าเสื่อมโทรม พื้นที่เกษตร แม่น้ำลำธาร เต็มด้วยสารพิษทางการเกษตร สัตว์น้ำลดลง การขยายพันธ์ุสัตว์น้ำลดลง แหล่งอาหารธรรมชาติลดลง ต้องซื้ออาหารจากตลาดราคาแพง 🏥 คนป่วยมะเร็งมาก จากสารเคมีปนเปื้อนในพืชผัก อาหาร น้ำ โรคไต เบาหวาน หัวใจ ความดันโลหิต อ้วน จากขาดสภาพแวดล้อมและการดำเนินชีวิตที่เหมาะสม คนป่วยล้นโรงพยาบาล ทุกขเวทนาจากการเจ็บไข้ได้ป่วย ⚰ ไม่ปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน คนชั่วไม่เกรงกลัวกฏหมาย ยาเสพติด อาชญากรรม เต็มเมือง คนธรรมดาไม่ปลอดภัย 💲 ทุจริต คอรัปชั่น เพิ่มทวี ยักษ์ใหญ่โกงใหญ่ ยักษ์เล็กโกงเล็ก โกงตามที่มีแรงโกง มือใครยาว สาวได้ สาวเอา ชนชั้นนำตั้งแต่ 2500 ใช้ รัฐศาสตร์มาร ปกครองบ้านเมืองแบบ ฉ้อฉล หลอกลวง คดในข้อ งอในกระดูก ทำให้ประชาชนอ่อนแอ อยู่ในวงจรอุบาทว์ โง่ เลว จน เจ็บ ทำให้ปกครองอย่างเอารัด เอาเปรียบ คดโกง สะดวก ง่าย ข้อคิดน่าวิเคราะห์ของสังคมไทย ความเหลื่อมล้ำ ความยากจน หนี้สิน โรคภัยไข้เจ็บ เติบโต ขยายใหญ่ ลุกลาม ทวีความรุนแรง จากโครงสร้างการปกครองชั่วร้าย รวบอำนาจ ไม่มีระบบถ่วงดุลอำนาจดีพอ ผู้ปกครอง ทำ ไม่ทำอะไรก็ได้ ผู้ปกครองขัดขวางการแก้ไขปัญหา เร่งปัญหา ปัญหาขยายใหญ่ขึ้น มากขึ้น ↗️ ทำให้ประชาชนโง่ การศึกษาทำให้เด็กไม่รักการอ่าน ไม่ชอบคิด หาเหตุผล ไม่สอนปรัชญาประชาธิปไตย ประวัติศาตร์ วีรชนสามัญชน การเอาตัวรอดในระบบทุนนิยม การรวมตัวกันต่อสู้ปัญหาเศรษฐกิจ ↙️ ทำให้ประชาชนเลว เน้นที่ปัญญาชน คนชั้นกลาง โดยการศึกษา ⬅️ ไม่ฝึกการมีวินัย ⬅️ ไม่ปลูกฝังความรู้ทางศาสนา คนไม่คิดพัฒนาจิตใจ ความเป็นมนุษย์ ⬅️ ไม่ปลูกฝังจิตสำนึกรักชาติให้ปัญญาชน กีดกันการแสดงออกทางการเมืองของนักศึกษา ปัญญาชน ทำให้ปัญญาชนเห็นแก่ตัว ⬅️ เพื่อให้ปัญญาชนคนรุ่นใหม่คิดแต่ประโยชน์ส่วนตน ตัวใครตัวมัน ไม่เห็นใจคนยากจน ไร้จิตสำนึกความเป็นมนุษย์ที่ต้องเอื้อเฟื่อเผื่อแผ่ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้ด้อยกว่า 🚸 ไม่มีใครขวางการทุจริต การทำลายชาติของชนชั้นบน ⛔ ใครพูดการเมือง ปัญหาชาติ บ้านเมือง ชนชั้นกลางก็ต่อต้านไม่ให้พูด ปกป้องคอรัปชั่น ปกป้องคนทำลายชาติ 🚷 ทำให้ประชาชนจน ออกกฎหมายกีดกัน สร้างความเหลื่อมล้ำในการประกอบอาชีพ กฎหมายการเงินการธนาคาร การผลิตที่ไม่เท่าเทียม ออกนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรม 🚫 เลิกสนับสนุนเกษตร งดสนับสนุนวิทยาลัยเกษตร ไม่สนับสนุนการวิจัยข้าว ยาง อ้อย พืชสวน ⬇️ ปล่อยให้บุกรุกทำลายป่าไม้ แหล่งน้ำ แหล่งอาหาร และสมุนไพร ↘️ สนับสนุนปุ๋ย เคมีฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง ทำลายสัตว์น้ำธรรมชาติ ทำลายดิน ทำให้น้ำปนเปื้อนสารพิษ ✔ เกษตรกรล้าหลัง แข่งขันไม่ได้ เป็นเบี้ยล่างนายทุนยา ปุ๋ย พันธ์ุพืชสัตว์ เครื่องจักรกกล ✔ เกษตรกรต้องทิ้งลูกเมีย ไร่นา ไปเป็นกรรมกร ✔ อ้างส่งเสริมอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว ละเลยเกษตร อาชีพคนส่วนใหญ่ ❌ สามัญชน 66 ล้านคนไทย ไม่มีใครมีศักยภาพครอบครองเทคโนโลยีสูง เป็นเจ้าของสถานที่ท่องเที่ยว เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูง เป็นแต่ลูกจ้าง ทาสนายทุน ประชาชนจะมีรายได้สูง ตามที่ว่า เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เป็นไทยแลนด์ 4.0 ได้อย่างไร ✖ ทำให้ประชาชนเจ็บ ⚰ เว้นภาษีนำเข้ายาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า อ้างว่าช่วยเหลือเกษตรกรให้ซื้อได้ถูก ทำให้นายทุนยาพิษรวย ยาเหล่านี้ปนเปื้อนในดิน น้ำ อากาศ ทำให้ปลา สัตว์น้ำธรรมชาติสูญพันธุ์ คนไทยได้รับยาผ่านอาหาร สัมผัสโดยตรง เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยมะเร็ง โรคสารพัด ธุรกิจความตายเติบโต สูบเงินคนไทย 🎭 หลายคนไม่ทราบว่าสารพิษเคมีเกษตร ปลอดภาษีมูลค่าเพิ่ม ↗️ แต่จุลลินทรีย์ชีวภาพกำจัดแมลงที่ปลอดภัย คนไทยทำได้เอง ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (ความคดในข้อ ของกฎหมายออกโดยคนชั้นสูง) 🚫 เพื่อกีดกันด้านการค้า ชะลอเทคโลโลยีอินทรีย์ปลอดภัยผลิตได้เอง 🔜 บทสรุป 🔚 1. ชนชั้นนำไทย พยายามทำลายไทย เพื่อประโยชน์ตน โคตรตระกูล 2. ชนชั้นกลางไร้ความรับผิดชอบบ้านเมือง เห็นแก่ความสุขสงบของตน มองการต่อต้านความอยุติธรรมการปกครอง เป็นความวุ่นวาย ต่อต้านการต่อสู้ประชาชน แทนที่ร่วมสู้กับประชาชน 🔜รอวันล่มสลาย!!! Cr:Line KWM
    Mrs.Doubt
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    จริงหรือไม่? "ดื่มน้ำอัดลมมาก เสี่ยงฟันผุ"
    จริงหรือไม่? "ดื่มน้ำอัดลมมาก เสี่ยงฟันผุ" กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้เตือนคนไทยดื่มน้ำอัดลมมาก จะส่งผลต่อสุขภาพช่องปาก เป็นต้นเหตุของการเกิดฟันสึกกร่อนมากที่สุด และเสี่ยงเกิดโรคฟันผุและโรคอ้วนตามมาได้ แนะนำควรดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน ดีที่สุด พร้อมแปรงฟันด้วยสูตร 2-2-2 เพื่อสร้างสุขภาพช่องปากที่ดี นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำจะส่งผลเสียต่อร่างกาย ได้แก่ ฟันสึกกร่อน ฟันผุ อ้วน กระดูกพรุน และกระดูกเปราะ เนื่องจากน้ำหวานชนิดอัดลมมีกรดคาร์บอนิกค่อนข้างมาก ซึ่งสารดังกล่าวจะกีดขวางการดูดซึมแคลเซียมของกระดูก และยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ เพราะร่างกายจะหลั่งสารอินซูลินออกมามากเกินจำเป็น ซึ่งในระยะยาวร่างกายจะผลิตอินซูลินได้น้อยลง จนทำให้ร่างกายเกิดโรคเบาหวานโดยไม่รู้ตัว ซึ่งน้ำอัดลม 1 กระป๋อง (ขนาด 325 ซีซี) มีปริมาณน้ำตาล 8-12 ช้อนชา จะเท่ากับน้ำตาลในลูกอม จำนวน 17 เม็ด หากกินรวมกันหลายอย่างอาจทำให้ได้รับน้ำตาลมากเกินความต้องการของร่างกาย และเกินมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนดว่าร่างกายควรได้รับน้ำตาลไม่เกิน 24 กรัมต่อวัน หรือปริมาณ 6 ช้อนชา นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า น้ำอัดลมยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดฟันสึกกร่อนได้มากที่สุด เพราะนอกจากน้ำอัดลมจะมีกรดคาร์บอนิกแล้ว ยังมีส่วนประกอบคือน้ำตาลกับน้ำ หากไม่มีการทำความสะอาดช่องปากและฟันจะก่อให้เกิดฟันผุได้ จากผลการสำรวจสภาวะทันตสุขภาพประเทศไทยครั้งที่ 8 พ.ศ. 2560 พบว่า เด็กเล็กอายุ 5 ปี มีฟันน้ำนมผุร้อยละ 75.6 เด็กวัยเรียนอายุ 12 ปี มีฟันแท้ผุ ร้อยละ 52.0 และกลุ่มอายุ 15 ปี มีฟันแท้ผุ ร้อยละ 62.7 สาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการดูแลอนามัยช่องปาก และพฤติกรรมการบริโภคของเด็กที่นิยมกินอาหารหรือขนมที่หาซื้อได้ง่าย เช่น น้ำอัดลม ขนมกรุบกรอบ นอกจากจะทำให้เกิดปัญหาฟันผุแล้ว ยังก่อให้เกิดความเจ็บปวด การติดเชื้อและสร้างปัญหาการบดเคี้ยวอาหาร มีผลต่อน้ำหนัก การเจริญเติบโตและบุคลิกภาพ รวมถึงมีผลกระทบต่อการเรียนด้วย ที่สำคัญ ปัญหาฟันผุยังนำไปสู่การสูญเสียฟันที่เริ่มต้นในวัยเด็กและสะสมจนกลายเป็นการสูญเสียฟันทั้งปากจนไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้ในวัยสูงอายุ ทั้งนี้ เครื่องดื่มที่ดีที่สุดและเหมาะสมกับร่างกายก็คือน้ำเปล่า เพราะในน้ำเปล่ามีส่วนช่วยให้ร่างกายสดชื่น เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ปรับสมดุลของร่างกาย ช่วยชะลอความแก่ เพิ่มความชุ่มชื่นแก่ผิว ช่วยให้ระบบย่อยในกระเพาะอาหารทำงานได้ดีขึ้น ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ไตแข็งแรง โดยใน 1 วัน ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อสุขภาพที่ดีและควรหลีกเลี่ยงอาหารชนิดอื่น ๆ ที่มีการเติมน้ำตาลอีกด้วย เช่น ขนมหวาน ลูกกวาด เพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับน้ำตาลในแต่ละวันเกินจำเป็นจนก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้ นอกจากนี้ ควรแปรงฟันให้สะอาดทั่วถึงทั้งในตอนเช้า หลังอาหารกลางวัน และก่อนนอน ด้วยสูตร 2 2 2 คือ แปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ให้ทั่วทุกซี่ทุกด้านนานอย่างน้อย 2 นาที แปรงอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน และไม่ควรกินอาหารหลังแปรงฟันอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพื่อให้เวลาช่องปากสะอาดนานที่สุด และยังเป็นการป้องกันโรคฟันผุในระยะยาวอีกด้วย ข้อมูล : ณ วันที่ 18 มิถุนายน 2564 ที่มา : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เครือข่าย : มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
    อีสานโคแฟค
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    อย. เตือน ผลิตภัณฑ์ Efferin โฆษณาอวดอ้างสรรพคุณเกินจริงกับข้อมูลทางการแพทย์ที่เป็นเท็จ
    พบการโฆษณาผลิตภัณฑ์ Efferin (เอฟเฟอร์ริน) ทางสื่อออนไลน์ โดยระบุสรรพคุณ “กระตุ้นการเผาผลาญได้อย่างดีเยี่ยม...ส่งเสริมการกำจัดไขมันขั้นสุด...กระตุ้นเนื้อเยื่อไขมันสีน้ำตาล... ช่วยลดคลอเรสเตอรอลในเลือด ช่วยสลายและใช้งานไขมัน กำจัดไขมันส่วนเกินจากกระแสเลือด ทำให้เนื้อเยื่อไขมันลดลง... มีประสิทธิภาพในการต้านภาวะซึมเศร้า… ช่วยให้การทำงานของตับดีขึ้น” เป็นต้น ทั้งยังมีการสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับแพทย์หญิงชื่อดังชาวไทยถูกไล่ออกจากประเทศชั้นนำ เนื่องจากปฏิเสธที่จะขายผลิตภัณฑ์เผาผลาญไขมันสูตรพิเศษให้แก่บริษัทยาในประเทศนั้น จึงได้กลับประเทศไทยและร่วมกับผู้ทรงอิทธิพลผลิตผลิตภัณฑ์เอฟเฟอร์รินขายเฉพาะในประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า เป็นข้อมูลลวง โดยผลิตภัณฑ์ Efferin ขออนุญาตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในชื่อ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เอฟเฟอร์ริน / Efferin Dietary Supplement Product เลขสารบบอาหาร 10-1-03958-5-0272 โฆษณาดังกล่าวแสดงข้อมูลทางการแพทย์ที่เป็นเท็จ และแสดงคุณประโยชน์หรือสรรพคุณของอาหารที่ไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากในการยื่นขออนุญาตไม่มีการยื่นข้อมูลเพื่อประเมินประสิทธิผลตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด อีกทั้งผลิตภัณฑ์อาหารไม่มีผลในการบำบัด บรรเทา หรือรักษาโรค นอกจากนี้ยังพบมีการแอบอ้างชื่อบุคลากรทางการแพทย์ในตำแหน่ง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการวิจัยด้านเทคโนโลยีชีวภาพต่อมไร้ท่อเป็นผู้คิดค้นผลิตภัณฑ์ดังกล่าวและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคเบาหวานและนักโภชนาการเป็นผู้รับรองผลิตภัณฑ์แต่แท้จริงแล้วนั้น ไม่มีตำแหน่งดังกล่าวตามที่กล่าวอ้าง และภาพหญิง-ชายที่อ้างว่าเป็นผู้คิดค้นและรับรองผลิตภัณฑ์นั้น เป็นภาพหญิง-ชายที่เผยแพร่ทั่วไปอยู่บนอินเทอร์เน็ตอยู่แล้ว ฉะนั้นผู้บริโภคโปรดระมัดระวังอย่าหลงเชื่อผลิตภัณฑ์ที่โอ้อวดสรรพคุณเกินจริง หรือสร้างเรื่องราวดึงดูดความสนใจที่เป็นไปไม่ได้ หากมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวควรปรับพฤติกรรมการบริโภค ควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ไม่ควรหลงเชื่อซื้อผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาโอ้อวดเกินจริงทางสื่อออนไลน์ เพราะอาจมีสารที่เป็นอันตราย มีผลข้างเคียงรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากผู้บริโภคพบเห็นเบาะแสการโฆษณา การผลิต / จำหน่ายผลิตภัณฑ์ลดความอ้วนผิดกฎหมาย ขอให้แจ้งมาที่สายด่วน อย. 1556 หรือ Oryor Smart Application หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ
    std47993
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    การนอนดึกเป็นการตั้งใจทำร้ายตนเอง อย่างร้ายแรงที่สุด(ถึงกับทำให้เป็นมะเร็งได้ จริงหรือ
    🙋‍♀️อดีตนอนดึกมาตลอด ปัจจุบันนอนไม่เกิน 4 ทุ่มครึ่ง อย่าให้สายเกินแก้ รีบปฎิบัติด่วน ❤️ด้วยรักและหวังดีอย่างจริงใจครับ ● บ้านไหนมีคน นอนดึก จำเป็นต้องอ่านบทความนี้นะครับ ● เพราะอะไร ? เพราะการนอนดึกๆ ทำให้ "อวัยวะสำคัญๆ" ของร่างกาย เช่น สมอง หัวใจ หลอดเลือด ต่อมไร้ท่อ เช่น ต่อมไธรอยด์ และภูมิคุ้มกันร่างกายเสียหาย จึงเป็นเรื่องที่ต้องไม่ประมาท มาฟังหมอด้านเวชศาสตร์ชลอวัย อธิบายให้เข้าใจกัน 🔷️ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เล่าให้ฟังถึง ● ผลเสียของการนอนดึก ▪️ใครที่นอนเกิน 5 ทุ่มครื่ง จะมีผลทำให้ 5 อวัยวะหลักเสื่อมโทรมเร็วขึ้น ทั้ง 1▪️ สมอง 2▪️ หัวใจ 3▪️ หลอดเลือด 4▪️ ต่อมไร้ท่อ เช่น ต่อมไธรอยด์ และ 5 ▪️ ภูมิคุ้มกันร่างกาย 🔷️ แต่ถ้าปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตมาเป็นคนนอนเร็วขึ้น ตั้งแต่ 4 ทุ่มไม่เกิน 5 ทุ่มครึ่งซึ่งเป็นนาทีทองของการนอน ก็จะช่วยให้มีสุขภาพดีขึ้นถึง 10 ประการ ดังนี้ :- 1. สมองสร้างเคมีสุข อย่างที่รู้ว่า สมองเป็นหัวเรือใหญ่ในการแจกงานให้อวัยวะต่างๆ แม้แต่เวลานอนก็ยังมอบรางวัลให้ร่างกาย ทั้ง ▪️ เคมีนิทรา (เมลาโทนิน) ▪️ เคมีสุข (ซีโรโทนิน) ▪️และฮอร์โมนเพศ ▪️แถมยังมีเคมีบำรุงร่างกายออกมา ช่วยควบคุมระบบในตัวเราให้ทำงานราบรื่น ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น สร้างเกราะป้องกันอาการป่วยเจ็บได้ด้วย 2. สร้างเคมีหนุ่มสาวปกติแล้ว เคมีหนุ่มสาวที่เรียกว่า โกรทฮอร์โมน จะค่อย ๆ ลดลงตามวัย รวมทั้งการนอนดึกก็ทำให้โกรทฮอร์โมนน้อยลงไปด้วย ☆แต่ถ้าเราเข้านอนเร็ว สักราว 4 ทุ่ม ไม่เกิน 5 ทุ่มครึ่ง ☆สมองจะช่วยผลิตโกรทฮอร์โมนธรรมชาติให้ ☆สรุปว่ายิ่งเราหลับไว หลับสนิท ☆ เราก็ยิ่งดูอ่อนเยาว์ ☆เพราะโกรทฮอร์โมน จะหลั่งในช่วงเวลา 00.00-01.30 น. รวมเวลา 1 ชม.ครึ่งเท่านั้น ซึ่งจะช่วยซ่อมเสริมภูมิต้านทานโรค ให้มีพลังร่างกายที่มีความสมบูรณ์มากขึ้น 3. ความจำดีขึ้น การศึกษาจากสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (APA) ระบุว่า ☆คนที่นอนหลับได้ในช่วง 4 ทุ่ม ถึง 5 ทุ่ม ปรากฏผลงานวิจัยติดตาม พบว่า ☆ มีผลต่อความจำ ความมีสมาธิ อย่างมีนัยสำคัญ ☆และ ลดอุบัติเหตุลงได้มากขึ้น ☆นั่นก็เพราะเวลาเรานอน สมองจะมีกลไกช่วยจัดระเบียบ คล้ายกับการแยกอีเมลขยะออกไป ☆แต่ถ้าเราอดนอน เราจะรู้สึกมึน ลืมง่าย หรือ ไม่ก็ลิ้นพันกัน คิดอย่างพูดอย่าง หรือ อาจเผลอเรอได้ง่ายๆ ดังนั้น ต้องนอนให้เต็มอิ่ม จะได้เป็นการชาร์จแบตให้สมอง พร้อมรับความจำใหม่ๆ ได้ดี 4. คุมความดันโลหิตได้ การนอนหลับเร็ว ☆จะช่วยให้ระบบประสาทอัตโนมัติทั้งหลาย และกลไกทางชีวิวิทยา ที่เป็นเหมือนฟันเฟืองขนาดจิ๋ว ที่ทำงานซับซ้อน ☆ช่วยควบคุมหัวใจ และความดันโลหิตให้สงบลง ไม่แกว่งขึ้นลงง่ายเหมือนกับตอนตื่นนอน 5. ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนสึกหรอ คนก็เหมือนเครื่องยนต์ ทำงานมาหนัก ก็ต้องหยุดพักบ้างจริงไหม ☆ซึ่งการนอนก็เหมือนเข้าอู่ซ่อมรถ ช่วยซ่อมแซมร่างกายที่สึกหรอ ☆ช่วยให้สมองได้พักผ่อน ☆กล้ามเนื้อคลายตัว ☆หัวใจสงบขึ้น ☆ความดันลดลง โดยเฉพาะ ☆ถ้าหลับลึกได้ในช่วง 00.00 - 01.30 น. ในแต่ละคืน สุขภาพย่อมแข็งแรง เสมือนย้อนไปในช่วงที่อยู่ในวัยเบญจเพศได้ 6. ลดความเสี่ยงโรคอ้วน ☆ถ้าเรานอนเร็ว จะทำให้เราไม่หิวกลางดึก อันเป็นต้นเหตุที่ทำให้อ้วน ☆นอกจากนั้น ยังมีกลไกดับหิวด้วยการสร้างเคมีดับหิวขึ้นมา ทำให้การนอนเร็วช่วยคุมน้ำหนักตัวได้ดีกว่า ☆อีกทั้งยังกระตุ้นเตาเผาในร่างกาย ให้ทำงานได้ดี ☆ ช่วยให้ไม่อ้วนง่าย ไม่สร้างเคมีเก็บไขมันมากด้วย 7. มีความสุขง่ายขึ้น ☆ยิ่งอดนอนมาก สมองของเราก็ยิ่งอึมครึม ทำให้ขาดสมาธิ ความจำก็ไม่ดี อะไรมากระทบนิดกระทบหน่อย ก็หงุดหงิดอา รมณ์เสียแล้ว แล้วจะมีความสุขได้อย่างไรล่ะ ☆ แต่ถ้าเราลองนอนให้เร็วขึ้น เราจะได้นอนอย่างเต็มอิ่ม ร่างกายและสมองได้พักผ่อน ความจำดี มีสมาธิ มองอะไรก็มีความสุขได้ง่ายขึ้นจริง ๆ นะ 8. ได้ล้างพิษ เวลาที่เรานอน จะเป็นช่วงเวลาที่อวัยวะอย่าง ตับ ไต ลำไส้ ซึ่งเป็นอวัยวะที่ช่วยล้างพิษทำงานได้ดีขึ้น ลองสังเกตดูสิ ถ้าใครชอบอดนอน หรือ นอนดึก นอกจากหน้าตาดูหม่นหมองแล้ว ยังมีปัญหาท้องผูกด้วย นั่นเพราะส่วนหนึ่งของพิษมาจากการนอนดึก เพราะฉะนั้นสาวๆ ที่ชอบปวดรอบเดือนบ่อย ๆ ให้แก้ไขด้วยการนอนให้เร็วขึ้น จะช่วยคุมเคมีปวดได้มากขึ้น 9. ไม่เสี่ยงโรคกำเริบ เครื่องยนต์ที่ทำงานเกินเวลา ก็เสียได้ นับประสาอะไรกับมนุษย์ที่ไม่ยอมพักผ่อน ไม่ยอมหลับยอมนอน ☆ความเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย ก็อาจทำให้โรคที่พกอยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ พากันแผลงฤทธิ์ขึ้นได้ ☆โดยเฉพาะโรคหัวใจ ☆โรคหลอดเลือดสมอง ☆ความดันสูง ☆ เบาหวาน ☆ ภูมิแพ้ ☆โรคเครียด ☆โรคซึมเศร้า ☆ และโรคมะเร็ง เป็นต้น 10. ช่วยป้องกันการแก่ให้ช้าลง ☆ไม่อยากแก่ รีบชวนกันนอนตั้งแต่ 4 ทุ่ม หรือ สูงสุด ไม่เกิน 5 ทุ่มครึ่ง ☆ เพราะ การนอนไม่ดึกมาก จะช่วยเสริมสร้างความเป็นหนุ่มสาว ☆ และช่วยให้หลับสนิทได้ง่ายขึ้น ☆ ไม่ทำร้ายร่างกายให้แก่ก่อนวัยอันควร ☆เพราะ จะช่วยป้องกันความเสื่อมชราให้ช้าลงได้ด้วย . 🔷️อยากมีสุขภาพที่ดีในระยะยาวอย่างยั่งยืน ต้องเปลี่ยนที่พฤติกรรม ฝึกให้เป็น นิสัย 🔷️ทานอาหารที่เป็นประโยชน์ 🔷️ ออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ ▪️ จะทำให้เรามีภูมิต้านทานที่ดี หลายๆ คนบอกรู้แต่บางครั้งก็ยังทำไม่ได้ มาลองจัดระเบียบชีวิตกัน (บอกตัวเองด้วย ^^) เพราะไม่มีใครสามารถให้ สุขภาพ ที่ดีกับเราได้ ยกเว้นเราต้องทำให้ตัวเอง และร่างกายคือบ้านที่เราต้องรักษาเพื่อดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นสุข การป้องกันดีกว่าการซ่อมแซม เราคงไม่อยากเอาเงินที่หามาได้ไปแลกกับความเจ็บป่วยและค่ารักษาพยาบาลที่แพงขึ้นทุกวัน . ด้วยรักและปรารถนาดี ❤️ ❤️
    Mrs.Doubt
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    เคล็ดลับกินกล้วยน้ำว้าห่าม คุณประโยชน์ป้องกันโรค 12 ชนิด จากประสบการณ์จริงของ ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ ประธานคณะกรรมการการสาธารณสุข และอนุกรรมการงบประมาณด้านสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร ผู้เชี่ยวชาญการดูแลสุขภาพด้วยกล้วยน้ำว้ามานานกว่า 20 ปี เพราะการกินกล้วยน้ำว่าห่ามนี้เอง แม้วันนี้จะอายุ 66 แต่ร่างกายแข็งแรงดีเยี่ยม เหมือนคนหนุ่มวัย 30 ดร.นพ.พรเทพ เล่าจากประสบการณ์จริงถึงประโยชน์ของกล้วยน้ำว้าว่า เริ่มกินกล้วยน้ำว้าตั้งแต่ปี 2539 หลังกลับจากอังกฤษ ณ ตอนนั้นมีปัญหาสุขภาพเรื่องโรคกระเพาะอาหาร และโรคกรดไหลย้อน ได้ฟังสรรพคุณของกล้วยน้ำว้าจากคนปลูกกล้วยเวลาไปเล่นเทนนิสทุกวันอาทิตย์ที่กระทรวงสาธารณสุข จึงลองกินกล้วยน้ำว้าห่ามทุกวันๆ ละ 4 ลูก แบ่งกินเช้า 2 ผล เย็น 2 ผล ไม่นานก็หายป่วยปลิดทิ้ง เพราะกล้วยน้ำว้าห่ามมีสารช่วยสมานแผล ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้อย่างดี จากนั้น ดร.นพ.พรเทพ ก็กินกล้วยน้ำว้าเป็นประจำจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 20 ปี ได้รับคุณประโยชน์จากกล้วยน้ำว้าอย่างล้นหลามและน่าอัศจรรย์ เพราะกล้วยน้ำว้าอุดมไปด้วยกรดอมิโน อาร์จีนิน ฮีสตีดินซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่มีในน้ำนมแม่ คนจึงนำมาบดให้กับข้าวให้ลูกกิน 1. กินกล้วยน้ำว้าห่ามแล้วอารมณ์ดี มีความสุข เพราะกล้วยน้ำว้ามีสารทริปโตเฟน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตฮอร์โมนเอ็นโดรฟีน 2. ขจัดความเครียด ช่วยให้หลับสบาย และช่วยต้านภาวะซึมเศร้าได้ด้วย เพราะกล้วยน้ำว้ามีสารทริปโตเฟน ทำให้รู้สึกสงบ ผ่อนคลาย ควรกินก่อนอาหารเย็น 1 ลูก และหลังอาหารเย็น 1 ลูก 3. แก้ท้องผูก เพราะมีกากใย ไฟเบอร์สูง กระตุ้นการขับถ่าย ทำให้อุจจาระนุ่ม ขับถ่ายง่าย ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ โรคกระเพาะ มะเร็งตับ และบรรเทาอาการโรคริดสีดวงทวาร 4. แก้อาการท้องเสีย เพราะกล้วยน้ำว่าห่ามมีสารแทนนินที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ช่วยป้องกันผนังกระเพาะลำไส้ถูกทำลายซึ่งเป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย 5. ลดความดัน เพราะมีสารโพเแทสเซียมจะช่วยขับโซเดียมออกจากร่างกายผ่านเหงื่อ ปัสสาวะ 6. ชะลอชรา ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า เพราะมีสารเบต้าแคโรทีน วิตามินซีสูง และสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอวัย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล 7. ลดความอ้วน ควบคุมน้ำหนัก เพราะกล้วยน้ำว้าห่าม 1 ผล มีน้ำตาลน้ำตาลเชิงเดียว คือกรูโคสและ ฟรุกโตส ประมาณ 1 ช้อนชา เมื่อกินเข้าไปแล้วร่างกายนำไปใช้ได้ทันที ทำให้รู้สึกมีแรง ควรกินก่อนออกกำลัง หรือกินก่อนมื้ออาหาร 1 ผล ทำให้ กินข้าวต่อมื้อลดลง และลดความอยากอาหาร 8. ลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุนในผู้หญิงเร่ิมเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนและผู้หญิงสูงอายุ เพราะกล้วยน้ำว้าห่าม มีแคลเซียมสูง หากนำไปปิ้งหรือต้มปริมาณแคลเซียมจะเพิ่มขึ้น 5-6 เท่า แนะกินกล้วยป้ิงหรือต้มวันละ 1 ลูก จะได้แคลเซียมในปริมาณที่เพียงพอ 9. ดีท็อกซ์ลำไส้ ช่วยให้ถ่ายง่ายแล้ว ลำไส้สะอาด เพราะช่วยกำจัดแบคทีเรียที่เกิดจากการกินเนื้อสัตว์มากจนอุจาระมีกลิ่นเหม็น แนะนำให้กินกล้วยน้ำว้าห่ามวันละ 4 ลูกเป็นเวลา 1 อาทิตย์ อุจจาระไม่เหม็น 10. แก้ปัญหาปากเป็นแผล ร้อนใน ช่วยให้ปากไม่เหม็น 11. ป้องกันโรคโลหิตจาง เพราะกล้วยน้ำว้าห่ามมีธาตุเหล็ก 12. บำรุงเหงือกและช่วยป้องกันฟันผุ จากแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินซี :วิธีกินกล้วยน้ำว้าห่ามให้ได้ประโยชน์ : ลักษณะกล้วยน้ำว่าห่ามที่เหมาะกับการกินเพื่อสุขภาพที่ดี ดร.นพ.พรเทพ บอกว่า ปอกเปลือกแล้วเนื้อไม่เละ เปลือกมีปุยติด และรสชาติไม่หวาน วิธีการกินกล้วยน้ำว้าห่ามที่ถูกต้อง ปอกเปลือกจากบนลงล่าง เริ่มกินจากข้างบนลงไป คำแรกๆ จะรู้สึกฝาดจากยางกล้วย แต่ยางนี้คือ ยาวิเศษ มีส่วนผสมของเพคติน ช่วยรักษาแผลในปาก ช่วยเคลือบกระเพาะป้องกันการเกิดโรคกระเพาะและกรดไหลย้อน โรคทางเดินอาหาร ค่อยๆ กินและเคี้ยวให้ละเอียดจนกินถึงปลายลูก ยางกล้วยจะค่อยๆ หมด จนกินคำสุดท้ายจะได้รสชาติหวานพอดี เห็นหรือยัง! ประโยชน์ของกล้วยน้ำว้าห่ามเยอะขนาดนี้ ใครที่เคยเมิน คงต้องกลับมาคิดใหม่ ทำใหม่ หากอยากสวย สุขภาพดี เวลาไปจ่ายตลาดหรือเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ต อย่าลืมซื้อกล้วยน้ำว้ามาติดบ้านไว้นะ...
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    กินฟักทองป้องกันสารพัดโรค
    กินฟักทองป้องกันสารพัดโรค . ลดน้ำตาลป้องกันเบาหวาน เปลือกฟักทองที่มีฤทธิ์ทางยา ซึ่งจะไปกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย ก็จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวานได้ งานวิจัยในญี่ปุ่นที่ทำการทดลองกับผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 133 คน พบว่า ผู้ที่กินฟักทองเป็นประจำจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้กินฟักทอง . ลดเสี่ยงมะเร็ง 4 ชนิด งานวิจัยอีกเรื่องหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นเช่นกันพบว่า ผู้ที่กินฟักทองเป็นประจำจะลดโอกาสเสี่ยงการเกิดโรค มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก . ป้องกันสิวและจอประสาทตาเสื่อม เพราะฟักทองมีเบต้าแคโรทีนสูง จึงช่วยป้องกันการเกิดสิว และอาการจอประสาทตาเสื่อม . ลดอาการภูมิแพ้ หอบหืด โรคหัวใจ และภาวะซึมเศร้า ฟักทองยังมีแมกนีเซียมสูง จึงช่วยลดอาการภูมิแพ้ หอบหืดและยังมีวิตามินบี 6 ซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและอาจช่วยแก้ภาวะซึมเศร้าได้ . ลดไขมัน เพื่อหุ่นเพรียว สำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องการลดความอ้วน ฟักทองมีใยอาหารที่ละลายน้ำในปริมาณสูง ใยอาหารจะช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอลที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย นอกจากนี้ยังมีแคลอรีต่ำไขมันน้อย เมื่อกินแล้วจึงไม่ทำให้อ้วน และมีวิตามินซีสูง จึงช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณดี มีน้ำมีนวล . กินฟักทองอย่างไรให้คงคุณค่าสารอาหาร การต้ม นึ่ง อบ หรือผัด ไม่สามารถทำลายเบต้าแคโรทีนในฟักทองได้ แต่หากต้มฟักทองในน้ำ จะสูญเสียวิตามินบี
    Mrs.Doubt
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    #กินเค็มระวังความดันขึ้น…
    #กินเค็มระวังความดันขึ้น… คำแนะนำทางการแพทย์ดังกล่าวนี้ ผมได้ยินมาตั้งแต่เป็นนักเรียนแพทย์… จนเป็นอาจารย์ และในที่สุด จนเป็นความดันโลหิตสูง เสียเอง ใช่ครับอ่านไม่ผิดหรอกครับ ผมมี ภาวะความดันโลหิตสูงมากกว่า 2 ปี แล้วผมจะได้รับคำแนะนำให้เริ่มต้นรักษา ด้วยการปรับวิธีการใช้ชีวิต และหนึ่งคำแนะนำนั้นก็คือ หมอต้องลดปริมาณเกลือในอาหารลงเยอะๆเลยนะครับ… ถ้าไม่ดี เดี๋ยว start amodipine เลยนะ ผมก็พยายามควบคุมทุกอย่าง งดอาหาร ที่มีรสชาติเค็มที่ผมรัก แกงไตปลา สะตอผัดกะปิ และ ทานน้ำมากๆ…. แต่ที่ผมยังกินอยู่เหมือนเดิมก็คือ เข้าไปน้ำตาล แต่เหมือนดูจะไม่ดีขึ้นก็คือ ผมยังคงอ้วนลงพุง มีกรดยูริคสูง มีไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูงของผมไม่ดีขึ้น กลับแย่ลงจนกระทั่ง หรือ เพราะว่า เส้นเลือดของผมเริ่มแข็ง กรอบเหมือนเส้นเลือดคนแก่ ทั้งๆที่อายุยังไม่ถึง 50 จริงๆเนี่ยนะ… ในที่สุด เกิดภาวะวิกฤตบางอย่างกับตัวผม เนื่องจากความดันโลหิตที่สูงอย่างมาก…. ซึ่งผมเคยเล่าให้เพื่อนๆฟังว่าตอนนั้นมันเกิดอะไรบ้าง มันเป็นจุดเปลี่ยนที่ผมคิดว่าผมจะต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อหลุดพ้นจากภาวะนี้ จากวิกฤตนั้น ผมจึงคิดทบทวนใหม่ว่า ผู้ร้ายตัวจริงที่สร้างปัญหาให้กับผมตอนนี้ มันต้องไม่ใช่ แค่ การกินเค็ม การกินกาแฟ หรือ เส้นเลือดผมแข็งกรอบตามวัยมากจนเกินไป…. ผมจึงจะเริ่มตั้งต้นจากคำว่า metabolic syndrome ซึ่งเป็นความผิดปกติทั้งหมดที่ผมมี ไม่ว่าจะเป็น อ้วนลงพุง ความดันสูง ไขมันในเลือด ยูริคสูง… หลังจากนั้นผมก็เริ่มรู้ว่า สิ่งที่ผมเป็น ว่าเกิดจากสิ่งที่เรียกว่า ภาวะดื้ออินซูลิน หรือ insulin resistance… มาจากการบริโภค น้ำตาล น้ำหวาน คาร์โบไฮเดรตแปรรูป แบบไร้ระเบียบวินัยของตัวผม ตลอดระยะเวลานับ 10 ปีที่ผ่านมา จากการทบทวนความรู้ต่างๆทำให้ผมพบว่า ภาวะดื้ออินซูลินนั้น ส่งผลกระทบ ทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง ด้วยกลไกหลายอย่าง ได้แก่ 1) มีการเพิ่มการดูดกับโซเดียมที่หน่วยไตหลายตำแหน่ง 2) มีการกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติกผ่าน RAAS 3) มีการเพิ่มการหดตัวของกล้ามเนื้อในหลอดเลือด ผ่านกลไกของ การเพิ่มแคลเซียมเข้าเซลล์ รูปภาพที่ประกอบการโพสต์นี้ แสดงให้เห็นถึงผลของ ฮอร์โมนอินซูลิน ที่มีต่อการกระตุ้นให้ไต เกลือโซเดียมเข้าสู่ร่างกายมากขึ้น ผ่าน receptor ต่างๆในรูป ดังนั้นการรักษาภาวะ ดื้อต่ออินซูลิน หากประสบความสำเร็จในการักษา ก็จะส่งผลให้ความดันโลหิต กลับมาสู่สภาวะปกติได้ และมีรายงานการรักษา ในแนวทางนี้หลายรายงาน พบว่าสามารถช่วยให้ผู้ป่วย สามารถลดและหยุดยาลดความดันโลหิตได้ แล้วภาวะดื้อต่ออินซูลิน ผู้ต้องหาในคดี metabolic Syndrome เกิดจากอะไร… ถ้าได้ติดตามที่ผมเขียนมาตั้งแต่ต้น ก็จะตอบได้ทันทีว่า "เกิดจากการบริโภค น้ำหวาน น้ำตาล คาร์โบไฮเดรตแปรรูปต่างๆ ในปริมาณที่มาก แล้วต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ" ดังนั้น ผู้ต้องหาตัวจริง ก็คงหนีไม่ น้ำตาลน้ำหวานและคาร์โบไฮเดรตแปรรูป ที่เรารับประทานอย่างมาก ไม่มีขีดจำกัด ต่อเนื่องเป็นเวลานานๆนั่นเอง ถ้าผมเลือกรักษาตัวเองที่ปลายเหตุมันง่ายมากเลยครับ คือ รักษาตามกลไกล ข้อ 1) ทานยา HCTZ กลไกล ข้อ 2) ทานยา enalapril และ กลไกลข้อ 3) ทานยา amlodipine เลือกเอาเลย… ทานยาลดความดันแล้วนั่งดูความดันลด ปรับยา แต่ผู้ร้ายต้นเหตุไม่ถูกกำจัด… รอวันสร้างหายนะรอบใหม่ ทีหนักกว่าเดิมนั่นคือ เบาหวานชนิดที่2 และก็ต้องถามตนเองว่า แล้วผมต้องกินยาถึงเมื่อไหร่อีกด้วยครับ… ผมเลยตัดสินใจทดสอบ สิ่งที่ผมได้เรียนรู้ ในครั้งนี้กับตัวผมเอง ด้วยการรักษาตนเอง ตามแนวทางของการ รับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ และจำกัดเวลาในการรับประทานอาหาร… และผมต้องใช้ความอดทน และการปรับตัว อย่างสูงมาก เพราะเดิมพันนี้มันคือ ชีวิตของตนเอง ผ่านไป 1 เดือน ผมไม่เคยมีระดับความดัน 160/100 อีก ยังมี ตัวบน 130-140 บ้าง… และที่ระยะเวลาผ่านไป 3 เดือนความดันตัวบน (Systolic) ของผม ไม่เคยเกิน 120 ตัวล่างไม่เคยเกิน 80 อีกเลย แม้จะวัดในสภาวะหลังออกกำลังกายทันทีก็ตาม… ร่วมกับน้ำหนักตัวที่หายไปกว่า 13 กิโลกรัม (วิชาตัวเบามันเป็นแบบนี้นี่เอง) สรุปคือ ผู้ร้ายตัวการ ตัวสำคัญสำหรับโรคความดันโลหิตสูง นั่นก็คือ "ภาวะดื้อต่ออินซูลิน" อันเนื่องมาจาก การบริโภคน้ำตาล คาร์แปรรูปนั่นเอง เขียนแบบนี้แล้ว ไม่ใช่ว่าจะ ไปกินเค็มหนักๆ อันนั้นก็ไม่ควรนะครับ แม้เขาไม่ใช่ผู้ร้ายตัวจริง แต่ถ้าเรากินแบบไม่คิด ผู้ร้ายตัวปลอมนี้เขาก็พร้อมจะพายเรือให้โจรนั่งนะครับ ผมหวังว่าสิ่งนี้จะมีประโยชน์ กับผู้ติดตามทุกท่าน ในการนำไปปรับใช้ อย่ารอให้ ชีวิตต้องเจอแบบที่ผมเจอ แล้วจะคิดจะเริ่มนะครับ #หมอจิรรุจน์ สำหรับท่านที่สนใจเนื้อหาเพิ่มเติม เราเข้าไปอ่านใน Reference ที่แนบไว้ได้นะครับ ที่มาภาพ: Insulin resistance and hypertension: new insights, Kidney International Vol.87 2015 ที่มาข้อมูล Obesity-related hypertension: pathogenesis, cardiovascular risk, and treatment. A position paper of The Obesity Society and the American Society of Hypertension. J Clin Hypertens (Greenwich). 2013; 15: 14 Insulin resistance, obesity, hypertension, and renal sodium transport. Int J Hypertens [online]. 2011; 2011: 391762
    Mrs.Doubt
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    การดื่มนมเปรี้ยวช่วยลดกลิ่นคาวน้องสาวได้จริงหรือไม่ ?
    โดยปกติแล้วในช่องคลอดมีแบคทีเรียดี ที่เรียกว่า “แลคโตบาซิลัส” ที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียก่อโรคที่มีอยู่ภายในช่องคลอด เมื่อไหร่ก็ตามที่แบคทีเรียดีลดน้อยลง แบคทีเรียก่อโรคเพิ่มจำนวนมากขึ้น ก็จะทำให้ช่องคลอดเสียสมดุลได้และน้องสาวส่งกลิ่นนั่นเอง แล้วการดื่มนมเปรี้ยวช่วยลดกลิ่นคาวน้องสาวได้จริงหรือไม่ ? ในนมเปรี้ยวมีแบคทีเรีย “แลคโตบาซิลัส” ที่ช่วยรักษาสมดุลและลดกลิ่นคาวของน้องสาวได้ แต่ปริมาณแลคโตบาซิลัสที่อยู่ในนมเปรี้ยว 1 ขวด ไม่เพียงพอต่อการรักษาสมดุลของน้องสาวได้ และถ้าหากกินนมเปรี้ยวมากกว่า 1 ขวดต่อวัน ก็เสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานและอ้วนได้ เนื่องจากนมเปรี้ยว 1 ขวด มีน้ำตาล 2-4 ช้อนชา ( ข้อมูลจากศัลยแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พญ.เสาวนีย์ ชั่งยงสุวรรณ / โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ) วิธีดูแลน้องสาวที่ถูกวิธี 1.ทำความสะอาดให้ถูกวิธี ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสบู่และน้ำหอม การล้างที่ดีที่สุดคือล้างด้วยน้ำเปล่า 2.ไม่สวนล้างช่องคลอด เพราะจะทำลายเชื้อแลคโตบาซิลัสบริเวณปากมดลูก ส่งผลให้ติดเชื้อได้ง่าย 3.ดูแลขนบริเวณจุดซ่อนเร้น ไม่ควรโกน แว๊ก ถอน 4.ไม่ควรใช่เสื้อผ้าที่รัด คับ จนเกินไป เพราะจะทำให้อับชื้น 5.ไม่ควรกินยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อ หากไม่จำเป็น 6.เลี่ยงอาหารหมักดอง อาหารรสจัด 7.ช่วงเป็นประจำเดือน ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ ทุกๆ 3-4 ชม. รวมถึงหลีกเลี่ยงชนิดที่มีน้ำหอมเพื่อลดการระคายเคือง ( ข้อมูลจากที่มา : ศัลยแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พญ.เสาวนีย์ ชั่งยงสุวรรณ Aura soul clinic / โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ / คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล Rama Channel ) ทั้งนี้ทั้งนั้นหากมีความผิดปกติแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ทันที
    Pare Petchara
     •  5 วันที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    น้ำเชื่อมข้าวโพด (High Fructose Corn Syrup: HFCS) ความหวานอันตราย ที่อยู่ในขนมและเครื่องดื่มแทบทุกชนิด 🌽 . น้ำตาล คือความหวานที่มากับอันตราย ทั้งสะสมเป็นไขมัน ทำให้เกิดโรคอ้วนและเบาหวาน ก่อให้เกิดการเสพติดเหมือนยา เราเน้นย้ำเรื่องอันตรายของน้ำตาลมาตลอด แต่แม้น้ำตาลจะเป็นของเสียสุขภาพ แต่จะให้ไม่กินเลยก็คงเลี่ยงลำบาก อย่างน้อยที่สุดเราก็ควรู้จักน้ำตาลที่ควรเลี่ยงที่สุด แล้วน้ำตาลแบบไหนที่อันตรายที่สุดกันล่ะ วันนี้เรามีคำตอบค่ะ . น้ำตาลที่ดี คือน้ำตาลที่ผ่านกระบวนการแปรรูปน้อยที่สุดค่ะ เช่น ความหวานจากผลไม้ น้ำผึ้ง อ้อย ความหวานในข้าวหรือมันหวาน หรือความหวานจากพืชที่พบได้ในนมหรือหญ้าหวานค่ะ ยิ่งน้ำตาลชนิดนั้นผ่านกระบวนการแปรรูปมากเท่าไหร่ อันตรายก็จะยิ่งสูงขึ้น และความหวานที่ผ่านกระบวนการแปรรูปมากที่สุดก็คือ HFCS (high fructose corn syrup) หรือน้ำเชื่อมข้าวโพดนั่นเอง . น้ำเชื่อมข้าวโพด (HFCS) เกิดจากการนำเอาน้ำตาลฟรุกโตสและน้ำตาลกลูโคสผสมกันแล้วแต่สัดส่วนที่ผู้ผลิตต้องการ ผ่านกระบวนการเพิ่มความเข้นข้นจนได้ความหวานมากกว่าน้ำตาลปกติถึง 2 เท่า เป็นประโยชน์กับอุตสาหกรรมอาหาร ช่วยลดต้นทุนได้มาก แต่เป็นอันตรายกับสุขภาพผู้บริโภคอย่างเราๆ มากค่ะ . เกิดภาวะดื้ออินซูลินได้ง่าย สาเหตุของโรคเบาหวานอันดับหนึ่ง . กินเยอะขึ้น เพราะ HFCS ไม่สามารถกระตุ้นฮอร์โมนเกรลิน หรือฮอร์โมนแห่งความอิ่มได้ เพราะแบบนี้ เวลาเราดื่มเครื่องดื่มที่มี HFCS จึงทำให้เราดื่มได้อีกเรื่อยๆ ไม่รู้สึกพอค่ะ . ภาวะไขมันพอกตับ เวลาที่เราทานน้ำตาลมากไป ร่างกายจะเก็บน้ำตาลที่ไม่ถูกใช้เป็นพลังงานในรูปไขมันที่ตับ เจ้า HFCS ร้ายกว่านั้นค่ะ เพราะร่างกายเราไม่สามารถย่อย HFCS เป็นพลังงานได้ แต่จะส่งตรงไปเก็บเป็นไขมันเลย เรียกได้ว่าเพิ่มเสี่ยงให้ตับพังพอๆ กับคนติดแอลกอฮอล์เลยค่ะ . เพิ่มเสี่ยงโรคหัวใจและมะเร็ง งานวิจัยหลายชิ้นพบว่าปริมาณ HFCS ที่ทานมีความสัมพันธ์กับการเกิดของโรคหัวใจและมะเร็งอย่างชัดเจน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ HFCS มีผลให้ร่างกายเกิดการอักเสบภายในได้มากค่ะ . ‼️แม้ HFCS จะได้ชื่อว่าเป็นน้ำเชื่อม แต่ใช่ว่ามันจะมีอยู่แต่ในเครื่องดื่มเท่านั้นนะคะ มันซ่อนตัวอยู่ในอาหารได้แทบทุกชนิด ทั้งยังมีอีกหลายชื่อด้วย เรามีวิธีสังเกตและหลีกเลี่ยง HFCS มาเป็นแนวทางให้ดังนี้ค่ะ . สังเกตส่วนประกอบบนฉลาก อาหารที่มี HFCS อาจถูกระบุบนฉลากในชื่ออื่นๆ ได้ตามส่วนประกอบและวิธีผลิต เช่น corn sugar, maize syrup, glucose/fructose syrup, isolated fructose, crystalline fructose, isoglucose, น้ำเชื่อมข้าวโพด, ไซรัปข้าวโพด, น้ำเชื่อมกลูโคส, น้ำเชื่อมฟรุคโตส, แบะแซ, ผลึกฟรุคโตส, ฟรุคโตสก้อน, ไอโซกลูโคส เป็นต้นค่ะ . อย่าเชื่อคำโฆษณาบรรจุภัณฑ์ หลายครั้งเครื่องดื่มและอาหารในซุปเปอร์มักจะติดคำว่า “น้ำตาล 0%” หรือ “sugar free” อย่าหลงเชื่อเด็ดขาดค่ะ ให้อ่านที่ส่วนผสมอีกที หาคำที่บ่งบอกว่ามี HFCS ดูค่ะ . ระวังอาหารที่มักใส่ HFCS ทานให้น้อยที่สุด เช่น น้ำสลัดสำเร็จรูป อาหารแปรรูป ขนมถุง ซีเรียล น้ำผลไม้กล่อง น้ำหวาน ครีมเทียม เครื่องดื่มชูกำลัง แยม ไอศกรีม . หัดทำอาหารทานเอง นี่คือวิธีหลีกเลี่ยง HFCS ที่ดีที่สุดค่ะ เพราะคงไม่มีใครอยากเติมของปนเปื้อนอันตรายลงในอาหารตัวเองให้สุขภาพเสียอยู่แล้ว เลือกใช้น้ำตาลที่ผ่านกระบวนการน้อยๆ มาใช้ปรุงอาหารและเครื่องดื่มกันค่ะ . เห็นไหมคะว่า HFCS นั่นอันตรายขนาดไหน นอกจากจะทำคุณติดความหวานได้ง่าย ให้เกิดโรคร้าย เพิ่มเสี่ยงโรคหัวใจ มันยังไม่มีสารอาหารและใช้เป็นพลังงานไม่ได้ด้วย HFCS กลายเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของโรคเบาหวานและโรคอ้วนทั่วโลก เพียงคุณตัดน้ำตาล HFCS ออกจากชีวิตได้สักอย่าง ความเสี่ยงโรคต่างๆ ของคุณก็จะลดลงได้มากเลยค่ะ
    ไม่ระบุชื่อ
     •  6 เดือนที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    โพสต์นี้เขียนขึ้นตอนเช้าเพราะผมรู้ว่าคุณยังพอมีเวลาอ่าน เขียนขึ้นโดยจะไม่มีการตั้งคำถามใด ๆ หรือต่อว่าใครทั้งสิ้นแล้ว (*ไม่ต้องเอาไปเป็นข่าวนะครับ) แต่เขียนขึ้นเพื่อ "เตือน" ย้ำให้หนักแน่นอีกครั้งหลังผมฟังข้อมูลสำคัญจาก WHO ผ่านทาง TNN 1. ทั่วโลกตายจาก COVID19 เกิน 3 ล้านคนแล้ว ...ล้านคนแรกตายภายใน 5 เดือนแรกที่ระบาด ... ล้านที่ 2 ตายภายใน 4 เดือน และ "ล้านที่ 3" ใช้เวลาทำสถิติอันหดหู่นี้เพียง 3 เดือน ...หมายความว่า "เชื้อมันเร่งการทำลายล้าง" แล้วล่ะ... 2. เชื้อที่กลายพันธุ์ทวีความรุนแรง มีหลายแหล่งที่มา (ตามภาพ) เขาตั้งชื่อเชื้อ ชื่อรหัสไว้หมดแล้ว โดยทั้งหมดเรายังไม่ได้แต่งตั้งว่าเป็นสายพันธุ์ไทย หรือสายพันธุ์วีไอพีไหน ? ...แต่ที่แน่ ๆ เชื้อเข้าร่างกายคนไม่เลือกหน้า ไม่เลือกชื่อชั้น ตำแหน่ง ฐานะ ยากดี มีจน มันโจมตีได้หมด ...หมอ-พยาบาลขนาดระวังตัวมาก ๆ ก็ติดได้ หากหน้ากาก Leak ใส่ไม่ดี ขยับปากพูดมาก ๆ ไหวกายไปมา มันย่อมพลาดได้ 3. เชื้อที่พัฒนามาระลอกนี้มันดันคร่าคนหนุ่มสาวได้ อายุ 20, 30 หรือ 40 ปี ก็มีรายงานการตายออกมาแล้ว (ซึ่งจำนวนตายนี่จริงแท้แน่ เพราะต้องออกใบมรณะบัตร) ฉะนั้นจากความมั่นใจที่เคยมีที่ว่า COVID19 คร่าแต่คนแก่ คนชรา ...ไม่ใช่แล้วนะ ถ้าคุณอ่อนแอ อ้วน นอนน้อย โรครุมเร้า เป็นโรคแนว NCD อยู่แล้ว (โรคไม่ติดต่อแต่เป็นโรคแนว 'ทำเอง' ทั้งหลาย 80% มาจากพฤติกรรม ...ไป Search เอา) ...คุณมีโอกาสม่องเท่ง 4. ผลการศึกษาจากต่างประเทศชี้ว่าบุคคลที่มีกรุ๊ปเลือด A ติดโควิดง่ายกว่ากรุ๊ปอื่น แต่ผู้ป่วยทั้งหมดในเวลานี้ก็มีเลือดคละกันทุกกรุ๊ป ยังไม่มีรายงานว่ากรุ๊ปไหนป่วยมากกว่าใคร ...มีแต่รายงานจากอังกฤษว่าที่ป่วยแล้วตายส่วนมากคือกลุ่มผู้นอนน้อย มีนิสัยการนอนต่ำกว่า 8 ชั่วโมงมาเป็นเวลานาน ... ติดปุ๊ปเชื้อลงปอดไวกว่า ภูมิต้านทานต่ำล่ะว่าง่าย ๆ 5. โลกยังไม่มียารักษาโควิดโดยตรง (มีแต่ยาต้านไวรัสที่ชื่อว่า ‘ฟาวิพิราเวียร์’ แต่ก็ไม่ใช่ไวรัสโคโรน่าโดยตรง) เครื่องมือที่ดีที่สุดทางการแพทย์ ณ เวลานี้คือ "การฉีดวัคซีน" ... ไทยเรามีสัญญาณอัตราเร่งแล้ว ...40 เอกชนรวมตัวกันในนามหอการค้าจะให้พื้นที่รัฐมาเปิดบริการระดมฉีดแบบปูพรม (แบบอเมริกาที่ฉีดได้เร็วมาก 200 ล้านโดสแล้วและเหลือพอต่อทุก ๆ คนที่เข้าประเทศ ฉีดในห้างยา-ร้านรวงเลย ฉีดได้โดยไม่ต้องจอง *มีไลฟ์ของ beartai แบไต๋ ที่ผมจัดไปแล้ว บ้านเรากำลังจะลงทะเบียนกันอีกแล๊ะ 1 พค.นี้กับแอปตัวใหม่ให้คนไทยงงกันอีกครั้งด้วยนาาาา.. เอ้อ~ไม่เอา ๆ ไม่ว่า ๆ โพสต์นี้ไม่ต้องการจะว่าใคร *แค่จะเตือน) แต่การฉีดวัคซีนที่จะเริ่มเห็นผลแบบสงครามสงบได้ ต้องครอบคลุมให้มากกว่า 25% ของจำนวนประชากร ขณะนี้เรายังไปได้แค่ 1.4% (หากคุณไม่ได้อ่านโพสต์นี้ในวันที่ 28 เมษายน ให้ไปดูรายงานสด ๆ ได้จาก https://ourworldindata.org/covid-vaccinations ) วัคซีนทุกตัวมีรายงานผลข้างเคียงที่อาจเกิดทั้งสิ้น เรียกง่าย ๆ มีความเสี่ยงทุกตัว แต่น้อยมากกับเคสที่เกิดเมื่อเทียบกับจำนวนคนที่ฉีด ...ฉะนั้นฉีดเถอะเมื่อมันมาถึงคิวคุณ การดื้อดึงไม่เป็นผลดีเพราะคิวจะรวน แถวจะแกว่ง สังคมสับสน ~$#%&£€×¥ ฉีดครบ โลกก็กลับมาไหวกายกันได้ไว ...*และ In Case ว่าคุณไม่ยอมฉีด คุณก็เสี่ยงติด Covid อยู่ดี เพราะเชื้อไม่ได้หายไป มันยังล่องลอยอยู่ในโลก ...โลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วทำใจยอมรับซะ ...ความเสี่ยงติดโควิดแล้วตายมีมากกว่าความเสี่ยงในการฉีดแล้วตาย ...ย้อนกลับไปอ่านอัตราเร่งในข้อ 1 ได้นะ สรุป... ทุกวันนี้ให้ทำอย่างไร ? - ออกจากบ้านให้น้อย ล้างมือบ่อย ๆ - สวมหน้ากาก 100% เต็มเมื่อออกนอกชานบ้านหรือมีคนมาหา - รักษาระยะห่าง : อย่าเกรงใจกัน หากกลัวเขามองว่าคุณไม่ไว้ใจเขา ให้เราชิงพูดก่อนเลย "อย่าเข้ามา!! เพราะฉันยังไม่มั่นใจตัวเองเล๊ย~" ... *เมื่อวานผมผ่าน RCA บล็อก D บริษัทอะไรซักอย่างจัดคัดเลือกคน คนตรึมเลย มามุงกันอย่างใกล้ชิด โถ หนุ่มน้อยสาวน้อยทั้งหลาย นาทีนี้ถ้าบริษัทที่คุณทำงานด้วยเขายังไม่มีวิธีป้องกันหรือแสดงออกในการปกป้องคุณ ให้คุณพิจารณางานใหม่เถอะ งานยังมีเยอะแยะ เอกชนยังไม่หยุดจ้างงาน ล็อกดาวน์ก็ไม่กลัวนะเอาจริง ๆ แต่ทั้งนี้ผมก็เชื่อนะว่า การใส่หน้ากากอย่างมิดชิดจริง ๆ (ทับ 2 ชั้นด้วยหลักคิด : หน้ากากอนามัยปิดชั้นแรกแล้วตามด้วยหน้ากากผ้าเพื่อรัดแน่น ไม่ให้ลมหายใจ Leak ออกมา *เช็กได้ด้วยการเป่าปาก หากลมรั่วจะรู้) สามารถบุกตะลุยไปไหนต่อไหนได้เท่าที่จำเป็น ...แล้วผมก็ "เชื่อ" อีกนะว่า ถึงเราจะเผลอสูดไวรัสโคโรน่าเข้าตัวมาแล้ว แต่หากเรา Keep ความแข็งแรงไว้กะร่าง ร่างกายเราจะต่อสู้กับมันได้ ยามว่าง อย่าเอาเวลาไปมัวกิน ให้ยึดหลักสร้างภูมิต้านทานในยามมีศึกสงคราม - ออกกำลังกายในบ้านในแบบที่ทำได้ ทำจำนวนครั้งจนกว่าจะไม่ไหว อย่าปล่อยให้กล้ามเนื้อเหลว ทำให้มันแข็งเข้าไว้ ด้วยการสร้างแรงต้าน - ตัดหวาน เลิกกินน้ำตาล ซึ่งกดภูมิต้านทาน จำไว้ #Sugarเท่ากับฆ่าเรา - เพิ่มภูมิต้านทานด้วยการออกนอกชานบ้านบ้าง มองไปหาแดด ตากแดด ตอนตากแดดถอดรองเท้าด้วย เสียบปลั๊กร่างกายกับผืนโลกหน่อย.. (เรียก #earthing ไปค้นกูเกิล!) พื้นดินกับแดดนี่ปัจจัยลบเพื่อรบกับโควิดเลยนะ ...เชื้อโคโรน่าไม่ชอบอยู่ในอุณหภูมิเกิน 56 องศา ฉะนั้นดื่มน้ำร้อนบ่อย ๆ จิบไว้ตลอดวัน ...ชาร้อน กาแฟดำร้อน ตามชอบ แต่อย่ากินหวาน (ย้ำ) ความขมที่ถมให้หวานได้นี่บัดซบที่สุดฮะ - ส่วนใครจะกินวิตามินใด อาหารเสริม หรือสมุนไพรใด อันนี้ตามศรัทธาของแต่ละคน ผมไม่กล้าแนะนำ เพราะขนาดน้องเภสัชหน้าตาสวยพริ้ม ยังมีดราม่าได้ ... แต่ผมบอกได้เพียงว่า "อะไรที่เขาอัดเม็ดมาขายคุณได้ *มันมีอยู่แล้วในอาหาร" เพียงแต่คุณต้อง "เลือกกิน อย่ากินไม่เลือก" เราอยู่ในยุคอาหารไม่ปลอดภัย ต้องเลือกความ Raw Material อย่าไปถวิลหาการดัดแปรง แปรรูปมากนัก ...ทุกฉลากมี อ่านเยอะ ๆ ตรงนี้เขาโกหกคุณไม่ได้ แต่เขาแค่เขียนตัวเล็กมาก พยายามมองก่อนเอาเข้าปาก (ไว้ผมจะจัดไลฟ์สอนอ่านอีกที) เอาเท่านี้ก่อน....พอแก่แล้วพิมพ์เยอะชิบเป๋งเลย ...แต่เพราะห่วงใยคุณนะถึงเขียน https://www.facebook.com/nuishow/posts/10157850217666976
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false