ข่าวจริงหรือข่าวลวง

ตามที่มีการแชร์ข้อความในสื่อออนไลน์ต่างๆ เรื่อง อาการมือ-เท้าชา ที่มีสาเหตุมาจากขาดวิตามินบี เป็นสัญญาณเตือนโรคปลายประสาทอักเสบ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลบิดเบือน

"ราชกิจจานุเบกษา" ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร

การปล่อยยุงจะปล่อยเฉพาะตัวผู้ที่มีเชื้อวูลบัคเคีย หรือแม้แต่การนำมือเข้าไปในกรง มันเป็นกรงที่มีแต่ยุงตัวผู้มันก็เลยไม่กัด ไม่ใช่เป็นการสร้างยุงชนิดใหม่ขึ้นมาที่ไม่กัดคน

เนื้อหานี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ

มะกรูดเป็นพืชที่อยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน น้ำคั้นมะกรูดมีรสเปรี้ยว ผิวมะกรูด และใบมะกรูดมีกลิ่นเอกลักษณ์เฉพาะตัว นิยมนำมาประกอบอาหาร และปัจจุบันมีการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์น้ำมะกรูดให้เลือกใช้กันอีกด้วย มะกรูดมีประโยชน์หลายอย่างจึงเกิดคำถามดื่มมะกรูดหมักน้ำตาล แก้เจ็บคอ แก้ท้องอืดเลือดไหลเวียนดี จริงหรือไม่ คำตอบคือ ไม่จริง อีกทั้งมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหากดื่มเป็นประจำทำให้เกิดโรค เบาหวาน ความดัน หัวใจ ผลิตภัณฑ์น้ำมะกรูดเป็นอาหารไม่ใช่ยาไม่สามารถบรรเทา/รักษาอาการต่าง ๆ ได้ ดังนั้นไม่แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมะกรูดเพื่อหวังผลในการบรรเทา/รักษาอาการ เจ็บคอ ท้องอืด หรือเพิ่มการไหลเวียนของเลือด หากรู้สึกไม่สบาย หรือเกิดความผิดปกติของร่างกาย แนะนำให้ไปพบแพทย์ทันทีเพื่อเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสม ทั้งนี้สามารถใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมะกรูดสำหรับประกอบอาหารได้ และเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรองมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) โดยสังเกตเครื่องหมาย อย. ก่อนซื้อทุกครั้ง

ไม่ควรแชร์ต่ออย่างยิ่ง❌ หากพบเจอควรแจ้ง อย. เพื่อดำเนินการต่อไป

เลือดกำเดาไหล เกิดจากการที่เส้นเลือดในโพรงจมูกเปราะ และแตกง่าย อาการที่พบ คือ มีเลือดไหลออกจากรูจมูก โดยเลือดสามารถหยุดไหลได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ ปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการเลือดกำเดาไหล ได้แก่ 1. อากาศแห้ง 2. แคะจมูก สั่งน้ำมูกแรง 3. จมูกได้รับการกระแทกอย่างรุนแรง 4. การใช้ยาบางชนิดที่ทำให้โพรงจมูกแห้ง เช่น ยาแก้แพ้ (Antihistamines) เป็นต้น 5. โรคบางชนิด เช่น โรคภูมิแพ้ โรคฮีโมฟีเลย โรคหวัด เป็นต้น อาการเลือดกำเดาไหลเป็นอาการที่ไม่รุนแรง ผู้ที่เป็นสามารถดูแลตนเองได้โดยการห้ามเลือด ซึ่งทำโดย 1. นั่งตัวตรงอยู่นิ่ง ๆ 2. ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้บีบรูจมูก ก้มหน้าลงเล็กน้อย แล้วหายใจทางปาก ประมาณ 5 นาที จนเลือดหยุดไหล อาจใช้ผ้าชุบน้ำเย็น หรือผ้าห่อน้ำแข็งวางไว้บริเวณสันจมูก จากที่มีการพูดกันเป็นประจำว่าหากเลือดกำเดาไหลห้ามเงยหน้า นั้นเป็นความจริง เพราะหากเงยหน้าอาจทำให้กลืนเลือดลงสู่กระเพาะอาหารแล้วทำให้เกิดการอาเจียน จนอาจทำให้อาหารเป็นพิษได้ ดังนั้น ไม่ควรเงยหน้า และหากมีเลือดไหลลงสู่ลำคอ ควรรีบคายเลือดออกมา การปฏิบัติตัวอื่นๆ ที่ควรทำ ได้แก่ 1. พยายามไม่สั่งน้ำมูกแรง 2. ควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีอากาศแห้ง 3. หากต้องมีการใช้ยาแอสไพริน (Aspirin) ยาต้านฮิสตามีน หรือยาแก้คัดจมูก (Antihistamines) ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา เพราะยาเหล่านี้สามารถทำให้จมูกแห้งได้ โดยหากมีภาวะเลือดกำเดาไหลเป็นประจำ เลือดกำเดามีปริมาณมาก และมีอาการหน้ามืด ควรรีบไปพบแพทย์

ข้อความดังกล่าว เป็นข้อความหลอกลวง และเก่าแล้ว โดยมีการแชร์กันในหลายภาษา ทั้งในต่างประเทศและประเทศไทย

มีส่วนที่จริง แต่ต้องเป็นระดับน้ำตาลที่สูงเกินความพอดี และสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ ก็จะทำให้เกิดความผิดปกติต่อเซลล์ และเกิดโรคภาวะแทรกซ้อนตามมาอย่างที่กล่าวอ้าง หลักสำคัญเรื่องอาหาร คือ เลือกรับประทานอย่างเหมาะสม หลากหลาย และ พอดี

การปล่อยยุงจะปล่อยเฉพาะตัวผู้ที่มีเชื้อวูลบัคเคีย หรือแม้แต่การนำมือเข้าไปในกรง มันเป็นกรงที่มีแต่ยุงตัวผู้มันก็เลยไม่กัด ไม่ใช่เป็นการสร้างยุงชนิดใหม่ขึ้นมาที่ไม่กัดคน

ตามที่มีการเผยแพร่ว่ามุสลิมสามารถซื้อที่ดินได้ไม่จำกัด ส่วนชาวพุทธซื้อที่ดินได้แค่ 50 ไร่ เท่านั้น ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับทางกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

ทีมนักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยซัซเซกส์ เมืองบริสตัน ประเทศอังกฤษ ได้ทำการวิจัยวิธีที่จะช่วยให้เหล่าทาสแมวผูกมิตรกับเจ้าเหมียวได้มากขึ้น คือการ ‘กะพริบตาช้า ๆ’ ใส่

กระทรวงสาธารณสุข และสยามไบโอไซเอนซ์ และแอสตร้าเซนเนก้า จับมือผลิตจัดสรรวัคซีนวิจัยป้องกันโควิด-19 ที่พัฒนาโดยม.อ็อกซฟอร์ด คาดว่าจะทำให้ไทยสามารถผลิตวัคซีนสำเร็จเป็นประเทศแรกในอาเซียน

ผลการศึกษาของหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์ออสเตรเลีย ชี้ว่าเชื้อ COVID-19 สามารถรอดชีวิตอยู่บนพื้นผิวอย่างธนบัตรและหน้าจอโทรศัพท์ได้นานถึง 28 วัน ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิต่ำและมืด

ครม.อนุมัติหลักการ เพิ่มประโยชน์ทดแทนให้ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 กรณีเสียชีวิต -เงินสงเคราะห์

รักษามะเร็งด้วยเครื่อง HIFU เป็นแค่โครงการวิจัยในอดีต ซึ่งเลิกแล้ว โครงการวิจัยนี้ได้เลิกไปแล้ว หลายคนที่โทรศัพท์ไปติดต่อ ก็ได้คำตอบว่าไม่มีการให้บริการนี้แล้ว

ผักกูด กินได้ ปลอดมะเร็ง กรณี “กินผักกูด... อันตราย เสี่ยงมะเร็ง” มีการส่งต่อกันบนโลกออนไลน์ข้าม พ.ศ. กันอย่างต่อเนื่อง จริงหรือเท็จ... ชัวร์ หรือ มั่วนิ่ม เรื่องนี้มีคำยืนยืนจากนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิ คือ รศ.ดร.รัชนี คงคาฉุยฉาย ผู้อำนวยการสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความกระจ่าง ดังนี้ ผักกูด... มีสารก่อมะเร็งจริงหรือไม่ ไม่จริง… จะต้องแยกให้ออกว่าเป็นผักกูดชนิดไหน เพราะผักกูดมีหลายชนิด ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีผักกูดหน้าตาคล้ายผักกูดของไทยแต่มีพิษ ทำให้เกิดมะเร็งขึ้นได้ แม้กระทั่งในบ้านเราที่เรียกกันว่า “ผักกูดภูเขา” หน้าตาคล้ายผักกูดทั่วไป มีสารก่อมะเร็งเหมือนกัน ปกติผักกูดจะขึ้นได้เฉพาะในสิ่งแวดล้อมที่ดีเท่านั้น ถ้าสิ่งแวดล้อมนั้นมีสารเคมี มีสารพิษปนเปื้อน ผักกูดจะไม่ขึ้น ผักกูดจะเป็นตัวบอกได้ดีทางนิเวศวิทยา ว่าผืนแผ่นดินบริเวณนั้นต้องอุดมไปด้วยคุณค่าสารอาหารที่ดี ถ้าบริเวณไหนมีสารพิษอยู่ผักกูดจะไม่ขึ้น ผักกูดจะตาย ฉะนั้นสิ่งที่นำมาแชร์ว่า “กินผักกูดแล้วเป็นมะเร็ง” ไม่จริง ขึ้นกับชีวิตของผักกูดต่างหาก

ห้ามขายกระท่อมออนไลน์ โรงเรียน-หอพัก โทษโฆษณาปรับสูงสุด 5 แสน

#สภากาชาดไทย เปิดรับบริจาคโครงการ "ธารน้ำใจช่วยภัยน้ำท่วม" เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย 📌 บัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาสภากาชาดไทย ชื่อบัญชี "สภากาชาดไทย เพื่อภัยพิบัติ" ประเภทบัญชีกระแสรายวัน เลขที่ 045-3-04637-0

กรมการแพทย์ เตือนภาวะผิดปกติหรือโรคที่อาจเกิดจากการใช้คอนแทกต์เลนส์ไม่ถูกต้อง ใช้คอนแทคเลนส์ร่วมกันทำให้กระจกตาเป็นแผลถลอกอักเสบ ติดเชื้อแบคทีเรียเยื่อบุตาอักเสบ และอาจติดเชื้อไวรัสเอดส์ โรคตับอักเสบ หรืออาจถึงขั้นตาบอดถาวร

มติครม. อนุมัติมาตรการ "เติมเงินบัตรคนจน-คนละครึ่ง-ช้อปดีมีคืน" กระตุ้นใช้จ่ายในปท. หวังดึงเงินเข้าระบบศก.

เนื้อหาอยู่ระหว่างการตรวจสอบ

ตามที่มีข่าวเผยแพร่ระบุห้ามร้านอาหารขึ้นป้ายเมนูสัตว์ป่า ตรวจเจอจำคุก 10 ปี ปรับ 1 ล้านบาท ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลบิดเบือน

น้ำอัลคาไลน์ หรือน้ำด่าง คือน้ำดื่มที่มีค่าความเป็นกรด ด่าง(Potential of Hydrogen ion, pH) มากกว่า 7 ซึ่งตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยเรื่องน้ำบริโภคในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท กำหนดค่าความเป็นกรด–ด่างต้องอยู่ระหว่าง 6.5–8.5 น้ำด่างกำลังเป็นที่พูดถึงในวงกว้างว่าเมื่อดื่มแล้วจะทำให้ร่างกายเกิดสมดุล และช่วยป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็ง ซึ่งไม่เป็นความจริง เนื่องจากร่างกายของคนเรามีกระบวนการในการควบคุมความเป็น กรด-ด่างอยู่อย่างสม่ำเสมอ และอวัยวะภายในของร่างกายก็มีความเป็นกรด-ด่างที่แตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อเราดื่มน้ำด่างเข้าไปในร่างกายจะไม่สามารถคงความเป็นด่างของน้ำได้ และนอกจากนี้แล้วในหลายการศึกษา พบว่าสภาวะความเป็นกรด-ด่างของอาหารและน้ำดื่ม ไม่ได้มีผลต่อการป้องกันหรือยับยั้งเซลล์มะเร็งแต่อย่างใด ดังนั้นการดื่ม น้ำด่างไม่ช่วยป้องกันมะเร็ง แนะนำให้ดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อสุขภาพที่ดี โดยการเลือกซื้อน้ำบริโภคในภาชนะบรรจุ ที่ปิดสนิทที่มีคุณภาพ และมีมาตรฐาน โดยก่อนซื้อให้สังเกต ดังนี้ 1. น้ำต้องใส ไม่มีตะกอน ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น 2. ฝาปิดผนึกปิดสนิท ไม่มีร่องรอยการเปิดใช้งาน 3. ภาชนะต้องสะอาดไม่รั่วซึม 4. เครื่องหมาย อย. นอกจากนี้สามารถดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากมะเร็งได้โดย รักษาสุขภาพออกกำลังกายเป็นประจำ รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดมะเร็ง เช่น - การสูบบุหรี่ - การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ - การสัมผัสแสงแดดจ้า หมั่นสังเกตตนเองว่ามีความผิดปกติหรือไม่ และควรตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี หากพบความผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์

แชร์ทั่วอินเทอร์เน็ต ทาวิคส์ลงในสำลีเพียงเล็กน้อยและใส่ไว้ในหูปล่อยทิ้งไว้ตลอดคืน สามารถ ลดอาการปวดหูได้ จะจริงหรือไม่ มาติดตามกันเลย หลายคนเคยมีอาการปวดหู ซึ่งการปวดหูนั้นอาจเกิดจากการติดเชื้อที่รูหู หรือในช่องหู รูหู มีเส้นประสาทจำนวนมาก เมื่อมีอาการปวดหูจึงมีอาการปวดมากจนนอนไม่หลับ โดยสาเหตุมักเกิดจาก ทำความสะอาดรูหูบ่อย ทำให้เนื้อเยื่อรอบรูหูมีแผลถลอก อาจมีการติดเชื้อ เวลาอาบน้ำหรือว่ายน้ำ น้ำเข้าไปในรูหูมากไป ทำให้เชื้อรา และแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ การใส่หูฟังที่ขนาดไม่เหมาะสม และไม่สะอาด เป็นฝีในหู โดยมักมีอาการ ปวดหูข้างเดียว คันหู บวมแดงบริเวณรูหู หูอื้อ หรือมีไข้ต่ำ ๆ การรักษาควรไปพบแพทย์ หรือเภสัชกร โดยวิธีการรักษาอาจทำได้โดย 1. หยอดหูด้วยยาหยอดหู ที่เป็นยาปฏิชีวนะ อาจรักษาร่วมกับการกินยาปฏิชีวนะ เมื่อหูติดเชื้อ แบคทีเรีย 2. หยอดหูด้วยยาฆ่าเชื้อรา อาจรักษาร่วมกับกินยาฆ่าเชื้อราเมื่อหูติดเชิ้อรา 3. กินยาแก้ปวด เพื่อบรรเทาอาการปวดหู แต่มีบางคนนำวิคส์มาทาที่หู เพื่อหวังผลให้บรรเทาอาการปวดซึ่งไม่เป็นความจริง วิคส์เป็นยาบรรเทาอาการคัดจมูก/ แน่นจมูก รวมถึงอาการไอจากโรคหวัด และเป็นยาที่ใช้ภายนอกเท่านั้น ไม่ได้มีสรรพคุณ ในการบรรเทาอาการปวดหูเลย ดังนั้นไม่ควรอย่างยิ่งที่จะนำไปทาที่รูหูนะ เพราะอาจทำให้ทำความสะอาดหูยากจนทำให้เป็นที่สะสมของเชื้อโรคได้นะ